แฟนบาเยิร์นเซ็ง!เดวิสเดี้ยงพักยาว2เดือน

ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับสาวก "เสือใต้" เพราะล่าสุดเป็นที่แน่นอนแล้ว อัลฟอนโซ่ เดวิส แบ็กซ้ายความเร็วสูง จะต้องพักแข้งราว 2 เดือน หลังเจ็บหนักมาจากเกมลีกเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

ฮันซี่ ฟลิค เทรนเนอร์ บาเยิร์น มิวนิค ยืนยันว่า อัลฟอนโซ่ เดวิส แบ็กซ้ายดาวรุ่งคนเก่ง จำเป็นต้องพักแข้งราว 6-8 สัปดาห์ หลังได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่เอ็นข้อเท้าขวา จากเกม บุนเดสลีกา เยอรมัน นัดล่าสุดที่ "เสือใต้" เปิดรัง อัลลิอันซ์ อารีน่า ไล่ถล่ม ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต 5-0 เมื่อวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา

"เขาเจ็บที่เอ็นข้อเท้า โดยมีเอ็นเส้นหนึ่งขาด และอีกเส้นหนึ่งเกือบขาด เราประเมินกันว่า เขาน่าจะพักราว 6-8 สัปดาห์ แน่นอนว่า การเสีย เดวิส ไป ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรา" ฟลิค กล่าวหลังเกม

ทั้งนี้ ดาวเตะทีมชาติแคนาดาวัย 19 ปี ได้รับบาดเจ็บตั้งแต่ต้นเกม ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามในนาทีที่ 3 (ลูก้าส์ แอร์กน็องเดซ ถูกส่งลงไปเล่นแทน) โดยเกมนี้ บาเยิร์น ได้ประตูจาก โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่เหมาทำคนเดียว 3 ประตูแรก ในนาทีที่ 10, 26 และ 60 ซึ่งถือเป็นแฮตทริกหนที่สองของเจ้าตัวในศึก บุนเดสลีกา ฤดูกาลนี้ด้วย ก่อนที่ ลีรอย ซาเน่ และ จามัล มูเซียล่า จะช่วยทำอีกคนละประตูในนาทีที่ 72 และ 90 ตามลำดับ

ดราม่าวันเดอร์คิด! “มูโคโค” ดาวโรจน์เสือเหลืองเก่งเกินจนโดนเหยียด-ข่มขู่

เมื่อล่าสุด เจ้าตัวกดแฮตทริกได้อีกในเกมดาร์บีแมตช์รุ่นยู 19 ช่วยให้ต้นสังกัดบุกไปเฉือนชนะ ชาลเก้ ไปอย่างสุดมัน 3-2 ทำให้สถิติลงเล่น 3 นัดในฤดูกาลนี้รวมทุกรายการ เจ้าหนูมูโคโคซัดแฮตทริกได้ทุกนัดรวม 9 ประตู

อย่างไรก็ดี มีเหตุดราม่าเกิดขึ้นในเกมนี้ เมื่อหลังจากยิงประตูที่ 3 เข้าไปอย่างสุดสวย แฟนบอลชาลเก้ในสนามได้พากันตะโกนข้อความเหยียดผิวและข่มขู่ใส่มูโคโค ไม่ว่าจะเป็น "fuck off you black", "I’ll break all your bones", "lie down in the grave", "fuck off you son of a bitch" ฯลฯ

อย่างไรก็ดี หลังเกิดเหตุดังกล่าว ทางสโมสรชาลเก้ได้โพสต์ข้อความขอโทษ และประณามพฤติกรรมของแฟนบอลตัวเอง พร้อมยืนยันว่าจะดำเนินการจัดการในเรื่องนี้ และติดแฮชแท็ก #NoToRacism ส่วนด้าน มูโคโค เองก็โพสต์ลงโซเชียลมีเดียว่า "ผมภูมิใจที่เกิดมาผิวสีนี้ และจะภูมิใจตลอดไป"

แข้งลิเวอร์พูลโพสต์เหมือนจวกอาเดรียน

ไม่รู้ว่ารอบนี้จะมีปัญหาเกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล หรือไม่ หลังจาก มาร์โก กรูยิช มิดฟิลด์ที่โดนปล่อยไปเล่นกับ ปอร์โต้ แบบยืมตัว โพสต์ราวกับว่าจะเฉ่ง อาเดรียน หลังจากที่อีกฝ่ายเล่นพลาดในเกมที่พ่าย วิลล่า
    มาร์โก กรูยิช กองกลาง ลิเวอร์พูล ที่ตอนนี้โดนปล่อยไปเล่นกับ เอฟซี ปอร์โต้ ด้วยสัญญายืมตัวนั้น เหมือนจะโพสต์ตำหนิ อาเดรียน ผู้รักษาประตูชาวสแปนิชที่เล่นพลาดจนทำให้ทีมออกไปแพ้ แอสตัน วิลล่า 2-7 ถึงสนาม วิลล่า พาร์ค ในเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา

    อาเดรียน ได้ลงเล่นนัดดังกล่าวแบบคาดไม่ถึงหลังจากที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ นายทวารมือ 1 ของทีมเจ็บไหล่กะทันหันตอนซ้อม แต่เขาก็เล่นพลาดจนทำให้ทีมเสียประตูแรกตั้งแต่นาทีที่ 4 หลังจากผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมได้ไม่ดีจนสุดท้าย วิลล่า ได้ประตูจาก โอลลี่ วัตกิ้นส์ โดยสุดท้ายวันนั้น วัตกิ้นส์ ทำแฮตทริกได้ด้วย

    ทั้งนี้ กรูยิช ได้โพสต์ตอบเรื่อง วัตกิ้นส์ ลงบน อินสตาแกรม เครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดัง โดยเขาพิมพ์ว่า "ช่วง 2 เกมแรกน่ะเขาเล่นแย่จนเข้าขั้นจืดจางจัดๆ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจถอดเขาออกในเกม แฟนตาซี สุดท้ายทุกคนก็รู้กันดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น" แต่หลังจากนั้นเขาก็พิมพ์เพิ่มว่า "เขาอาจจะทำให้อาชีพการเล่นของ อาเดรียน กับ แอลเอฟซี จบลงไปด้วยก็ได้" แถมยังใส่อีโมจิรูปยิ้มแบบมุมปากด้วย

ประตู “ซาลาห์” ซัดลีดส์!ลุ้นยอดเยี่ยมเดือนกันยายน

ประตูสุดงามที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ตะบันใส่ ลีดส์ ยูไนเต็ด เกมเปิดหัวลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ติด 1 ใน 8 ลุ้นคว้ารางวัลประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายน หลัง "บังโม" โชว์โหดซัดเต็มข้อบอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยมงามหยดชดช้อย ชม้อย ชะม้าย ชายตา

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กองหน้าตัวเก่ง "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล มีลุ้นรางวัลประตูยอดเยี่ยมในศึกพรีเมียร์ลีก ประจำเดือนกันยายน หลังจากที่ "บังโม" โชว์การซัดประตูสุดคมกริบในแมตช์เฉือน "ยูงทอง" ลีดส์ ยูไนเต็ด 4-3 ที่สนามแอนฟิลด์ เกมเปิดซีซั่น 2020/2021

ประตูดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกโดยเวลานั้นเจ้าบ้านเสมอกับ ลีดส์ 2-2 และทีมได้ลูกฟรีคิกก่อนที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน จะเปิดเข้าไปในกรอบเขตโทษแต่แนวรับทีมเยือนโหม่งสกัดไม่ดีมาเข้าทาง สตาร์ลูกหนังทีมชาติอียิปต์ ที่จับบอล 1 จังหวะก่อนจะตะบันเต็มข้อบอลพุ่งแหวกอากาศเสียบสามเหลี่ยมเข้าไปอย่างงดงาม

สำหรับเกมกับ ลีดส์ นั้น อดีตดาวเตะ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี และ "หมาป่าเหลืองแดง" โรม่า" ซัดแฮตทริกได้ด้วยซึ่งอีกสองประตูได้มาจากจุดโทษ โดยลูกแรกเกิดขึ้นในช่วงต้นเกม และอีกลูกเป็นประตูชัยในครึ่งหลังที่ส่งให้แชมป์เก่าคว้า 3 แต้มไปอย่างหวุดหวิด

ทั้งนี้ลูกยิงของ ซาลาห์ ต้องลุ้นประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนก.ย.กับอีก 7 ประตูสุดสวยมาจาก ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง (อาร์เซน่อล), แจ็ค แฮร์ริสัน (ลีดส์ ยูไนเต็ด), รีซ เจมส์ (เชลซี), มาเตอุส เปเรยร่า (เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน), มาร์คัส แรชฟอร์ด (แมนฯ ยูไนเต็ด), ริยาด มาห์เรซ (แมนฯ ซิตี้) และ เจมส์ แมดดิสัน (เลสเตอร์ ซิตี้)

เก่งมากๆ!รังนิคชูฮาแวร์ทซ์เหมือนครัฟฟ์

ราล์ฟ รังนิค ระบุ ไค ฮาแวร์ทซ์ มิดฟิลด์ เชลซี เป็นนักเตะที่เก่งมากๆ จนถ้าให้เปรียบเทียบแล้วก็เหมือนเป็น โยฮัน ครัฟฟ์ ในยุคปัจจุบัน พร้อมเชื่อว่าการมาอยู่กับ "สิงโตน้ำเงินคราม" จะเป็นผลดีต่อทั้ง 2 ฝ่าย

ราล์ฟ รังนิค อดีตเทรนเนอร์ ชาลเก้ 04 และ แอร์เบ ไลป์ซิก กล่าวยกย่อง ไค ฮาแวร์ทซ์ มิดฟิลด์ดาวรุ่งของ เชลซี ว่าเป็นนักเตะที่มีฝีเท้าสุดยอดจนเหมือนกับ โยฮัน ครัฟฟ์ ตำนานดาวเตะชาวดัตช์

ฮาแวร์ทซ์ กลายเป็นที่สนใจของหลายคนหลังจากทำผลงานได้โดดเด่นกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ก่อนที่ เชลซี จะเป็นฝ่ายได้เขามาร่วมทัพในช่วงซัมเมอร์ของปีนี้ด้วยค่าตัวในเบื้องต้น 62 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,480 ล้านบาท) และจะสูงถึง 71 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,840 ล้านบาท) ถ้าหากแข้งชาวเยอรมันทำผลงานได้ตรงตามเงื่อนไขที่กำหนดเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 เกมแรกกับทีมนั้นแข้งวัย 21 ปียังโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ก่อนที่จะมาระเบิดแฮตทริกในเกม คาราบาว คัพ รอบ 3 ที่ต้นสังกัดถล่ม บาร์นส์ลี่ย์ 6-0 เมื่อวันพุธที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมา

รังนิค เผยว่า "ผมมั่นใจว่าเขาจะประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และจะกลายเป็นหนึ่งในนักเตะชั้นยอดในอีก 2 หรือ 3 ปีต่อจากนี้ บางทีเขาอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวสัก 2 สัปดาห์ เพราะเขามีพื้นเพด้านครอบครัวที่ยอดเยี่ยม ผมรู้เรื่องนั้นก็เพราะผมเคยพยายามที่จะดึงเขาไปอยู่กับ ไลป์ซิก มาแล้ว แต่เขามุ่งมั่นกับการเล่นให้ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น มากๆ"

"เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ผมมองไม่เห็นว่ามีจุดอ่อนในเกมการเล่นเลย ถ้าให้เทียบแล้วเขาก็เหมือนกับเป็น โยฮัน ครัฟฟ์ ในยุคปัจจุบัน เขาสามารถทำประตูได้และทำแอสซิสต์ได้, สามารถเล่นเป็นกองหน้าแบบพวกนักเตะหมายเลข 9 หรือถอยมายืนต่ำนิดๆ ก็ได้ ผมมองว่าเขาไม่เหมาะกับการเป็นปีกหรอกนะ ผมมองว่าเขาเหมาะกับการยืนตรงกลางสนามมากกว่า เขาจะมีประโยชน์มากๆ หากได้เล่นแถวนั้น ผมมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าการย้ายทีมครั้งนี้จะเป็นผลดีต่อทั้ง เชลซี และ ไค"

เขามาแล้ว! “ฮาแวร์ตซ์” กดแฮตทริกแรกในอาชีพค้าแข้ง

ไค ฮาแวร์ตซ์ มิดฟิลด์คนใหม่ เชลซี ใช้เวลาแค่ 3 เกมเท่านั้นในการกดประตูแรกในสีเสื้อ "สิงห์บลูส์" แถมเป็นการกดแฮตทริกแรกในอาชีพค้าแข้งด้วย หลังช่วยทีมยำใหญ่ บาร์นสลี่ย์ ครึ่งโหล ในเกม คาราบาว คัพ เมื่อคืนที่ผ่านมา
     ไค ฮาแวร์ตซ์ กองกลางดาวดังคนใหม่ของ เชลซี ทำคนเดียว 3 ประตู ช่วยต้นสังกัดเปิดรัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไล่ถล่ม บาร์นสลี่ย์ สโมสรระดับ แชมเปี้ยนชิพ 6-0 ในศึก คาราบาว คัพ รอบสาม เมื่อวันพุธที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการทำแฮตทริกแรกในอาชีพการเล่นฟุตบอลของเจ้าตัวด้วย

     หลังจากที่ลงเล่น 2 เกมแรกภายใต้ยูนิฟอร์ม "สิงห์บลูส์" แบบฝืดๆ ในที่สุด สตาร์ทีมชาติเยอรมนีวัย 21 ปี ก็ทำประตูแรกให้กับ เชลซี ได้สำเร็จ แถมเกมนี้กดแฮตทริกแรกในอาชีพด้วย หลังจากที่ไม่เคยทำได้เลย ตลอดการเล่นระดับสโมสร 152 นัดที่ผ่านมา (ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น 150 นัด และ เชลซี 2 นัด)

     ทั้งนี้ ฮาแวร์ตซ์ เพิ่งปิดดีลย้ายมาจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ด้วยค่าตัวมหาศาลราว 71 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,840 ล้านบาท) เมื่อวันศุกร์ที่ 4 กันยายน ที่ผ่านมา

ซลาตันเจ๋งกดเบิ้ล! มิลาน ประเดิมหรูถลุงโบโลญญ่า เปิดหัวกัลโช่

 38 ปี แล้วไง! ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ดาวยิงชาวสวีเดนโชว์ความร้ายกาจตะบันคนเดียวสองเม็ด พา เอซี มิลาน เปิดบ้านเอาชนะโบโลญญ่า ที่เหลือ 10 คนท้ายเกม ไปอย่างสนุก 2-0 ประเดิมสามคะแนน ศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา

สนาม : ซาน ซิโร่

    ศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นเกมเปิดสนามระหว่างเจ้าบ้าน เอซี มิลาน รับการมาเยือนของ โบโลญญ่า

    เกมนี้ สเตฟาโน่ ปิโอลี่ วาง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เป็นหน้าเป้า โดยมี ซามู กาสเตเยโฆ, ฮาคาน ชาลาโนกลู และอันเต้ เรบิช สนับสนุน ขณะที่ บราฮิม ดิอาซ และซานโดร โตนาลี่ แข้งตัวใหม่ที่ย้ายมามีชื่อเป็นสำรอง ส่วนทางฝั่ง โบโลญญ่า ของ ซินิซ่า มิไฮโลวิช แมตช์นี้ใช้ โรแบร์โต้ โซเรียโน่ ยืนหน้าต่ำโดยมี โรดริโก้ ปาลาซิโอ ยืนค้ำอยู่แดนหน้า

    เปิดฉากครึ่งแรกมา นาที 12 มิลาน ได้ลุ้นจากจังหวะที่ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ซัดด้วยขวาจากนอกกรอบไปติดบล็อค ดานิโล่ แนวรับโบโลญญ่าได้เตะมุม

    ทีมเยือนตอบโต้ขึ้นมาบ้าง นาที 22 ได้ส่องเข้ากรอบหนแรกจากจังหวะที่ มูซ่า บาร์โรว์ ไหลบอลให้ นิโคลาส โดมิงเกวซ กดด้วยขวาเน้นๆบอลพุ่งแรงแต่ยังไปตรงตัว จานลุยจิ ดอนนารุมม่า รับไว้ได้

    อีก 6 นาทีถัดมา ซลาตัน โชว์สเต็ปพลิกบอลครอสเข้าไปในกรอบ 6 หลา บอลโดนปลายมือ สโครุปสกี้ ปัดออกมาเข้าทาง อิสมาแอล เบนนาแซร์ ยิงหลุดกรอบออกไปแบบน่าเสียดาย

    นาที 38 เอซี มิลาน มาชิงขึ้นนำ 1-0 จนได้ จากจังหวะที่ เตโอ แอร์กน็องเดซ แบ็กซ้ายเปิดบอลมาหน้าประตูให้ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เทกตัวเอาชนะแนวรับทีมเยือนสองคนก่อนสะบัดบอลตกพื้นเบียดเสาเข้าไปอย่างเฉียบขาด

    เกมรุกของ "ปีศาจแดง-ดำ" ยังเหนือกว่าชัดเจน นาที 44 ฮาคาน ชาลาโนกลู ได้โอกาสส่องนอกกรอบแต่จังหวะกดด้วยขวาบอลพุ่งเหินคานออกไป จบครึ่งแรก มิลาน ขึ้นนำ โบโลญญ่า 1-0

    ครึ่งหลัง มิลาน ส่ง อเล็กซิส ซาเลอมาแกร์ส ห้องเครื่องดาวรุ่งลงไปเล่นแทน ซามู กาสเตเยโฆ

    นาที 47 เจ้าถิ่นพลาดได้ลูกที่สองหลัง ซาเลอมาแกร์ส ผ่านบอลเข้ากลางให้ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หวดด้วยขวาเน้นๆ บอลพุ่งแรงจนนายด่านโบโลญญ่าต้องปัดออกไป

    นาที 52 "ปีศาจแดงดำ" มาได้ลูกที่จุดโทษหลัง อิสมาแอล เบนนาแซร์ โดนริคคาร์โด้ ออร์โซลินี่ทำฟาวลด์ในเขตโทษ ผู้ตัดสินเช็กจาก วีเออาร์ แล้วชี้เป็นจุดโทษ ก่อนที่ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช จะซัดด้วยขวาเสยมุมบนเข้าไปอย่างเฉียบขาด เป็นประตูที่สองของดาวยิงวัย 38 ปี ในเกมนี้

    นาที 63 ซลาตัน อิบราฮิโมวิช พลาดโอกาสทำแฮตทริกอย่างน่าเสียดาย หลังรับบอลจาก ฮาคาน ชาลาโนกลู ก่อนจะแตะหลบ ลูคัสซ์ สโครุปสกี้ ไปได้แล้วแต่ยิงไม่ดีหลุดกรอบอย่างเสียดาย

    นาที 84 โบโลญญ่า พลาดโอกาสตีไข่แตกหลัง นิโคล่า ซานโซเน่ ซัดด้วยซ้ายไปติดเซฟของ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า อีก 3 นาทีถัดมา ลอเรนโซ่ เด ซิลเวสตรี แบ็กขวาเติมขึ้นมาซัดบอลหลุดกรอบออกไป

    นาที 88 มิตเชลล์ ไดจ์ส แนวรับทีมเยือนมาโดนใบเหลืองที่สองเป็นใบแดงไล่ออกจากสนาม กระนั้นนาทีสุดท้าย ทาเกฮิโร่ โทมิยาสุ แนวรับทีมเยือนได้โขกกลางประตูแต่บอลก็ไม่พ้นมือของ ลูคัสซ์ สโครุปสกี้ –

    จบเกม เอซี มิลาน คว้าชัยเหนือ โบโลญญ่าที่ เหลือ 10 คน ท้ายเกม 2-0 คว้าสามแต้มสำคัญได้สำเร็จ

    รายชื่อ11ผู้เล่นทั้งสองทีม

        เอซี มิลาน (4-2-3-1) : จานลุยจิ ดอนนารุมม่า – ดาวิเด้ คาลาเบรีย, ซิมอน เคียร์, มัตเตโอ แก็บเบีย, เตโอ แอร์กน็องเดซ – ฟร้องค์ เกสซีเย่, อิสมาแอล เบนนาแซร์ – ซามู กาสเตเยโฆ, ฮาคาน ชาลาโนกลู, อันเต้ เรบิช- ซลาตัน อิบราฮิโมวิช

        เทรนเนอร์ : สเตฟาโน่ ปิโอลี่

        โบโลญญ่า (4-2-3-1) : ลูคัสซ์ สโครุปสกี้ – ลอเรนโซ่ เด ซิลเวสตรี, ทาเกฮิโร่ โทมิยาสุ, ดานิโล่, มิตเชลล์ ไดจ์ส – นิโคลาส โดมินเกวซ, เยอร์ดี้ เชาเท่น – ริคคาร์โด้ ออร์โซลินี่, โรแบร์โต้ โซเรียโน่, มูซ่า บาร์โรว์ – โรดริโก้ ปาลาซิโอ

        เทรนเนอร์ : ซินิซ่า มิไฮโลวิช

 

มาเน่เจ๋ง-ติอาโก้แจ่ม! ตัดเกรดแข้งลิเวอร์พูลเกมบุกเชือดเชลซี

ลิเวอร์พูล บุกมาคว้าชัยชนะที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้เป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกัน ผลการแข่งขันนี้ทำให้ "หงส์แดง" เก็บ 6 แต้มเต็มกับ 2 นัดแรกของฤดูกาล 2020/21 ต้องบอกว่าจุดเปลี่ยนที่สำคัญเลยคือการโดนใบแดงของ อันเดรียส คริสเตนเซ่น ทำให้ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ บดขยี้ในครึ่งหลังจนได้ประตูตามที่ต้องการ นอกจากเรื่องชัยชนะแล้วยังมีการเดบิวต์นักเตะใหม่ของลิเวอร์พูลด้วย เรามาเช็กผลสอบแข้งลิเวอร์พูลเกมนี้กัน

ลิเวอร์พูล

อลีสซง เบ็คเกอร์ 8

ครึ่งแรกไม่ได้มีโอกาสเซฟเลยเพราะเชลซียิงไม่ตรงกรอบสักครั้ง แต่ครึ่งหลังมาโชว์เซฟจุดโทษครั้งแรกในการเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ก่อนท้ายเกมปัดลูกยิงของ แทมมี่ อบราฮัม แบบสุดยอด

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ 6.5

ผ่านบอลขวางสนามให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน สุดแม่นยำ พยายามซัพพอร์ต ซาลาห์ ด้วยการจ่ายบอลให้ในพื้นที่สุดท้าย ลูกเซ็ตพีซเกมนี้ยังไม่แม่นมากนัก แต่ลงมาช่วยเกมรับไม่ทันบ้างแต่เป็นเรื่องปกติเมื่อเติมเกมสูงตลอด

ฟาบินโญ่ 8

ขยับลงมายืนเซนเตอร์แบ็กแทน โกเมส ที่บาดเจ็บแต่โชว์ฟอร์มดูดีกว่าเจ้าของตำแหน่งเสียอีก แวร์เนอร์ พยายามเลี้ยงผ่านหลายรอบแต่ติดบล็อกเขาตลอด แท็กเกิ้ลสำเร็จ 3 จาก 4 ครั้ง ตัดบอลอีก 4 ครั้ง

เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ 7

ไม่ได้โดดเด่นเหมือน ฟาบินโญ่ มากนักแต่ยังคงบัญชาการเกมรับยอดเยี่ยม ไม่มีความผิดพลาดให้เห็นและก็ไม่ได้เจองานยากจากเกมรุกเชลซีเท่าไหร่

แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน 7

ยังคงเติมเกมรุกเมามันส์และสร้างปัญหาให้กับเชลซีได้ตลอดทั้งเกม บทบาทมาเด่นขึ้นในช่วงครึ่งหลัง ประสานงานกับ มาเน่ ได้ดี

นาบี เกอิต้า 6

ทำได้ดีในเรื่องการพาบอลขึ้นหน้ากับต่อบอลสร้างเกมรุก แต่ ก็องเต้ และ จอร์จินโญ่ ตามบีบแดนกลางเลยทำอะไรไม่ถนัด โดยรวมยังไม่ได้โดดเด่นมากนัก

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 6

คุมเกมแดนกลางได้อยู่หมัดช่วยให้ทีมครองบอลบุกใส่ฝั่งเชลซีเป็นส่วนใหญ่ เป็นคนวางบอลยาวสุดสวยให้ มาเน่ หลุดเดี่ยวจนเรียกใบแดงได้สำเร็จ น่าเสียดายที่บาดเจ็บจนถูกเปลี่ยนตัวตอนพักครึ่ง

จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม 6

ค่อนข้างเล่นเพลย์เซฟเมื่อได้ครองบอลซึ่งบางครั้งทีมอาจจะต้องการเกมบุกมากขึ้น แต่เรื่องการยืนตำแหน่งและช่วยเกมรับในแดนกลางยังคงทำได้ดี

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ 7

หลังจากเปิดตัวอย่างสวยงามด้วยการแฮตทริกเมื่อนัดที่แล้ว เกมนี้บทบาทส่วนใหญ่เน้นไปที่การพยายามวิ่งสร้างพื้นที่ให้เพื่อนร่วมทีม ไม่ได้มีประตูฝากแฟนเดอะ ค็อปแต่ยังมีส่วนในการชิ่งบอลกับ ฟีร์มีโน่ จนได้ประตูแรก

โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ 7   

ใช้เวลาอยู่สักพักในการมีส่วนกับเกม จัดแอสซิสต์งามๆให้ มาเน่ โขกประตูขึ้นนำ เป็นฟอร์มปกติของเขาที่ไม่ได้โดดเด่นแต่คอยลงมาล้วงบอลและวิ่งเปิดพื้นที่ในแนวรับคู่แข่ง

ซาดิโอ มาเน่ 9

ค่อนข้างเงียบในเกมเจอกับ ลีดส์ แต่มาฉายแสงในเกมนี้ เป็นคนเรียกใบแดงซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของเกม ก่อนโขกประตูปลดล็อกให้กับทีมและยังโชว์ความขยันวิ่งฉกบอลจาก เกปา ทำประตูที่สอง การเคลื่อนที่ของเขาสร้างความปั่นป่วนในแนวรับคู่แข่งเหลือเกิน

ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม

ติอาโก้ อัลกันตาร่า 7 (ลงมาแทน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น.46)

ประเดิมสนามอย่างรวดเร็วให้กับ “หงส์แดง” จ่ายบอลได้เนียนตา คุมจังหวะเกมสร้างความสมดุลให้แดนกลาง อย่างไรก็ตามเขาดันมาทำเสียจุดโทษแต่ยังดีที่เพื่อนร่วมทีมเซฟได้

เจมส์ มิลเนอร์ 6 (ลงมาแทน นาบี เกอิต้า น.64)

เพิ่มตัวมีประสบการณ์ให้แดนกลาง คอยสั่งเพื่อนร่วมทีมตลอด

ทาคูมิ มินามิโนะ – (ลงมาแทน โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ น.86)

ลงมาท้ายเกมแล้ว

ฮาแวร์ทซ์แฮตทริก-ซิลวาเปิดตัว! เชลซียิงมันส์เท้าฉลุยศึกคาราบาวคัพ

"สิงห์บลูส์" เชลซี เกมนี้ส่งแนวรับคนใหม่ ติอาโก้ ซิลวา เล่นตัวจริงนัดแรก ส่วนอีก ไค ฮาแวร์ทซ์ ระเบิดแฮตทริกแรกให้ทีม-ของตนเองในชีวิตค้าแข้ง ถล่ม บาร์นสลี่ย์ ราบคาบ 6-0 ฉลุยเข้ารอบต่อไป รอดวล เลย์ตัน โอเรียน กับ สเปอร์ส ที่เลื่อนแข่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ในการแข่งขันศึกฟุตบอลคาราบาว คัพ รอบสาม คืนวันพุธที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา

สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์

     ศึกฟุตบอลคาราบาว คัพ รอบสาม คืนวันพุธที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา "สิงห์บลูส์" เชลซี ล่าสุดปราชัยเกมบิ๊กแมตช์ในลีก แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือเจ้าถิ่นปรับผู้เล่นหลายตำแหน่ง ส่งกองหลังตัวใหม่ "ติอาโก้ ซิลวา" ยืนเกมรับ แนวรุกยังใช้ "ไค ฮาแวร์ทซ์" บัญชาแดนกลาง รอดวลทีมเยือน บาร์นสลี่ย์ ทีมระดับแชมเปี้ยนชิพ ลูกทีมของ เกอร์ฮาร์ด สตรูเบอร์ ฟอร์มที่ผ่านมาในลีกแพ้มาสองแมตช์ติด ส่วนถ้วยนี้เขี่ย มิดเดิ้ลสโบรช์ เพื่อนร่วมลีกมาได้ มีตัวอันตราย "โดมินิก เฟรเซอร์" หวังซัดช่วยทีมลิ่วรอบต่อไป

     เพียงแค่นาทีแรก เอเมอร์สัน วางบอลโด่งขนานเส้นข้างด้านซ้าย ทิ้งมาให้ ไค ฮาแวร์ทซ์ จับบอลหนีตัวแนวรับทีมเยือน ไหลบอลต่อไปที่ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย แตะเข้าเขตโทษด้านขวาแล้วซัดแต่ติดเซฟ แบรดลีย์ คอลลินส์ นายทวารบาร์นสลี่ย์ ออกมาบล็อกทัน

     ทีมเยือนสวนกลับนาทีที่ 14 คอลลีย์ วูดโรว์ ได้บอลจากเพื่อนลองปั่นบอลกลางสนามเยื้องมาทางซ้ายระยะ 25 หลา บอลโค้งจะมุดกรอบประตูแต่ วิลลี่ กาบาเยโร่ นายทวารเจ้าบ้านโดดปัดพ้นอันตรายหวุดหวิด

     ยังเป็นผู้มาเยือนบุกนาทีที่ 17 คิเลียน ลูเดวิค เปิดบอลริมสนามด้านขวา บอลกระดอนมาในเขตโทษ เกมรับสิงห์บลูส์กะจังหวะไม่ดีปล่อยให้ อาโป ฮัลเม่ กองหลังบาร์นสลี่ย์ สอดโหม่งบอลแต่ยังเบาเข้ามือนายด่านเจ้าถิ่น

     ค่อมานาทีที่ 18 แทมมี่ อบราฮัม ถอยต่ำลงไปล้วงบอล ก่อนจ่ายให้ เมสัน เมาน์ท แปะบอลเข้าเขตโทษ ไค ฮาแวร์ทซ์ ตามมาเก็บบอลเข้าไปกระหน่ำในเขตโทษ แต่ยังไม่ดีน้ำหนักเกบาไป แบรดลีย์ คอลลินส์ นายทวารผู้มาเยือนรับสบาย

     สิงห์บลูส์ออกนำนาทีที่ 19 คัลลัม สไตลส์ ส่งบอลคืนหลังให้ อาโป ฮัลเม่ กองหลังเพื่อนร่วมทีม ทว่า แทมมี่ อบราฮัม แอบมาเบียดจากข้างหลังฉกบอลเข้าไปยิงผ่านมือนายทวารทีมเยือนตุงตาข่าย

     เชลซีพลาดนำอีกนาทีที่ 25 ไค ฮาแวร์ทซ์ โชว์สกิลลากบอลจากริมสนามทางขวามาถึงหน้ากรอบเขตโทษ ไหลบอลป้ายไปที่ เมสัน เมาน์ท ที่วิ่งสอดมาทางซ้ายหลุดเข้าเขตโทษไปซัดแต่บอลไม่ตรงกรอบออกข้างเสาด้านซ้ายไปแบบได้ลุ้น

     และแล้วนาทีที่ 29 เมสัน เมาน์ท แทงบอลริมสนามทางซ้าย บอลกลิ้งมาหน้ากรอบเขตโทษ แทมมี่ อบราฮัม กระโดดหลอกผู้เล่นบาร์นสลี่ย์ ปล่อยบอลลอดขาให้ ไค ฮาแวร์ทซ์ ดอดมารับบอลแล้วหวดเข้าไปซุกก้นตาข่าย

     ทีมเยือนชวดสกอร์นาทีที่ 33 คิเลียน ลูเดวิค ฟูลแบ็กทีมเยือน แอบเติมสูงมาจ่ายบอลเรียดเข้าเขตโทษฝั่งขวาให้ พาทริค ชมิดท์ จับบอลแล้วยิงแต่ยังถูกนายทวารสิงห์บลูส์พุ่งปัดพ้นเขตประตูสำเร็จ จบ 45 นาทีแรก เชลซี นำ 2-0

     เชลซีเริ่มสวยนาทีที่ 49 อเล็กซ์ โมวัตต์ กองกลางทีมเยือนถอยมารับบอลจากนายทวาร แต่ถูก ไค ฮาแวร์ทซ์ สไลด์บอลดัก เข้าทาง รอสส์ บาร์คลี่ย์ แตะบอลเข้ากลางเขตโทษไปแปบอลเรียดส่งเข้าสู่ก้นตาข่ายอีกเม็ด

     ไม่กี่อึดใจนาทีที่ 53 จอร์แดน วิลเลี่ยมส์ แบ็กขวาบาร์นสลี่ย์ ครองบอลพลาดถูก มาเตโอ โควาซิซ ฉกบอลก่อนเปิดจากริมเขตโทษด้านซ้ายให้ แทมมี่ อบราฮัม แตะตอกส้นบอลให้ ไค ฮาแวร์ทซ์ วิ่งเข้ามาพังสกอรืลูกที่สองของเจ้าตัวเกมนี้

     สิงห์บลูส์ทิ้งไกลนาทีที่ 65 เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า แทงบอลริมสนามด้านขวาเข้ากลางสนาม แทมมี่ อบราฮัม ลงมาต่ำตวัดบอลจังหวะเดียวทิ้งให้ ไค ฮาแวร์ทซ์ วิ่งหลุดเดี่ยวแตะบอลเข้าไปแตะหลบดวลนายทวารทีมเยือนหนึ่งครั้ง เข้าไปซัดแบบโล่งโจ้ง ระเบิดแฮตทริกแรกให้ทีมสำเร็จ

     เจ้าถิ่นยังไม่พอนาทีที่ 83 เบน ชิลเวลล์ โยนบอลจากริมเส้นทางซ้าย บอลกระดอนมาในเขตโทษ ก่อนเป็น โอลิวิเย่ร์ ชิรูด ที่ลงมาเป็นตัวสำรองย่อตัวเอาหัวโหม่งสะบัดเข้าประตูไป จบเกม เชลซี ชนะ บาร์นสลี่ย์ 6-0 ลิ่วรอบสี่ รอผู้ชนะคู่ เลย์ตัน โอเรียน กับ สเปอร์ส ที่เลื่อนแข่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

เชลซี (4-3-3): วิลลี่ กาบาเยโร่,เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า,ฟิคาโย่ โทโมรี่,ติอาโก้ ซิลวา (เคิร์ต ซูม่า น.61),เอเมอร์สัน,รอสส์ บาร์คลี่ย์,มาเตโอ โควาซิซ,เมสัน เมาน์ท,ไค ฮาแวร์ทซ์ (เบน ชิลเวลล์ น.66),แทมมี่ อบราฮัม (โอลิวิเย่ร์ ชิรูด น.72),คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย

บาร์นสลี่ย์ (4-3-3): แบรดลีย์ คอลลินส์,คิเลียน ลูเดวิค,มิชาเอล โซลเบาเออร์,อาโป ฮัลเม่,จอร์แดน วิลเลี่ยมส์,มาร์แซล ริตซ์ไมเออร์ (คล๊าร์ค โอดออร์ น.57),อเล็กซ์ โมวัตต์,คัลลัม สไตลส์,โดมินิก เฟรเซอร์ (คอเนอร์ แชปลิน น.58),พาทริค ชมิดท์,คอลลีย์ วูดโรว์ (ลุค โธมัส น.46)

 

ลินเดอเลิฟฟอร์มไม่น่า”เลิฟ”!ตัดเกรดแข้งแมนยูเกมพ่ายพาเลซคาบ้าน

ถือเป็นการออกสตาร์ทในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2020/21 ได้อย่างน่าผิดหวังสำหรับ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่พลาดท่าแพ้ คริสตัล พาเลซ 1-3 คารัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ด้วยฟอร์มการเล่นที่ดูไม่จืดเลย เพราะเล่นแย่ทั้งทีม โดยเฉพาะ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่ทำแฮตทริก… มีส่วนร่วมกับทั้งสามประตูที่เสีย แต่อย่างน้อยมีเรื่องเชิงบวกให้แฟนๆ ได้ชื่นใจหนึ่งอย่างคือ แข้งใหม่อย่าง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ทำประตูได้ทันทีตั้งแต่เกมแรกในสีเสื้อ แมนฯ ยูไนเต็ด และนี่คือผลสอบของลูกทีม โอเล่ กุนนาร์ โซลชา แต่ละคนในแมตช์นี้ 

11 ผู้เล่นตัวจริง

 – ดาบิด เด เคอา : 6
ช่วงต้นเกมมีจังหวะผ่านบอลพลาดหน้าประตูตัวเองแบบง่ายๆ จนทำให้แฟนๆ หัวเสียไม่น้อย ทว่ากับสามประตูที่เสียไปก็ไม่สามารถไปโทษอะไรเจ้าตัวได้ เพราะ เด เคอา ก็ช่วยเซฟลูกโทษได้หนึ่งครั้งด้วย แม้ป้องกันไม่สำเร็จในจังหวะที่ พาเลซ ได้ยิงจุดโทษรอบสองก็ตาม

 – ทิโมธี โฟซู-เมนซาห์ : 5
  ได้สตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมนี้ แต่กลับทำผลงานได้น่าผิดหวังในเกมรับ และมีส่วนต้องรับผิดชอบกับจังหวะเสียประตูแรกที่หลุดตำแหน่ง

 – วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ : 3
  เป็นวันที่เลวร้ายสุดๆ สำหรับ ปราการหลังชาวสวีดิชวัย 26 ปี เพราะนอกจากปล่อยให้คู่แข่งพาบอลผ่านแบบง่ายๆ ตลอดทั้งเกมแล้ว ทั้งสามประตูที่ทีมเสีย เจ้าตัวมีส่วนต้องรับผิดชอบทั้งหมด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการทำแฮนด์บอลเสียจุดโทษ

 – แฮร์รี่ แม็กไกวร์ : 5
  ฟอร์มต่ำกว่ามาตรฐานอีกหนึ่งเกมสำหรับกัปตัน แม็กไกวร์ โดยเฉพาะเรื่องความเชื่องช้าที่ถือเป็นจุดอ่อนสำคัญของเจ้าตัวในเกมนี้

 – ลุค ชอว์ : 4
  รับไปเต็มๆ กับประตูแรกที่เสีย เพราะคุม แอนดรอส ทาวน์เซนด์ ไม่ดี แถมแทบไม่ได้ช่วยอะไรเรื่องเกมรุกด้วย 

 – ปอล ป็อกบา : 5
  ถูกส่งลงสนามตัวจริงทั้งที่ชัดเจนว่าสภาพร่างกายยังไม่ฟิตสมบูรณ์ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ ป็อกบา ดึงฟอร์มเก่งออกมาไม่ได้ และขาดความคล่องตัว ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกช่วงกลางครึ่งหลัง 

 – สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ : 5.5
  ถึงแม้มีบางจังหวะที่ตามสกัดสวยๆ แต่นอกเหนือจากนั้นถือว่าน่าผิดหวัง

 – แดเนี่ยล เจมส์ : 4
  มีส่วนร่วมกับเกมน้อยมาก จนแทบไร้ตัวตนในสนาม

 – บรูโน่ แฟร์นันด์ส : 5.5
  เป็นเกมที่ บรูโน่ เค้นฟอร์มเก่งไม่ออก ไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้ ถึงแม้มีการผ่านบอลให้เพื่อนลุ้นทำประตูได้ถึง 5 ครั้ง ซึ่งมากสุดในสนามก็ตาม

 – มาร์คัส แรชฟอร์ด : 5
  เล่นไม่ออก ตลอดทั้งเกมได้ลุ้นยิงแค่หนเดียว แต่ก็ได้อยู่ในสนามจนจบเกม

 – อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล : 5
  ไม่ต่างกับ แรชฟอร์ด ที่ดับสนิท แถมมีส่วนร่วมกับเกมน้อยด้วย

 

สำรองที่ได้ลงเล่น

 – เมสัน กรีนวู้ด (แทน เจมส์ นาทีที่ 46) : 6
  ไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้ แต่ได้ลุ้นกับจังหวะโหม่งหลุดกรอบช่วงที่ทีมมีสกอร์ตามหลัง 0-1

– ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค (แทน ป็อกบา นาทีที่ 67) : 7
  แม้ทีมปราชัย แต่ถือเป็นการเปิดตัวได้สวยทีเดียวสำหรับแข้งใหม่ชาวดัตช์ที่ทำประตูได้ทันที หลังใช้เวลาอยู่ในสนามแค่ 13 นาทีเท่านั้น ซึ่งนั่นก็มาจากการยืนถูกที่ถูกเวลาของเจ้าตัว  

 – โอเดียน อิกาโล่ (แทน โฟซู-เมนซาห์ นาทีที่ 81) : –
  ไม่สามารถให้คะแนนได้