ใครจะอกหัก?! ส่องเงื่อนไขนัดสุดท้ายศึกชิงท็อปโฟร์ของ “ผี, สิงห์, จิ้งจอก”

เข้าสู่โปรแกรมนัดสุดท้ายอย่างเป็นทางการ สำหรับศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2019/20 ที่ตำแหน่งแชมป์และรองแชมป์ถูกการันตีไปก่อนหน้านี้แล้วแรมเดือนว่าตกเป็นของ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามลำดับ

ล่าสุด เมื่อคืนนี้ ในนัดที่ 37 ของซีซั่น จากผลงานที่ทัพหงส์แดงเปิดบ้านอัดเชลซี 5-3 ก่อนชูถ้วยฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกไปอย่างยิ่งใหญ่ ทำให้สถานการณ์ลุ้นท็อปโฟร์ของ 3 ทีม อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี และ เลสเตอร์ ซิตี้ ต้องอีรุงตุงนัง ลุ้นกันจนถึงนัดสุดท้าย

สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด รั้งอันดับ 3 มี 63 คะแนน ผลต่างประตู +28, อันดับ 4 เชลซี มี 63 คะแนน ผลต่างประตู +13 และ เลสเตอร์ ซิตี้ อยู่ที่ 5 มี 62 คะแนน ผลต่างประตู +28 โดยนัดปิดซีซั่นราวกับถูกเขียนบทไว้ล่วงหน้า เมื่อ จิ้งจอกสยาม มีโปรแกรมต้องเปิดบ้านดวลกับ ปีศาจแดง ด้วยนั่นเอง

ส่วนทางด้าน เชลซี มีคิวเฝ้ารังพบกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ทีมอันดับ 6 ที่ก็ต้องการชัยชนะเพื่อการันตีการจบท็อปซิกซ์เช่นกัน ทำให้ไม่ใช่งานง่ายแน่นอนสำหรับพลพรรคสิงห์บลูส์

และนี่คือ เงื่อนไขตั๋วยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของ แมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี, เลสเตอร์ ซิตี้ ในนัดสุดท้ายวันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคมนี้

– แมนฯ ยูฯ
ถ้าชนะ การันตีอันดับ 3 ทันที
ถ้าเสมอ การันตีติดท็อปโฟร์ทันที
ถ้าแพ้ ต้องลุ้นให้ เชลซี แพ้ วูล์ฟส์ ด้วยเช่นกัน

– เชลซี
ถ้าชนะ การันตีติดท็อปโฟร์ทันที
ถ้าเสมอ การันตีติดท็อปโฟร์ทันที
ถ้าแพ้ ต้องลุ้นให้ แมนฯ ยูฯ ชนะ เลสเตอร์ ให้ได้

– เลสเตอร์ ซิตี้
ถ้าชนะ การันตีติดท็อปโฟร์ทันที
ถ้าเสมอ ต้องลุ้นให้ เชลซี แพ้ วูล์ฟส์ สถานเดียว
ถ้าแพ้ จะได้อันดับ 5

แมนยูกู้หน้า-ลุ้นขึ้นที่3! “มาร์กซิยาล-แรชฟอร์ด” ผนึกหลอนรับเวสต์แฮม

"ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมจัดทัพที่ดีที่สุดหวังทวงชัยชนะกลับคืนมาอีกครั้งโดยมี มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ประสานคมแดนหน้าล่าตาข่าย เกมเปิดบ้านรับ "ขุนค้อน" เวสต์แฮม ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันพุธที่ 22 ก.ค. ศกนี้ ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 00.00 น.)

ปรีวิว ฟุตบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563
แมนฯ ยูไนเต็ด (5)   –   เวสต์แฮม (16)
ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 00.00 น.)

 

สนาม : โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

    โอเล่ กุนนาร์ โซลชา พาทีม ”ปีศาจแดง” แพ้ เชลซี 1-3 ในเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศเมื่อวันอาทิตย์เกมนี้ในลีกต้องการชนะ เวสต์แฮม ให้มากที่สุด เพื่อจะครองความได้เปรียบที่เพิ่มขึ้นในการเจอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ นัดสุดท้าย
   
    สภาพทีมของ แมนฯ ยูฯ ไม่ต่างอะไรจากเดิม ลุค ชอว์ กับ อั๊กเซล ตวนเซเบ้ ยังเจ็บไม่น่าจะมีชื่อในเกมนี้

    เอริก ไบยี่ ที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะในวันแพ้ เชลซี ก็ไม่น่าจะลงสนามได้เช่นกัน

    ส่วน ปอล ป็อกบา, อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล และ เมสัน กรีนวู้ด ที่เป็นตัวสำรองในวันดังกล่าวก็จะกลับมาเป็นตัวจริงทั้งหมดในนัดนี้

    ในรายของ ดาบิด เด เคอา ที่เกิดความผิดพลาดต่อเนื่องต้องลุ้นว่า โซลชา จะยังไว้ใจให้เฝ้าเสาประตูหรือเปลี่ยนไปเป็น เซร์คิโอ โรเมโร่ กันดี

    เดวิด มอยส์ พาทีม ขุนค้อน ชนะ 2 เกมรวดเหนือ นอริช 4-0 (เยือน) และ วัตฟอร์ด 3-1 (เหย้า) ทำให้ในทางปฏิบัติโอกาสตกชั้นแทบไม่มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคืนวันอังคาร แอสตัน วิลล่า ไม่ชนะ อาร์เซน่อล ทาง เดอะ แฮมเมอร์ส จะรอดตกชั้น 100 เปอร์เซ็นต์ด้วย

    ทีมเยือนจะต้องเช็กความฟิตของ ไรอัน เฟรเดอริกส์ แบ็กขวาที่ถูกใช้งานมาอย่างต่อเนื่อง ถ้าลงเล่นไม่ได้ เบน จอห์นสัน จะได้ทำหน้าที่แทนต่อไป

    เวสต์แฮม จะนำมาโดย มิคาอิล อันโตนิโอ ที่ 2 นัดล่าสุดซัดไป 5 ประตู และนับตั้งแต่รีสตาร์ตมาเขากดไป 7 ประตูแล้ว

ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    แมนฯ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา (เซร์คิโอ โรเมโร่) – แอรอน วาน-บิสซาก้า, วิคตอร์ ลินเดเลิฟ, แฮร์รี่ แม็กไกว์, แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ – ปอล ป็อกบา, เนมานย่า มาติช – เมสัน กรีนวู้ด, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, มาร์คัส แรชฟอร์ด – อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล
    ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

    เวสต์แฮม (4-2-3-1-) : ลูคัส ฟาเบียนสกี้ – เบน จอห์นสัน, อิสซ่า ดิย็อป, อันเจโล อ็อกบอนน่า, อารอน เครสส์เวลล์ – เดแคลน ไรซ์, โทมัส ซูเช็ค – จาร์ร็อด โบเว่น, มาร์ค โนเบิล, ปาโบล ฟอร์นัลส์ – มิคาอิล อันโตนิโอ
    ผู้จัดการทีม : เดวิด มอยส์

    ผู้ตัดสิน : พอล เทียร์นี่ย์

ผลการพบกัน 5 นัดหลังสุด
วัน/เดือน/ปี    รายการ    ผลการแข่งขัน
 22/09/19        พรีเมียร์ลีก        เวสต์แฮม ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-0
13/04/19        พรีเมียร์ลีก         แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ เวสต์แฮม  2-1
29/09/18        พรีเมียร์ลีก        เวสต์แฮม ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด  3-1
11/05/18        พรีเมียร์ลีก        เวสต์แฮม  เสมอ  แมนฯ ยูไนเต็ด 0-0
13/08/17        พรีเมียร์ลีก         แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ เวสต์แฮม  4-0

ผลงาน 5 นัดหลังสุด
แมนฯ ยูไนเต็ด
19/07/20  แพ้ เชลซี  1-3  (สนามกลาง)     เอฟเอ คัพ
16/07/20  ชนะ คริสตัล พาเลซ 2-0 (เยือน)     พรีเมียร์ลีก
13/07/20  เสมอเซาธ์แฮมป์ตัน 2-2  (เหย้า)      พรีเมียร์ลีก
09/07/20   ชนะ แอสตัน วิลล่า 3-0 (เยือน)     พรีเมียร์ลีก
04/07/20  ชนะ บอร์นมัธ  5-2 (เหย้า)      พรีเมียร์ลีก

เวสต์แฮม   
17/07/20  ชนะ วัตฟอร์ด 3-1 (เหย้า)     พรีเมียร์ลีก
11/07/20  ชนะ นอริช 4-0 (เยือน)         พรีเมียร์ลีก
08/07/20  แพ้ เบิร์นลี่ย์ 0-1 (เหย้า)         พรีเมียร์ลีก
05/07/20   เสมอ นิวคาสเซิ่ล 2-2 (เยือน)     พรีเมียร์ลีก
02/07/20 ชนะ เชลซี 3-2 (เหย้า)         พรีเมียร์ลีก

ผียิ้มหวาน! “โซลันกี้” เบิ้ลบอร์นมัธหนีตายรัวครึ่งหลังยำเลสเตอร์10คน

"จิ้งจอกสีน้ำเงิน" ของกุนซือ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เสียหายไม่น้อยหลังบุกพ่าย บอร์นมัธ 4-1 ทั้งที่ออกนำไปเกมตั้งแต่ช่วงต้นเกมแต่มาพลาดเองเสีย 2 ประตูใน 2 นาทีแถมมาโดนใบแดงเหลือ 10 คนมีเพิ่มเป็น 59 คะแนนมีโอกาสโดน แมนยู แซงขึ้นอันดับ 4 ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

สนาม : ไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม

    เอ็ดดี้ ฮาว กุนซือ "เดอะ เชอร์รี่ส์" อันดับ 18 ต้องการ 3 แต้มอย่างที่สุดเพื่อการอยู่รอดของพวกเขา โดยนับตั้งแต่รีสตาร์ตเพิ่งจะได้แค่แต้มเดียวจากการเปิดบ้านเสมอสเปอร์ส 0-0 ในนัดล่าสุดนั่นเอง

    ทางด้าน เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือ "จิ้งจอกสีน้ำเงิน" ต้องการชัยชนะอย่างที่สุดเพื่อรักษาอันดับ 4 เอาไว้ เนื่องจากมี แมนฯ ยูฯ จ่ออยู่ข้างหลัง 1 แต้ม โดยฟอร์มล่าสุดพวกเขาออกไปไล่ตีเสมออาร์เซน่อล ได้ 1-1 ที่ลอนดอน จาก เจมี่ วาร์ดี้

    ผ่าน 10 นาทีเป็น "จิ้งจอกสีน้ำเงิน" ทักทายก่อนจากจังหวะตักบอลเข้าเขตโทษของ มาร์ค อัลไบรท์ตัน ให้ เคเลชี่ อิเฮนาโช่ โฉบมายกบอลต่อเกือบถึง เจมี่ วาร์ดี้ ยังดีที่ นาธาน อาเก้ ตามมาพักอกทิ้งออกไปได้ทัน

    นาทีที่ 18 ทีมเยือน เร่งเครื่องต่อเนื่องเป็น อาโยเซ่ เปเรซ แทงช่องให้ เจมี่ วาร์ดี้ หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปปาดต่อให้ เคเลชี่ อิเฮนาโช่ แต่บอลลึกไปเข้ามือ อารอน แรมส์เดล

    แต่แล้วนาทีที่ 23 เลสเตอร์ ซิตี้ มาได้ประตูออกนำจากจังหวะชิ่งของ อาโยเซ่ เปเรซ แทงเร็วให้ เคเลชี่ อิเฮนาโช่ หลุดเข้าไปชิพบอลเข้ากลางประตูและเป็น ลอยด์ เคลลี่ สกัดไม่ดีเข้าทาง เจมี่ วาร์ดี้ ทิ้งตัวทิ่มบอลเข้าประตูไป

    ก่อนหมดเวลา 15 นาที โอกาสลุ้นอีกครั้งของ ทีมเยือน จากจังหวะสวนกลับของ เจมส์ จัสติน จ่ายบอลขวางเข้าในให้ เคเลชี่ อิเฮนาโช่ แต่งหาช่องตะบันด้วยซ้ายแต่บอลเบาเข้ามือ อารอน แรมส์เดล
   
    นาทีที่ 37 "จิ้งจอกสีน้ำเงิน" พลาดโอกาสทองจากความผิดพลาดของ อาร์เนาต์ ดันจูม่า จ่ายคืนหลังไม่ดีมาเข้าทาง เจมี่ วาร์ดี้ พาบอลเข้าเขตโทษล็อคเข้าซ้ายก่อนซัดไปติดบล็อค นาธาน อาเก้ นิดเดียว

    โอกาสยิงตรงกรอบของ บอร์นมัธ ต้องรอถึงช่วงทดเจ็บจาก เดวิด บรู๊คส์ ลากตัดเข้าในก่อนก้มหน้าตะบันด้วยซ้ายบอลเกือบเสียบสามเหลี่ยมแต่ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล พุ่งไปปัดทิ้งออกหลังได้ทัน

    นาทีสุดท้ายของช่วงทดเจ็บ เลสเตอร์ ซิตี้ หวิดบวกสกอร์เพิ่มจาก เจมส์ จัสติน และลูกเข้าชาร์จของ เจมี่ วาร์ดี้ แต่ยังไม่ดีพอผ่านมือ อารอน แรมส์เดล

    หมดครึ่งเวลาแรก บอร์นมัธ 0 เลสเตอร์ ซิตี้ 1

    เปิดฉากครึ่งหลังได้ 5 นาทียังคงเป็น เลสเตอร์ ซิตี้ ทำได้ดีกว่ามีโอกาสยิงอีกครั้งจากลูกจ่ายของ เจมี่ วาร์ดี้ ป้ายต่อให้ อาโยเซ่ เปเรซ ตั้งป้อมกดด้วยขวาบอลพุ่งแรงแต่ตรงตัว อารอน แรมส์เดล

    นาทีที่ 59 เจ้าถิ่น พลาดโอกาสตีเสมอเป็นจังหวะชุลมุนหน้าประตูสุดท้าย สตีฟ คุก หมุนตัวตวัดจ่ายตัดหลังแนวรับ เลสเตอร์ ซิตี้ มาเข้าทาง คัลลั่ม วิลสัน แต่เจ้าตัวปล่อยบอลผ่านหน้าออกไปเหลือเชื่อ

    ต่อมานาทีที่ 65 บอร์นมัธ มาตามตีเสมอสำเร็จจากลูกจุดโทษเป็นความผิดพลาดของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล เตะไม่ดีไปอัดโดน วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ เด้งมาเข้าทาง คัลลั่ม วิลสัน ในเขตโทษก่อนโดน เอ็นดิดี้ ตามาเกี่ยวขาร่วงลงไป จูเนียร์ สตานิสลาส สังหารเข้าไปไม่พลาด

    2 นาทีต่อมา เจ้าถิ่น พลิกออกนำทันทีเป็นบอลจากครึ่งสนามของ บอร์นมัธ วางข้ามแนวรับให้ โดมินิก โซลันกี้ ใช้ความเร็วสอดขึ้นมาซัดไปติดเซฟ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล แต่บอลยังแรงไหลเข้าประตูไป

    และจากจังหวะต่อเนื่อง คัลลั่ม วิลสัน พยายามเข้าไปเก็บบอลเพื่อเอามาเล่นต่อแต่ คักลาร์ โซยุนชู ไปนอกเกมหวดขาร่วงลงไป สจ๊วร์ต แอตเวลล์ เช็ควีเออาร์ก่อนให้ใบแดงไล่ออกจากสนามทันที

    นาทีที่ 83 บอร์นมัธ หนีห่างออกไปอีกจากความสามรถเฉพาะตัวของ จูเนียร์ สตานิสลาส สับขาหลอกก่อนซัดไปแฉลบขา จอนนี่ อีแวนส์ เปลี่ยนทางผ่านมือ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ตุงตาข่าย

    ยังไม่หนำใจ เจ้าถิ่น มาปิดกล่องสำเร็จจากจังหวะผิดพลาดอีกครั้งของ คริสเตียน ฟุคส์ จ่ายบอลย้อนหลังเบาโดน โดมินิก โซลันกี้ โฉบมาทิ่มบอลลอดขา แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ไม่เหลือ

    จบเกม บอร์นมัธ 4 เลสเตอร์ ซิตี้ 1

ผู้เล่นที่ลงสนามตัวจริง

    บอร์นมัธ (4-4-2) : อารอน แรมส์เดล – แจ็ค สเตซี่ย์, นาธาน อาเก้, ลอยด์ เคลลี่, ดีเอโก้ รีโก้ – เดวิด บรู๊คส์, แดน กอสลิ่ง, เจฟเฟร์ซอน เลร์ม่า, อาร์เนาต์ ดันจูม่า – โดมินิก โซลันกี้, คัลลั่ม วิลสัน

ผู้จัดการทีม : เอ็ดดี้ ฮาว

    เลสเตอร์ ซิตี้ (3-4-1-2) : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล –  เจมส์ จัสติน, จอนนี่ อีแวนส์, คักลาร์ โซยุนชู – มาร์ค อัลไบรท์ตัน, วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้, ยูริ ตีเลอมันส์, คริสเตียน ฟุคส์ – อาโยเซ่ เปเรซ – เคเลชี่ อิเฮนาโช่, เจมี่ วาร์ดี้

ผู้จัดการทีม : เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

    ผู้ตัดสิน : สจ๊วร์ต แอตเวลล์

ชไนเดอร์ลินโทษตัวเองล้มเหลวกับแมนยู

มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน มิดฟิลด์สโมสรนีซ ยันตนทำผิดพลาดที่ไม่รู้จักอดทนช่วงที่เล่นให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ระบุไม่เคยเสียใจที่ย้ายไปร่วมชุด "เร้ด เดวิลส์" เพราะได้รับประสบการณ์ที่แสนวิเศษมากมาย

    มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน กองกลางเลือดเฟร้นช์ของ นีซ สโมสรดังแห่งศึกลีก เอิง ฝรั่งเศส ไม่โทษใครนอกจากตัวเองกับความล้มเหลวตอนที่ย้ายไปเล่นให้กับ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมระบุไม่เสียใจที่ย้ายไปที่นั่น เพราะได้รับประสบการณ์ที่ดีๆ มากมาย

    หลุยส์ ฟาน กัล ที่ในเวลานั้นยังนั่งกุมบังเหียน "เร้ด เดวิลส์" จัดการดึงตัว ดาวเตะดีกรีทีมชาติฝรั่งเศส มาจาก "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ (ราว 950 ล้านบาท) เมื่อปี 2015 แต่ตลอดช่วง 2 ฤดูกาลในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เขาไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลย จนสุดท้ายโดน โชเซ่ มูรินโญ่ ขายทิ้งไปให้กับ เอฟเวอร์ตัน

    แม้ว่าจะล้มเหลวในฐานะนักเตะ "ผีแดง" ก็ตาม แต่ ชไนเดอร์ลิน ยืนยันว่าไม่มีอะไรต้องเสียใจที่ย้ายไปเล่นให้สโมสรเจ้าของแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี 20 สมัย ที่สำคัญยังรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เล่นให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด "มันเป็นความภาคภูมิใจสำหรับผม (ที่ได้เล่นกับแมนฯ ยูฯ) มันเป็นเกียรติอย่างยิ่ง"

        "ผมอยากมีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานๆ ซึ่งมันคงทำให้เส้นทางของผมแตกต่างไปจากนี้ แต่แน่นอนว่าผมต้องตำหนิตัวเอง ผมควรจะมีความอดทนมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามผมไม่เคยเสียใจอะไรทั้งนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่แสนวิเศษสำหรับผม" ชไนเดอร์ลิน ระบุ

แมนยูไนเต็ด ไล่ล่าแชมป์ลีกซีซั่น 2020/2021

 

ตอนนี้สาวก "เร้ด อาร์มี่" คงอยู่ในช่วงหน้าชื่นตาบานหลังผลงานของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังดีวันดีคืน โดย โอเล่ กุนนาร์ โซลชา สามารถนำทีมกลับมาเล่นได้อย่างดุดัน และแข็งแกร่ง พร้อมกับทำสถิติสุดยอดสะกดคำว่าแพ้ใครไม่เป็นมานานถึง 17 แมตช์แล้ว

     แน่นอนว่าเป้าหมายของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในตอนนี้คือการทำอันดับให้สูงที่สุด เพื่อคว้าโควตาไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และการลุ้นคว้าแชมป์ในซีซั่น 2019/2020 หลังจากที่พวกเขายังอยู่ในเส้นทางความสำเร็จในทั้งศึกเอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก

     สำหรับในเวลานี้สิ่งที่ โซลชา จำเป็นต้องคิดอย่างหนักก็คือการเสริมทัพ เพื่อหวังที่จะเพิ่มศักยภาพให้กับทีมในการก้าวขึ้นมาทัดเทียม ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลหน้า โดยเป้าหมายหลักในตอนนี้ของ "น้าลูกอม" ก็คือ เจดอน ซานโช่ ปีกฟอร์มกระฉูดจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

     นอกจากนี้ส่วนของเกมรับพวกเขาอยากได้ คาลิดู คูลิบาลี่ มายืนคู่กับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ พร้อมกันนี้ยังต้องการหน้าเป้าที่มีประสบการณ์ และฝีเกือกคมอย่าง  ราอูล ฮิเมเนซ มาเสริมทัพ  ในส่วนของเกมรุก  "ผีแดง"  อาจจะมีการปรับบ้างนิดหน่อย  โดยทั้ง อองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล กับ เมสัน กรีนวู้ด คงต้องหลีกทางให้ ฮิมิเนซ ลงไปไล่ล่าตาข่ายก่อน

เกมรับแข็งแกร่งขึ้น
     ดาบิด เด เคอา อาจจะมีบางช่วงที่ฟอร์มหลุดไปบ้าง แต่เขายังคงเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 สำหรับ โซลชา เสมอ แม้ ดีน เฮนเดอร์สัน โกลอนาคตไกลจะทำผลงานได้ดีในการยืมตัวกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด แต่คงยากที่จะเบียดยึดตัวจริงหากกลับมาอยู่ในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

     ขณะที่ในตำแหน่งฟลูแบ็กมีความเป็นไปได้สูงที่ "น้าลูกอม" จะใช้งาน อารอน วาน-บิสซาก้า ทางฝั่งขวา และ ลุค ชอว์ ทางฝั่งซ้าย เพราะทั้งสองคนกำลังทำผลงานได้อย่างสะเด็ดสะเด่าในช่วงที่ผ่านมา ช่วยทำให้เกมบุกของ "ปีศาจแดง" มีมิติที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

     ส่วน แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ ซึ่งเพิ่งอายุเพียง 19 ปี แม้ว่าจะโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นนับตั้งแต่ที่ได้รับโอกาสขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ก็ตาม แต่คาดว่านักเตะจำเป็นต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกสักพัก เพื่อที่จะพัฒนาศักยภาพในการก้าวขึ้นมาเป็นตัวจริง เช่นเดียวกับ ดีโอโก้ ดาโลต์ ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองอีกหน่อยหลังหายจากอาการบาดเจ็บ สำหรับ ทิโมธี โฟซู-เมนซาห์ ยังต้องรอโอกาสของตัวเองต่อไป

     ด้านตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กนั้น แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ยืนเป็นเสาหลักในเกมรับโดยคู่หูของเขามีการผลัดเปลี่ยนกันระหว่าง วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ กับ เอริก ไบยี่ แต่หากเกิดกรณีที่ โซลชา ตัดสินใจทุ่มเงินกระชากตัว คาลิดู คูลิบาลี่  กองหลังจอมแกร่งจาก นาโปลี มาร่วมทีมได้ แน่นอนว่า เขาจะเป็นคู่เกมรับที่สุดเพอร์เฟกต์สำหรับ แม็กไกวร์ อย่างแท้จริง

     ในส่วนของ ฟิล โจนส์ กับ คริส สมอลลิ่ง คงจะต้องออกไปหาโอกาสในการลงสนามกับสโมสรใหม่ โดยในรายของ สมอลลิ่ง มีแววสูงมากที่จะย้ายไปเล่นแบบถาวรกับ โรม่า ขณะที่ โจนส์ อาจจะต้องไปเล่นกับทีมระดับกลางตาราง สำหรับ อั๊กเซล ตวนเซเบ้ ต้องรอคอยโอกาสของเขา แต่นักเตะยังมีอนาคตในยุค "น้าลูกอม" แน่นอน

แผงมิดฟิลด์สุดยอดเกินจะบรรยาย
     สำหรับตอนนี้ ปอล ป็อกบา กลับมาทำผลงานได้อย่างโดดเด่นนับตั้งแต่ที่เกมพรีเมียร์ลีก รีสตาร์ท โดยนักเตะมีสภาพร่างกายที่ฟิตสมบูรณ์ ที่สำคัญยังเล่นบอลแบบไม่เห็นแก่ตัว โดยเจ้าตัวจับคู่เล่นได้เข้าขากับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ซึ่งสถิติของทั้งสองคนยอดเยี่ยมมากๆ

     นอกจากนี้พวกเขายังมีอิสระในการเล่นมากยิ่งขึ้น เมื่อได้ เนมานย่า มาติช คอยจัดการเก็บกวาดในแดนกลาง ในเวลานี้ต้องยอมรับว่า มาติช ทำผลงานได้อย่างคงเส้นคงวา และโดดเด่นมากๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ตัดสินใจมอบสัญญา 3 ปีให้กับเจ้าตัว

     ด้วยผลงานชิ้นโบว์แดงส่งผลให้ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ จำเป็นต้องนั่งอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรอง อย่างไรก็ตาม ดาวเตะเลือดวิสกี้ ก็ยังมีโอกาสหากเขาสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเอง และสู้อย่างเต็มที่เพื่อแย่งตำแหน่งกับ แข้งเลือดเซิร์บ ด้าน เฟร็ด ยังคงมีอนาคตกับทีมเพราะผลงานของเขากำลังดีวันดีคืนและมีส่วนช่วยทีมเยอะมากในช่วงที่ผ่านมา แต่กระนั้นก็ยังคงเป็นรอง มาติช

     ในขณะที่ เจสซี่ ลินการ์ด, อันเดรส เปเรยร่า และ ฆวน มาต้า อาจจะไม่มีตำแหน่งให้ยืนในโรงละครแห่งความฝัน สำหรับ เจมส์ การ์เนอร์ ดาวรุ่งพุ่งแรงอีกคน น่าจะเป็นผู้เล่นที่ โซลชา พร้อมที่จะให้โอกาสลงสนามมากขึ้น และคงได้รับการเจียระไนฝีเท้าจาก "น้าลูกอม" ต่อไป

แนวรุกเร็วแรงทะลุนรก
     สำหรับตอนนี้เป้าหมายแรกในการเสริมทัพของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็คือ เจดอน ซานโช่ และพวกเขามีโอกาสอย่างยิ่งที่จะได้นักเตะมาจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในช่วงซัมเมอร์นี้ สำหรับ เมสัน กรีนวู้ด ก็ยังมีโอกาสที่จะเป็นตัวเลือกหลักสำหรับ โซลชา หลังจากที่นักเตะระเบิดฟอร์มสุดยอดด้วยการตะบันไป 4 ประตูจาก 3 เกมหลังสุด และซัดไปแล้ว 18 ประตูจากการเล่นทุกรายการในซีซั่นนี้

     แน่นอนว่าผลงานของ กรีดวู้ด ร้อนแรงเหลือเกิน โดยนักเตะมีพรสวรรค์เต็มเปี่ยม เต็มไปด้วยความรวดเร็ว และยังยิงได้คมทั้งสองเท้า จนตอนนี้กลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของสาวก "เร้ด อาร์มี่" แต่เมื่อเทียบกับประสบการณ์แล้ว ซานโช่ มีความโชกโชนมากกว่า ฉะนั้นหาก แมนฯ ยูฯ ได้ ดาวเตะเลือดผู้ดี มาร่วมทีม เขาคงเป็นตัวเลือกแรกในเกมรุกของทีม

     ส่วนแข้งสำคัญของทีมในเวลานี้อย่าง แฟร์นันด์ส ต้องบอกเลยว่าเป็นนักเตะคีย์แมนที่ช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ไร้พ่ายมานานถึง 17 แมตช์ ฉะนั้นในฤดูกาลหน้า สตาร์ลูกหนังชาวโปรตุกีส ยังคงเป็นผู้เล่นหลักในเกมรุกของทีม ในขณะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด และ อองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล ทำผลงานได้ดีเยี่ยมในซีซั่นนี้ โดยความเร็ว, ทักษะ และการจบสกอร์ของพวกเขาเป็นสิ่งที่ "ผีแดง" ขาดไม่ได้จริงๆ

     อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ โซลชา ต้องการก็คือหน้าเป้าที่มีการจบสกอร์แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และชื่อนักเตะที่เขาอยากได้มาร่วมทีมก็คือ ราอูล ฮิเมเนซ กองหน้าตัวเก่งจาก "หมาป่า" วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ ที่โชวฟอร์มได้อย่างร้อนแรงโดยซัดประตูให้กับต้นสังกัดไปแล้ว 24 ลูกจากทุกรายการในฤดูกาลนี้

     ฉะนั้นหาก ฮิมิเนซ ย้ายมาสวมเครื่องแบบ "ปีศาจแดง" จริงๆ มาร์กซิยาล คงต้องยอมหลบทาง โดยเขายังเป็นนักเตะสำคัญของ โซลชา แต่คงต้องเป็นยางอะไหล่ไปก่อน ที่สำคัญหากทีมมีเกมรุกที่ดุดันแบบนี้อนาคตของ แดเนี่ยล เจมส์ น่าจะต้องโดนส่งไปพัฒนาฝีเท้ากับทีมอื่นด้วยสัญญายืมตัว

      ด้าน โอเดียน อิกาโล่ ซึ่งทำผลงานได้ดีในช่วงที่ย้ายมาเล่นแบบยืมตัวกับ แมนฯ ยูไนเต็ด สโมสรอันเป็นที่รักของเขา คงจะต้องกลับไปที่ เซี่ยงไฮ้ กรีนแลนด์ เสิ่นหัว ต้นสังกัดแม่ในศึกไชนีส ซูเปอร์ลีก ในฤดูกาลหน้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากช่วงที่เหลืออยู่ของฤดูกาลนี้ ดาวเตะไนจีเรีย โชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจ เขาก็มีโอกาสได้เซ็นสัญญาถาวรเช่นกัน

 

เลสเตอร์ขอแซงขึ้นที่3! “วาร์ดี้” พร้อมกระชากซัดถิ่นบอร์นมัธที่สู้หนีตกชั้น

"จิ้งจอกสีน้ำเงิน" เลสเตอร์ ซิตี้ หวังคว้าชัยเพื่อแซงขึ้นไปรั้งอันดับ 3 โดยมี เจมี่ วาร์ดี้ ดาวยิงตัวเก่งพร้อมปิดสกอร์เกมบุกถิ่น บอร์นมัธ ที่จะสู้เพื่อแต้มสำคัญช่วยให้หนีห่างโซนตกชั้น ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันอาทิตย์ที่ 12 ก.ค. ศกนี้   ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 01.00 น.)

ปรีวิวฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2563
บอร์นมัธ   –   เลสเตอร์ ซิตี้
ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 01.00 น.)

สนาม : ไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม

    เอ็ดดี้ ฮาว กุนซือเดอะ เชอร์รี่ส์ อันดับ 18 ต้องการ 3 แต้มอย่างที่สุดเพื่อการอยู่รอดของพวกเขา โดยนับตั้งแต่รีสตาร์ตเพิ่งจะได้แค่แต้มเดียวจากการเปิดบ้านเสมอสเปอร์ส 0-0 ในนัดล่าสุดนั่นเอง

    บอร์นมัธมีปัญหาในเกมรับเมื่อ อดัม สมิธ เจ็บศีรษะในเกมกับสเปอร์ส จนต้องโดนเปลี่ยนออก โดยก่อนหน้านี้ ชาร์ลี แดเนียลส์, คริส เมปแฮม และ ไซม่อน ฟรานซิส ก็เจ็บอยู่ก่อนแล้ว

    ทีมยังต้องลุ้นความฟิตของ เดวิด บรู๊คส์ ตัวรุกชาวเวลส์อีกรายด้วยว่าจะพร้อมสำหรับเกมนี้หรือไม่ เนื่องจากมีอาการตึงที่น่อง

    เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือจิ้งจอกสีน้ำเงินต้องการชัยชนะอย่างที่สุดเพื่อรักษาอันดับ 4 เอาไว้ เนื่องจากมี แมนฯ ยูฯ จ่ออยู่ข้างหลัง 1 แต้ม โดยฟอร์มล่าสุดพวกเขาออกไปไล่ตีเสมออาร์เซน่อล ได้ 1-1 ที่ลอนดอน จาก เจมี่ วาร์ดี้

    เลสเตอร์ไม่น่าจะมี เบน ชิลเวลล์ แบ็กซ้ายทีมชาติอังกฤษที่เจ็บเท้า รวมทั้ง ริคาร์โด้ เปเรยร่า ที่เจ็บเข่าด้วย

    เจมส์ แมดดิสัน ตัวรุกคนสำคัญมีอาการบาดเจ็บที่สะโพก ไม่น่าจะลงสนามได้เช่นกัน

ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    บอร์นมัธ (4-4-2) : อารอน แรมส์เดล – แจ็ค สเตซี่ย์, นาธาน อาเก้, ลอยด์ เคลลี่, ดีเอโก้ รีโก้ – แฮร์รี่ วิลสัน, แดน กอสลิ่ง, เจฟเฟร์ซอน เลร์ม่า, จูเนียร์ สตานิสลาส – โจชัว คิง, คัลลั่ม วิลสัน
    ผู้จัดการทีม : เอ็ดดี้ ฮาว

    เลสเตอร์ ซิตี้ (3-4-3) : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล – ไรอัน เบนเน็ตต์, จอนนี่ อีแวนส์, คักลาร์ โซยุนชู – เจมส์ จัสติน, วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้, ยูริ ตีเลอมันส์, มาร์ค อัลไบรท์ตัน – เคเลชี่ อิเฮนาโช่, เจมี่ วาร์ดี้, อาโยเซ่ เปเรซ
    ผู้จัดการทีม : เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

    ผู้ตัดสิน : สจ๊วร์ต แอตเวลล์

ผลการพบกัน 5 นัดหลังสุด
วัน/เดือน/ปี    รายการ    ผลการแข่งขัน
31/08/19    พรีเมียร์ลีก    เลสเตอร์ 3 – 1 บอร์นมัธ    
30/03/19    พรีเมียร์ลีก    เลสเตอร์ 2 – 0 บอร์นมัธ    
15/09/18    พรีเมียร์ลีก    บอร์นมัธ 4 – 2 เลสเตอร์    
03/03/18    พรีเมียร์ลีก    เลสเตอร์ 1 – 1 บอร์นมัธ    
30/09/17    พรีเมียร์ลีก    บอร์นมัธ 0 – 0 เลสเตอร์

ผลงาน 5 นัดหลังสุด
บอร์นมัธ
09/06/20 เสมอ สเปอร์ส 0-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
04/07/20 แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-5 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
02/07/20 แพ้ นิวคาสเซิ่ล 1-4 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
25/06/20 แพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน 0-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
21/06/20 แพ้ คริสตัล พาเลซ 0-2 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก

เลสเตอร์
07/06/20 เสมอ อาร์เซน่อล 1-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
04/06/20 ชนะ คริสตัล พาเลซ 3-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
02/07/20 แพ้ เอฟเวอร์ตัน 1-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
28/06/20 แพ้ เชลซี 0-1 (เหย้า) เอฟเอ คัพ
24/06/20 เสมอ ไบรท์ตัน 0-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก

“ซน”นำยิง! สเปอร์สยอมไม่ได้จัดทัพบุกเชฟยู ใครเฮแซงปืนขึ้นที่7

"ไก่เดือยทอง" สเปอร์ส หมายตาชัยชนะเก็บสามแต้มกลับถิ่น มี "ซน ฮึง-มิน" หัวหอกโสมขาวพร้อมพังตาข่ายเจ้าถิ่น "ดาบคู่" เชฟฯ ยูไนเต็ด ที่ผลงานตั้งแต่คัมแบ็กลีกไม่ชนะใคร แถมเจาะประตูไม่ได้สักลูก ที่สำคัญเกมนี้หากทีมไหนชนะจะโดดแซงหน้า อาร์เซน่อล รั้งที่ 7 ทันที ในการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ อังกฤษ คืนวันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563

ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563
เชฟฯ ยูไนเต็ด (9) – สเปอร์ส (7)
ถ่ายทอดสด TPF HD 1 (600) เวลา : 00.00 น.
สนาม : บรามอลล์ เลน

    คริส ไวล์เดอร์ กุนซือ ”ดาบคู่” พาทีมเสมอ แอสตัน วิลล่า 0-0 ในนัดตกค้างตามด้วยการแพ้ 3 นัดรวดพวกเขาไปเสร็จ นิวคาสเซิ่ล 3-0, แพ้ แมนฯ ยูฯ ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 3-0 นัดล่าสุดเตะ เอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมในบ้านก็แพ้ อาร์เซน่อล ไป 1-2 อีก

    ทีมจะต้องลุ้นความฟิตของ จอห์น ลุนด์สแตรม นักเตะสารพัดประโยชน์ที่มีอาการเจ็บที่หัวไหล่อยู่เล็กน้อย

    แจ็ค โอ’คอนเนลล์ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องลุ้นเช่นกันจากอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า

    โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือ ไก่เดือยทอง พาทีมลงเล่นช่วงรีสตาร์ต 2 เกมยังไม่แพ้ใครพวกเขาเสมอกับ แมนฯ ยูฯ 1-1 ที่ ลอนดอน ตามด้วยการเล่นในบ้านอีกนัดทุบ เวสต์แฮม ไป 2-0

    สภาพทีมของ ไก่เดือยทอง ถือว่ายอดเยี่ยมเลย นักเตะในกลุ่มผู้เล่นตัวจริงสมบูรณ์สุดขีด

    จะมีปัญหาก็แค่กองหลังตัวสำรองอย่าง จาเฟ็ต แทนทังก้า และกองหน้าดาวรุ่งอย่าง ทรอย แพร์ร็อตต์ ที่ยังบาดเจ็บอยู่เท่านั้น

ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

      เชฟฯ ยูฯ (3-5-2) : ดีน เฮนเดอร์สัน – คริส บาแช่ม, จอห์น เอแกน, แจ็ค โรบินสัน – จอร์จ บัลด็อก, แซนเดอร์ เบิร์ก, โอลิเวอร์ นอร์วู้ด, จอห์น เฟล็ค, เอ็นดาร์ สตีเว่นส์ – โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นี่, เดวิด แม็คโกลดริก

ผู้จัดการทีม : คริส ไวล์เดอร์

      สเปอร์ส (4-2-3-1) : อูโก้ โยริส – แซร์ช โอริเย่ร์, ดาวินซอน ซานเชซ, เอริก ดายเออร์, เบน เดวิส-มูสซ่า ซิสโซโก้, โจวานนี่ โล เซลโซ่-ลูคัส มูร่า, เดเล่ อัลลี่, ซน ฮึง-มิน- แฮร์รี่ เคน

ผู้จัดการทีม : โชเซ่ มูรินโญ่

ผู้ตัดสิน : เควิน คาวานาฟ

ผลการพบกันที่ผ่านมา

วัน/เดือน/ปี  รายการ  ผลการแข่งขัน

09/11/19 พรีเมียร์ลีก สเปอร์ส 1-1 เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
28/01/15 ลีก คัพ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-2 สเปอร์ส
21/01/15 ลีก คัพ สเปอร์ส 1-0 เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
10/02/07 พรีเมียร์ลีก เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-1 สเปอร์ส
22/08/06 พรีเมียร์ลีก สเปอร์ส 2-0 เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด

ผลงาน 5 นัดหลังสุด

เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด

28/06/20 แพ้ อาร์เซน่อล 1-2 (เหย้า) เอฟเอ คัพ
24/06/20 แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-3 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
21/06/20 แพ้ นิวคาสเซิ่ล 0-3 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
17/06/20 เสมอ แอสตัน วิลล่า 0-0 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
10/06/20 ชนะ ฮัลล์ ซิตี้ 4-0 (เหย้า) กระชับมิตร

สเปอร์ส

23/06/20 ชนะ เวสต์แฮม 2-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
19/06/20 เสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
10/03/20 แพ้ แอร์เบ ไลป์ซิก 0-3 (เยือน) แชมเปี้ยนส์ ลีก
07/03/20 เสมอ เบิร์นลี่ย์ 1-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
04/03/20 เสมอ นอริช ซิตี้ 1-1 (เหย้า) เอฟเอ คัพ
(แพ้จุดโทษ 2-3)

ผีห้ามพลาด! แมนยูสู้เพื่อท็อปโฟร์จัด “มาร์กซิยาล” นำทัพซัดไบรท์ตัน

”ปีศาจแดง” ของนายใหญ่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ทีมอันดับ 6 พลาดไม่ได้ในเกมนี้เพื่อไล่จี้ เชลซี อันดับ 4 ที่ทิ้งห่างอยู่ 5 คะแนน ความพร้อมเกมนี้ไม่มีปัญหาจัด อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล นำทัพลุย ทางด้าน ”นกนางนวล” ของกุนซือ เกรแฮม พ็อตเตอร์ อยู่เหนือโซนตกชั้น 6 แต้มแต่ยังวางใจไม่ได้มี นีล โมแป ลงบู็สู้ ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันอังคารที่ 30 มิ.ย. นี้
ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563
ไบรท์ตัน –  แมนฯ ยูไนเต็ด
ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 02.15 น.)
สนาม : เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม

    เกรแฮม พ็อตเตอร์ พาทีม ”นกนางนวล” เก็บ 4 แต้มจากการรีสตาร์ตไป 2 เกมด้วยการชนะอาร์เซน่อล 2-1 (เหย้า) และเสมอเลสเตอร์ 0-0 (เยือน) นั่นทำให้พวกเขาอยู่อันดับ 15 เหนือโซนตกชั้น 6 แต้มหายใจหายคอคล่องขึ้นเยอะ

    สภาพทีมของไบรท์ตันก็ถือว่าดีเลย จะขาดไปก็เพียงแค่ โฮเซ่ อิซเกียร์โด้ เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

    ทาง อดัม เว็บสเตอร์ ผู้เล่นเซนเตอร์แบ็กมีอาการที่เอ็นหลังหัวเข่าอยู่เล็กน้อย ต้องทดสอบความฟิตกันก่อน

    ขณะที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา พาทีม ”ปีศาจแดง” ไม่แพ้ใครในทุกรายการมา 14 เกมติดต่อกันแล้ว ล่าสุดในเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมพวกเขาบุกไปเอาชนะนอริชได้ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ได้ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปเจอกับเชลซี ยักษ์ใหญ่แห่งกรุงลอนดอน

    นัดปะทะนกขมิ้น โซลชาให้ตัวจริงได้พักหลายคน เชื่อว่านัดนี้นักเตะอย่าง ดาบิด เด เคอา, ปอล ป็อกบา, อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล, มาร์คัส แรชฟอร์ด ฯลฯ จะกลับมาเป็นตัวจริงแน่ โดย เซร์คิโอ โรเมโร่, ดีโอโก้ ดาโลต์, เอริก ไบยี่, เจสซี่ ลินการ์ด, ฆวน มาต้า และ โอเดียน อิกาโล่ จะกลับไปนั่งสำรองตามเดิม

    เวลานี้ขุมกำลังของแมนฯ ยูฯ สมบูรณ์ทีเดียวจะขาดไปก็แค่ อักเซล ตวนเซเบ้ และ ฟิล โจนส์ 2 ปราการหลังที่เจ็บขาอยู่เท่านั้น

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    ไบรท์ตัน (4-4-2) : แม็ทธิว ไรอัน – ทาริก แลมพ์ตี้ย์, อดัม เว็บสเตอร์, ลูอิส ดังค์, แดน เบิร์น – แอรอน มอย, อีฟส์ บิสซูม่า, เดล สตีเฟ่นส์, อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ – อารอน คอนนอลลี่, นีล โมแป

    แมนฯ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา – อารอน วาน-บิสซาก้า, วิคตอร์ ลินเดเลิฟ, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุค ชอว์ – เนมานย่า มาติช, ปอล ป็อกบา – เมสัน กรีนวู้ด, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, มาร์คัส แรชฟอร์ด – อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล

ผู้ตัดสิน : อังเดร มาร์ริเนอร์

ผลการพบกันที่ผ่านมา 

วัน/เดือน/ปี    รายการ    ผลการแข่งขัน
10/11/19    พรีเมียร์ลีก    แมนฯ ยูไนเต็ด    3-1 ไบรท์ตัน
19/01/19    พรีเมียร์ลีก    แมนฯ ยูไนเต็ด    2-1 ไบรท์ตัน
19/08/18    พรีเมียร์ลีก    ไบรท์ตัน    3-2 แมนฯ ยูไนเต็ด   
05/05/18    พรีเมียร์ลีก    ไบรท์ตัน    1-0 แมนฯ ยูไนเต็ด   
18/03/18    เอฟเอ คัพ    แมนฯ ยูไนเต็ด    2-0 ไบรท์ตัน
25/11/17    พรีเมียร์ลีก    แมนฯ ยูไนเต็ด    1-0 ไบรท์ตัน   
19/03/83    พรีเมียร์ลีก    แมนฯ ยูไนเต็ด    1-1 ไบรท์ตัน

ผลงาน 5 นัดหลังสุด

ไบรท์ตัน

24/06/20    เสมอ เลสเตอร์ ซิตี้ 0-0 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
20/06/20    ชนะ อาร์เซน่อล 2-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
07/03/20    เสมอ วูล์ฟแฮมป์ตัน 0-0 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
29/02/20    แพ้ คริสตัล พาเลซ 0-1 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
22/02/20    เสมอ เชฟฯ ยูไนเต็ด 1-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก

แมนฯ ยูไนเต็ด

27/06/20    เสมอ นอริช 1-1 (ต่อเวลาชนะ 2-1)
(เยือน) เอฟเอ คัพ
25/06/20    ชนะ เชฟฯ ยูไนเต็ด 3-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
19/06/20    เสมอ สเปอร์ส 1-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
12/03/20    ชนะ แอลเอเอสเค 5-0 (เยือน) ยูโรปา ลีก
08/03/20    ชนะ แมนฯ ซิตี้ 2-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก

มาร์กซิยาลฟอร์มกระฉูด, บรูโน่-ป็อกบาเข้าขา ! เจาะ 5 ประเด็น แมนยู ทุบ เชฟยู

อองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล กลับมาสู่ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของเขาอีกครั้ง หลังจากที่ซัดแฮตริกแรกในอาชีพพ่อค้าแข้ง ช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไล่ถล่ม เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 3-0 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันพุธที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา
   
นอกจาก มาร์กซิยาล จะโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นแล้ว เกมนี้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส กับ ปอล ป็อกบา ได้ลงเป็นตัวจริงร่วมกันเป็นครั้งแรก และประสานงานกันได้อย่างเข้าขาเหมือนกับเล่นกันมานาน ซึ่งนี่คือสิ่งที่แฟนบอล "ปีศาจแดง" ปรารถนามานาน และก็ไม่ผิดหวัง

    ขณะเดียวกันสิ่งที่น่าสนใจอีกเรื่องก็คือการเติมเกมบุกของ อารอน วาน-บิสซาก้า ที่มีโอกาสช่วยทำให้เกมรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด มีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ในส่วนของ เนมานย่า มาติช ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าทำไม โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ถึงต้องการเก็บเขาเอาไว้กับทีม ซึ่งแมตช์นี้ทุกๆ คนคงได้รับคำตอบกันแล้ว

    ต้องยอมรับว่าระบบที่ โซลชา พยายามปั้นแต่งขึ้นมานับตั้งแต่กุมบังเหียน "ผีแดง" เริ่มค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเรื่อยๆ ในซีซั่นนี้พวกเขาคงคาดหวังในเรื่องการคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยซักรายการ และการทำอันดับติดท็อปโฟร์ ส่วนในฤดูกาลหน้า การลุ้นแชมป์ลีกคือเป้าหมายหลักแน่นอน

1. สามประสานฟอร์มระเบิด

    เป็นไปตามคาดที่ โซลชา จัดแนวรุกแบบโหดทั้ง มาร์คัส แรชฟอร์ด, อองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล และ เมสัน กรีนวู้ด โดยทั้ง 3 คนเต็มไปด้วยทักษะและความเร็ว ซึ่งงานนี้ "น้าลูกอม" คิดถูกจริงๆ เพราะพวกเขาประสานงานกันได้อย่างเข้าขา จัดการปั่นป่วนเกมรับของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด จนพังยับเยิน

    แรชฟอร์ด ยังคงทำผลงานได้อย่างหวือหวา และมีโอกาสที่จะทำประตูให้ทีมขึ้นนำในช่วงต้นเกม แต่น่าเสียดายที่ขาดความเฉียบคมไปหน่อย กระนั้นสิ่งเหล่านี้ถูกทดแทนด้วยฟอร์มที่สุดยอด เมื่อเขาใช้ความเร็วและทักษะในการป่วนเกมรับ "ดาบคู่" ที่สำคัญยังประสานงานกับ มาร์กซิยาล ได้อย่างลงตัว โดยช่วยแอสซิสให้ ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ 2 ลูก โดยเฉพาะประตูปิดท้ายที่ทั้งคู่โชว์ให้เห็นลีลาการต่อบอลที่สวยงาม ก่อนที่แข้งเลือดเฟร้นช์จะส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย

    ในส่วนของ กรีนวู้ด มีพัฒนาที่น่าสนใจมากๆ ทั้งรูปร่างที่ใหญ่ขึ้น และทักษะที่ยอดเยี่ยม ทำให้เกมรุกทางฝั่งขวาของ "ปีศาจแดง" น่ากลัวมากขึ้นหลายเท่า โดยทุกครั้งที่ "ไม้เขียว" ได้บอลเขาใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการกระชากลากเลื้อยทำให้เกมรับของทีมเยือนต้องระส่ำไปหมด

    สำหรับตอนนี้ดูเหมือนว่า โซลชา จะมีแนวรุกในดวงใจแล้ว และหากทั้งสามคนมีโอกาสได้ลงร่วมกันอย่างต่อเนื่อง บอกเลยว่าความดุดันของพวกเขา ไม่แตกต่างจากความสุดยอดของ  3 แนวรุกสุดระห่ำอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ จาก ลิเวอร์พูล แน่นอน

2.  มาร์กซิยาล ฟอร์มระเบิดเถิดเทิง

    หลายคนมักจะปรามาสผลงานของ มาร์กซิยาล บ่อยๆ โดยเฉพาะในเกมที่เสมอ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ ทำผลงานได้น่าผิดหวังว่า โดยเขามีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวในแมตช์นั้น แถมยังไม่สามารถฉกฉวยโอกาสจากจังหวะนั้นได้ด้วย

    อย่างไรก็ตามในเกมนี้ มาร์กซิยาล พลิกฟอร์มจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยเขาสามารถสร้างผลงานที่สุดยอดออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ โดยเพียงแค่ 6 นาทีก็สามารถช่วยปลดล็อกให้ทีมด้วยการซัดประตูขึ้นนำ จากนั้นก็จัดการบวกอีกสองประตูซึ่งกลายเป็นแฮตทริกของเจ้าตัวในเกมนี้ และแฮตทริกครั้งแรกในสีเสื้อของ แมนฯยูไนเต็ด และเป็นแฮตทริกแรกของ "ผีแดง" ในรอบ 7 ปี ต่อจาก โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

    ที่สำคัญตอนนี้ มาร์กซิยาล ซัดไปแล้ว 19 ประตูจากการเล่นทุกรายการ มากกว่า โรเมลู ลูกากู ที่ทำเอาไว้เมื่อซีซั่นที่แล้วจำนวน 16 ประตู แน่นอนว่าตอนนี้นักเตะมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น และในช่วงที่เหลืออยู่ของซีซั่นนี้ อาจจะได้เห็นของเด็ดจากเจ้าตัวอีกแน่นอน

    อย่างไรก็ตาม หากจะมองหาข้อวิจารณ์ หัวหอกทีมชาติฝรั่งเศส ก็คงมีแค่เรื่องเดียวนั้นก็คือในช่วงครึ่งแรกที่เขาตัดสินใจส่งบอลให้ แรชฟอร์ด บริเวณหน้าประตู แทนที่จะยิงเอง ซึ่งจังหวะนั้น กองหน้าทีมชาติอังกฤษ ซัดพลาดอย่างน่าเหลือเชื่อ

3. วาน บิสซาก้า โดดเด่นเกมรุก

    แมตช์นี้หนึ่งในนักเตะที่ได้รับคำชื่นชมอย่างมากก็คือ อารอน วาน-บิสซาก้า ที่แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาสามารถพัฒนาการเล่นเกมรุกได้ดุดันมากยิ่งขึ้น และมีส่วนสำคัญในการปั่นป่วนเกมริมเส้นฝั่งขวาของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด จนทำให้อาคันตุกะตั้งกระบวนรับไม่อยู่

    ต้องยอมรับว่าเกมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นเกมทางฝั่งขวาบ่อยมากๆ ในครึ่งแรก โดย วาน-บิสซาก้า มีโอกาสที่จะได้ดันเกมบุกอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสได้เปิดบอลบ่อยครั้ง ซึ่งแต่ละชอตก็ทำให้แนวรับของ "ดาบคู่" ระส่ำระส่าย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ โซลชา ต้องการอย่างมากจาก ดาวเตะเลือดผู้ดีรายนี้

    การที่ทีมขึ้นเกมทางขวาบ่อยทำให้ วาน-บิสซาก้า ได้สร้างโอกาสให้เกมรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด บ่อยๆ และในที่สุดก็มาประสบความสำเร็จด้วยการโชว์การกระชากบอลก่อนเปิดให้ มาร์กซิยาล ซัดประตูที่สอง ช่วยให้ทีมขึ้นนำ 2-0 ซึ่งเป็นแอสซิสต์สำคัญของเจ้าตัวในเกมนี้

    จังหวะดังกล่าวถือเป็นแอสซิสต์ที่สองของ วาน-บิสซาก้า ในช่วง 6 เกมลีกหลังสุด  อย่างไรก็ตามนี่ถือเป็นเรื่องดีมากๆ สำหรับสาวก "เร้ด อาร์มี่" ที่ได้เห็นแบ็กขวาของพวกเขามีการเล่นเกมบุกที่น่ากลัวมากขึ้น ขณะที่เกมรับเจ้าตัวการันตีความเหนียวอยู่แล้ว
   
4. บรูโน่-ป็อกบา-มาติช คุมแดนกลางอยู่หมัด

    สิ่งที่แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยากเห็นมากที่สุดก็เป็นความจริงแล้วนั่นก็คือการที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส กับ ปอล ป็อกบา ลงเล่นร่วมกันตั้งแต่ต้นเกม และงานนี้ทั้งสองคนก็ไม่ทำให้สาวก "เร้ด อาร์มี่" ต้องผิดหวัง เมื่อประสานงานกันได้อย่างเข้าขารู้ใจ

    ในเกมกับ สเปอร์ส ทั้งสองคนมีโอกาสได้ประสานงานกันในช่วงเกือบครึ่งชั่วโมงสุดท้าย และก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะ ป็อกบา ที่ลงมาเปลี่ยนเกมอย่างแท้จริง และช่วยทีมได้จุดโทษ ซึ่ง แฟร์นันด์ส จัดการสังหารเป็นประตูตีเสมอ ทำให้ทีมได้แบ่งแต้มในแมตช์นั้น

    สำหรับเกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด "น้าลูกอม" เลือกใช้งานทั้งสองคนตั้งแต่ต้นเกม และพวกเขาก็โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด ช่วยให้เกมรุกของ "ปีศาจแดง" มีมิติมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญ แฟร์นันด์ส และ ป็อกบา เล่นด้วยความนิ่ง พร้อมทั้งยังช่วยดึงศักยภาพของเพื่อนร่วมทีมออกมาด้วย

    ในส่วนของ ป็อกบา ต้องบอกว่าตอนนี้กลับมาฟิตสมบูรณ์ และมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม โดยหลายๆ จังหวะที่เขาแสดงให้เห็นถึงการเล่นที่เชื่อมั่น บางครั้งยังมีการโชว์สเต็ปการเลี้ยงหลบคู่แข่งหลายๆ ครั้ง รวมไปถึงการผ่านบอลที่แม่นยำ ต้องบอกเลยว่าแมตช์นี้ ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ กำลังจะกลับมาสู่ที่สุดยอดอีกครั้ง

    อย่างไรก็ตามยังมีอีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ เนมานย่า มาติช เพราะนักเตะถือว่าเป็นแข้งปิดทองหลังพระ ซึ่งหากไม่มี ดาวเตะชาวเซอร์เบีย คอยทำหน้าที่ตัดเกมแดนกลาง ทั้ง ป็อกบา และ แฟร์นันด์ส คงไม่ได้เล่นสบายๆ อย่างที่เห็นแน่นอน

5. ระบบ โอเล่ เริ่มเข้ารูปเข้ารอย

    ผลการแข่งขันในแมตช์นี้มีความสำคัญอย่างมากกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือระบบการเล่นที่ โซลชา พยายามนำมาใช้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มเข้ารูปเข้ารอยมากยิ่งขึ้น เพราะเห็นได้ชัดว่าทีมของเขาสามารถประสานงานกันได้อย่างลงตัวในแมตช์นี้

    ตั้งแต่แนวรุกยันเกมรับ ต้องบอกว่าเกมนี้ทุกตำแหน่งเล่นได้เนียนตามากๆ แถมยังเล่นในปรัชญาที่พวกเขาพยายามทำมาตลอดนั่นก็คือการเล่นเกมบุก เน้นเอนเตอร์เทน ซึ่งหากพวกเขามีความเฉียบคมมากกว่านี้บอกเลยว่าครึ่งแรกสกอร์คงนำห่างถึง 4 ประตู

    สำหรับตอนนี้ โซลชา นำทีมไม่แพ้ใครมานานถึง 13 เกมแล้ว และที่สำคัญฟอร์มการเล่นของพวกเขายังเป็นการกดดัน "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ในการเบียดแย่งอันดับท็อปโฟร์ เพราะทีมของกุนซือแฟร้งค์ แลมพาร์ด ต้องพบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในวันพฤหัสบดี หากพวกเขาเก็บ 3 แต้มไม่ได้ งานนี้ แมนฯ ยูฯ ยิ้มกริ่มแน่นอน

    ในส่วนของแมตช์ต่อไปของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็คือการพบกับ นอริช ซิตี้ ในศึกเอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ วันเสาร์นี้ ตามด้วยการออกไปเยือน ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ในเกมลีกช่วงกลางสัปดาห์หน้า โดยผลงานในเวลานี้ต้องบอกเลยว่าคู่แข่งยากจะต้านทานได้แน่นอน

เรือไม่เฮหงส์แชมป์! เชลซีสู้เพื่อท็อปโฟร์ฟัดแมนฯซิตี้มี “ชิรูด์ วัดคม สเตอร์ลิง”

แฟร้งค์ แลมพาร์ด นายใหญ่ "สิงโตน้ำเงินคราม" ต้องสู้เต็มที่เพื่อการันตีตำแหน่ง ท็อปโฟร์ หลังโดนผีแดงไล่จี้มาเหลือเพียง 2 แต้มความพร้อมจัด โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ นำทัพลุย ทางด้าน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ "เรือใบสีฟ้า" ขอสู้เพื่อศักดิ์ศรีแชมป์เก่าโดยหากเก็บ 3 คะแนนไม่ได้ในเกมนี้จะส่งให้ "หงส์แดง" เถลิงแชมป์ทันที ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คืนวันพฤหัสบดีที่ 25 มิ.ย. นี้

ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563
เชลซี (4) – แมนฯ ซิตี้ (2)
เวลา : 02.15 น. ถ่ายทอดสด : TPF HD 1 (600)
สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์
   
    แฟร้งค์ แลมพาร์ด พาทีมสิงโตน้ำเงินคราม รีสตาร์ตด้วยการบุกไล่แซงชนะ แอสตัน วิลล่า 2-1 ทำให้เมื่อจบเกมที่ 30 พวกเขาทิ้งอันดับ 5 อย่าง แมนฯ ยูฯ เป็น 5 แต้ม โอกาสติดท็อปโฟร์สูงมาก

    เชลซีมีข่าวดีโดย จอร์จินโญ่ ผู้เล่นมิดฟิลด์จะพ้นโทษแบนพร้อมกลับมาเป็นตัวเลือกในนัดนี้

    ทีมต้องลุ้นความฟิตของ ฟิคาโย่ โทโมรี่ ปราการหลังวัย 22 ปี ที่บาดเจ็บขาด้วย

    ในแนวรุกน่าสนใจว่า แลมพาร์ดจะให้ แทมมี่ อบราฮัม หรือ คริสเตียน พูลิซิช เป็นตัวจริงหรือไม่ โดยเกมกับวิลล่า ทั้งคู่เป็นตัวสำรองที่ถูกเปลี่ยนลงไป

    ด้าน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พาทีมเรือใบสีฟ้า รีสตาร์ต 2 เกมได้สุดโหดด้วยการเปิดบ้านชนะอาร์เซน่อล 3-0 ตามด้วยถล่มเบิร์นลี่ย์อีก 5-0 ในเกมล่าสุด

    อย่างไรก็ตามเกมกับเบิร์นลี่ย์ เซร์คิโอ อเกวโร่ กองหน้าตัวเก่งได้รับบาดเจ็บที่เข่าจะพลาดการลงสนามเกมนี้อย่างแน่นอน ซึ่งเวลานี้ เรือใบสีฟ้า กลัวว่า อเกวโร่จะกลับมาเล่นในซีซั่นนี้ไม่ได้อีกด้วย

    เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเบลเยียม จะกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง หลังจากเกมกับ เบิร์นลี่ย์ถูกจับนั่งสำรองก่อนจะเปลี่ยนลงเล่นในครึ่งชั่วโมงสุดท้าย ส่วน จอห์น สโตนส์ มีปัญหาที่ข้อ
เท้าต้องทดสอบความฟิตก่อน

รายชื่อนักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม

    เชลซี (4-3-3) : เกปา อาร์รีซาบาลาก้า – เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันเดรส คริสเตนเซ่น, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, มาร์กอส อลอนโซ่ – มัตเตโอ โควาซิช, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, เมสัน เมาน์ท – วิลเลี่ยน, โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์, รูเบน ลอฟตัส-ชีค

    ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด

    แมนฯซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน โมราเอส – ไคล์ วอล์คเกอร์, นิโกลัส โอตาเมนดี้, เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ – แบร์นาร์โด้ ซิลวา, โรดรี้, เควิน เดอ บรอยน์ – ริยาด มาห์เรซ, กาเบรียล เชซุส, ราฮีม สเตอร์ลิง

    ผู้จัดการทีม : เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

ผู้ตัดสิน : สจ๊วร์ต แอตเวลล์

ผลการพบกันที่ผ่านมา 

วัน/เดือน/ปี    รายการ    ผลการแข่งขัน

24/11/19    พรีเมียร์ลีก    แมนฯ ซิตี้    2 – 1เชลซี
24/02/19    ลีก คัพ    เชลซี    0 – 0 แมนฯ ซิตี้       
10/02/19    พรีเมียร์ลีก    แมนฯ ซิตี้    6 – 0เชลซี
09/12/18    พรีเมียร์ลีก    เชลซี    2 – 0แมนฯ ซิตี้
05/08/18    คอมมิวนิตี้ ชิลด์    เชลซี    0 – 2แมนฯ ซิตี้
04/03/18    พรีเมียร์ลีก    แมนฯ ซิตี้    1 – 0เชลซี
30/09/17    พรีเมียร์ลีก    เชลซี    0 – 1แมนฯ ซิตี้

ผลงาน 5 นัดหลังสุด

เชลซี

21/06/20    ชนะ แอสตัน วิลล่า 2-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
08/03/20    ชนะ เอฟเวอร์ตัน 4-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
03/03/20    ชนะ ลิเวอร์พูล 2-0 (เหย้า) เอฟเอ คัพ
29/02/20    เสมอ บอร์นมัธ 2-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
25/02/20    แพ้ บาเยิร์น มิวนิค 0-3 (เหย้า) ชปล.

แมนฯ ซิตี้

22/06/20    ชนะ เบิร์นลี่ย์ 5-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
17/06/20    ชนะ อาร์เซน่อล 3-0 (เหย้า)  พรีเมียร์ลีก
08/03/20    แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-2 (เยือน)  พรีเมียร์ลีก
05/03/20    ชนะ เชฟฯ เว้นส์เดย์ 1-0 (เยือน) เอฟเอ คัพ
01/03/20    ชนะ วิลล่า 2-1 (เยือน) ลีก คัพ