หักหลัง, ไร้ความเคารพ, อนาคตไม่มี ! 6 เหตุผลที่ เมสซี่ ตัดสินใจลา บาร์ซ่า

หลังจากที่อยู่รับใช้ บาร์เซโลน่า มานานกว่า 20 ปี และเป็นดั่งสัญลักษณ์ของสโมสร แต่ตอนนี้ ลิโอเนล เมสซี่ กำลังที่จะคิดอำลาถิ่น คัมป์ นู เนื่องจากมองไม่เห็นอนาคตของทีม และเลือกที่จะออกไปหาความท้าทายใหม่มากกว่าที่จะอยู่กับ "เจ้าบุญทุ่ม" ที่มีสภาพย่ำแย่แบบนี้

    แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ เมสซี่ ปรารถนา เพราะเขามองว่า บาร์ซ่า เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง แต่การเปลี่ยนแปลงภายในทีมทำให้เจ้าตัวรับไม่ได้ โดยเฉพาะในเรื่องของแผนอนาคตที่นักเตะมองแล้วว่าบอร์ดบริหารไม่มีความจริงใจในการพัฒนาทีม

    ที่สำคัญความขัดแย้งกับ โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว ประธานสโมสรเป็นหนึ่งในมูลเหตุที่ทำให้ เมสซี่ มองว่าการอยู่ร่วมกันคงเป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเหตุผลที่ถือเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้ สตาร์ดังชาวอาร์เจนไตน์ พร้อมเก็บเสื้อผ้าอำลายอดทีมแห่งแคว้นกาตาลุนย่า

1.  ไม่เหลือเยื่อใยกับบอร์ดบริหารสโมสรอีกต่อไป

 

    วันวานที่เคยหอมหวานสำหรับ เมสซี่ แทบจะไม่เหลืออยู่เลย เนื่องจากความสัมพันธ์ของเขากับบอร์ดบริหารชุดนี้ไม่มีอีกแล้ว โดยเฉพาะกับ โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว ประธานสโมสร ที่ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนจะเป็นเส้นขนานกันมานาน

    แม้ว่าในวันที่ทั้งสองคนได้พบกันตอนที่ ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ สลัดน้ำหมึกเซ็นสัญญาฉบับใหม่ พร้อมกับโพสท่าถ่ายรูปร่วมกันซึ่งดูเหมือนว่า เมสซี่ กับ บาร์โตเมว จะยิ้มแย้มให้กันและกัน แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ฉากหน้าที่พวกเขาใส่หน้ากากเข้าหากันเท่านั้น

 

    ฉะนั้นตลอดช่วงเวลากว่า 5 ปีที่ บาร์โตเมว ครองอำนาจในการบริหารยอดทีมแห่งแคว้นกาตาลุนย่านั้น ไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับ เมสซี่ เลย แม้ว่าในใจลึกๆ แล้วนักเตะเลือกที่จะอยู่กับสโมสรต่อไปเนื่องจากหัวใจที่รัก "เจ้าบุญทุ่ม" แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมปะทะ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค (แพ้ 2-8 ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก) เป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลง

2.  ไม่รักษาสัจจะในการเซ็นสัญญากับนักเตะ-การแต่งตั้งกุนซือที่ไม่เหมาะสม

 

    บาร์เซโลน่า แทบจะไม่ลงทุนคว้านักเตะชั้นยอดมาร่วมทีมเลยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยพวกเขาทุ่มเงินในการคว้าตัว อองตวน กรีซมันน์, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ และ แฟรงกี้ เดอ ยอง ซึ่งถือเป็นสตาร์ลูกหนังระดับโลก แน่นอนว่าเพียงเท่านี้ยังไม่พอที่จะทำให้ "เจ้าบุญทุ่ม" หวนคือสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

    ตลอดช่วงที่ บาร์โตเมว และบอร์ดบริหารชุดนี้บริหารสโมสร พวกเขาตระบัดสัตย์ไม่ทำตามที่เคยลั่นวาจาเอาไว้กับ เมสซี่ เพราะหากมองนักเตะที่พวกเขาดึงมาร่วมทีม ยังถือว่าไม่ถูกต้องโดนใจสำหรับ สตาร์ดังชาวอาร์เจนไตน์ ฉะนั้นนี่จึงทำให้เขารู้สึกว่าอนาคตของทีมช่างหมองหม่นเหลือเกิน

 

    นอกจากนี้แนวคิดในการแต่งตั้งเทรนเนอร์ก็ย่ำแย่สุดๆ เพราะหากจำกันได้ เมสซี่ ทำผลงานได้ดีเยี่ยมกับโค้ชชั้นยอดตั้งแต่เมื่อปี 2004 ทั้ง แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด, เป๊ป กวาร์ดิโอล่า, ตาต้า มาร์ติโน่, ตีโต้ บีลาโนบา, หลุยส์ เอ็นริเก้ (แม้จะมีปัญหาทะเลาะกันบ้างก็ตาม) แม้แต่ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ ก็เช่นกัน

    ที่สำคัญการที่ บาร์โตเบว สั่งปลด บัลเบร์เด้ ออกจากตำแหน่ง สร้างความไม่พอใจให้กับ เมสซี่ มากๆ แถมยิ่งโกรธจัดเป็นทวีคูณเมื่อพวกเขาเลือกแต่งตั้ง กีเก้ เซเตียน เข้ามากุมบังเหียน ซึ่งผลงานไม่มีอะไรน่าสนใจเลย งานนี้ทำเอานักเตะได้แต่กระอักกระอ่วมใจ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้แฟนบอลคงได้เห็นมาแล้วจากพฤติกรรมของ เมสซี่ ที่มีต่อ เซเตียน ในช่วงที่ผ่านมา
 
3. ไม่เห็นด้วยกับแผนของสโมสร-ไร้โปรเจกต์คว้าแชมป์

 

    เมสซี่ ไม่ประทับใจกับแผนด้านกีฬาของสโมสรมานานแล้ว เพราะในแต่ละซีซั่นทีมยิ่งย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ทั้งเรื่องการเซ็นสัญญากับนักเตะที่น่าผิดหวัง และยังรวมถึงการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า ที่สำคัญเม็ดเงินจากการขาย เนย์มาร์ จำนวนกว่า 222 ล้านยูโร (ประมาณ 7,770 ล้านบาท) ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างเหมาะสม

    ขณะเดียวกัน ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ ยังมีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับ เอริก อบิดัล ผู้อำนวยการกีฬาในเวลานั้น ด้วยเหตุนี้ทำให้ ดาวเตะเลือดอาร์เจนไตน์ รู้สึกว่าสโมสรกำลังค่อยๆ เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ และการลงทุนในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะในแต่ละครั้งก็ย่ำแย่เกินทน

 

    การตัดสินใจเรื่องย้ายทีมเกิดขึ้นในหัวของ เมสซี่ มาได้สักพักใหญ่ แต่เขาพยายามใจเย็นด้วยการรอคอยที่จะพูดคุยกับ โรนัลด์ คูมัน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่กุมบังเหียนทีมแทน เซเตียน อย่างไรก็ตาม นักเตะไม่เชื่อมั่นในแผนงานของ กุนซือร่างบึ้กชาวดัตช์ ซักเท่าไหร่

     ที่สำคัญ เมสซี่ ไม่เคยคิดเลยว่า คูมัน จะสามารถนำ บาร์เซโลน่า ผงาดคว้าแชมป์ได้ และหากเจ้าตัวยังฝืนอยู่กับสโมสรต่อไปก็มีแต่จะยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ ฉะนั้นด้วยอายุอานามที่ปาเข้าไป 33 ปีแล้ว เขาคงมีเวลาที่อยู่เป็นยอดแข้งระดับท็อปอีกไม่กี่ปี ด้วยเหตุนี้จึงเลือกที่จะไปหาประสบการณ์ใหม่กับสโมสรอื่นดีกว่า

4. บาร์ซ่า ปล่อยข่าวที่เข้าพบ คูมัน และพยายามป้ายความผิดให้เขา

 

    หนึ่งในเรื่องที่ทำให้ เมสซี่ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟก็คือการที่เรื่องที่เขาพูดคุยกับ คูมัน ถูกนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชน โดยเป็นที่เข้าใจกันว่า เมสซี่ ได้แจ้งกับนายใหญ่ชาวดัตช์เขาต้องการไปเล่นให้กับสโมสรอื่น มากกว่าที่จะอยู่เล่นให้ บาร์ซ่า อีกต่อไป และกำลังพิจารณาอนาคตของตัวเอง

    สำหรับรายละเอียดในการพูดคุยในตอนนั้นได้ถูกนำมาเปิดเผยกับสื่อ โดยเรื่องนี้ทำให้ เมสซี่ ไม่พอใจมากๆ เนื่องจากมีการบิดเบือนความจริงในสิ่งที่เขาได้พูดกับ คูมัน แต่สำหรับเรื่องจริงที่ชัดเจนก็คือ นักเตะไม่ปลื้มกับการบริหารงานของ บาร์โตเมว

 

    นอกจากนี้ เมสซี่ ยังเชื่อว่าการกระทำของบอร์ดบริหารบาร์เซโลน่าชุดนี้ พยายามที่จะกดดันให้เขาออกจากสโมสรด้วยการใส่ร้ายป้ายสีให้กลายเป็นคนเลวในสายตาทุกๆ คน ด้วยการมองว่าเขาจ้องที่จะทิ้งทีม โดยไม่คิดที่จะอยู่สู้หรือช่วยเหลือต้นสังกัดในช่วงเวลาที่ตกต่ำ
   
5. การปฏิบัติกับซัวเรซที่ไร้ซึ่งความเคารพ

 

    หนึ่งในเรื่องที่ทำให้ เมสซี่ ไม่พอใจอย่างแรงก็คือวิธีการที่ บาร์ซ่า คิดกำจัด หลุยส์ ซัวเรซ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขาออกจากสโมสร ด้วยการออกว่าเขาไม่มีอนาคตกับทีมอีกต่อไป โดยการกระทำแบบนี้ถือเป็นการไม่ให้เกียรตินักเตะที่ช่วยทีมคว้าแชมป์ทั้ง ลา ลีกา ( 4 สมัย) และ แชมเปี้ยนส์ ลีก (1 สมัย)

    เป็นที่ทราบกันดีว่า เมสซี่ กับ ซัวเรซ เป็นคู่หูทั้งในและนอกสนาม และยังเป็นหนึ่งในเพื่อนซี้ย้ำปึ้กของ "ลีโอ" แต่การที่เขาได้เห็นเพื่อนเลิฟโดนปฏิบัติอย่างคนไร้ค่าถือเป็นสิ่งที่รับไม่ได้จริงๆ เพราะ เมสซี่ มองว่า หัวหอกเลือดอุรุกวัย สมควรได้รับความเคารพมากกว่านี้

 

    จากรายงานของสื่อในสเปน อ้างว่า คูมัน ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ ซัวเรซ เพียงแค่นาทีเดียว โดยระบุเหตุผลอย่างชัดเจนว่านักเตะไม่ได้อยู่ในแผนการสร้างทีมในฤดูกาลหน้าอีกต่อไป แม้ว่าจะมีสัญญาอยู่กับทีมจนถึงช่วงซัมเมอร์หน้า แต่การยกเลิกสัญญาจะมีผลทันทีในซัมเมอร์นี้

    ฉะนั้นการที่ เมสซี่ เห็นเพื่อนรักโดนปฏิบัติอย่างไม่ให้เกียรติแบบนี้ทำให้เขาหมดความอดทนกับสโมสร และเลือกที่จะเดินออกจากทีมที่อยู่มาตั้งแต่สมัยเป็นผู้เล่นเยาวชน เพื่อเป็นการตอบโต้การกระทำของบอร์ดบริหาบาร์เซโลน่า และ คูมัน

6. สิทธิพิเศษไม่มีอีกต่อไปแล้ว

 

    สำหรับฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ เมสซี่ พอกันทีกับชีวิตในถิ่นคัมป์ นู ก็คือคำพูดที่ทิ่มแทงใจดำของ คูมัน ในช่วงที่ทั้งสองคนได้พูดคุยกันอย่างลูกผู้ชาย โดย ตำนานกองหลังเท้าดินระเบิด ได้แจงเหตุผลอย่างชัดเจนจนทำให้ ดาวยิงเลือดอาร์เจนไตน์ ของขึ้นทันที

    เรื่องนี้ถูกตีแผ่จาก โอเล่  หนังสือพิมพ์กีฬาชื่อดังของอาร์เจนตินา ที่อ้างว่า คูมัน ได้โทรศัพท์ไปแจ้ง  เมสซี่ ว่าสิทธิพิเศษในทีมของเขาสิ้นสุดลงแล้ว ฉะนั้นสิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือเน้นเรื่องของทีมเท่านั้น แน่นอนว่าการพูดแบบนี้เป็นการจี้ใจดำนักเตะมากๆ

 

    ลองคิดดูก็แล้วกันว่านักเตะที่สร้างความสำเร็จให้กับสโมสรมากมาย และเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของทีม แต่กับมาเจอคำพูดของกุนซือใหม่ที่แม้ว่าจะเป็นตำนานของทีมก็ตาม แต่หากเทียบความยิ่งใหญ่แล้ว เมสซี่ มีภาษีดีกว่าเยอะ ฉะนั้นเมื่อพูดแบบไม่ให้เกียรติกันก็คงอยู่ร่วมงานกันไม่ได้อีกต่อไป

ชาบีเตรียมพร้อมเต็มสูบเพื่อรับงานบาร์ซ่า

ชาบี เอร์นานเดซ อดีตกองกลางของ บาร์เซโลน่า เผยว่าทีมงานของตัวเองเตรียมพร้อมเต็มที่สำหรับการกลับไปรับงานโค้ชในถิ่นคัมป์ นู

 อดีตแข้งวัย 40 ปีที่ปัจจุบันนั่งเก้าอี้นายใหญ่ของ อัล ซาดด์ สโมสรดังของกาตาร์ โดยที่ผ่านมาเจ้าตัวมีข่าวเชื่อมโยงเรื่องกลับมาทำงานกับทีมนับตั้งแต่ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ โดนปลดจากตำแหน่ง ก่อนที่ทีมจะหันไปตั้ง กีเก้ เซเตียน ทำหน้าที่ดังกล่าว

 อย่างไรก็ตามการที่ทีมมีโอกาสชวดแชมป์ปีนี้ทำให้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งทาง ชาบี เผยว่าตัวเองและทีมงานเตรียมพร้อมเต็มที่ในการกลับมาทำงานกับสโมสรเก่า แต่การตัดสินใจเป็นของสโมสร

 "ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผมมีในตอนนี้คือการเป็นโค้ชของบาร์ซ่าและนำบาร์ซ่ากลับสู่เส้นทางแห่งชัยชนะอีกครั้ง" ชาบี ที่พา อัล ซาดด์ คว้าแชมป์กาตาร์ คัพ และ กาตาร์ ซูเปอร์ คัพ กล่าว

 "ไม่ใช่ผม แต่เป็นนักเตะและบาร์ซ่าที่ประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุนี้ สตาฟฟ์เทคนิคของเราเตรียมพร้อมอย่างมากและนั่นทำให้เราตื่นเต้นอย่างมาก"

 "ผมคือวัน แมน คลับ ผมอยากจะกลับไปเมื่อเวลาเหมาะสมในการสตาร์ทโปรเจ็คตั้งแต่เริ่มต้น, ผมพูดมาแล้วหลายครั้ง"

 "ชัดเจนว่าหลังการเลือกตั้งจะมีการตัดสินใจ แน่นอน ผมจะไม่ตัดอะไรที่เป็นไปได้ออก"

 "พวกเขาติดต่อผมมาเมื่อเดือนมกราคม เราพูดคุยกัน ผมบอกพวกเขาถึงสถานการณ์และช่วงเวลายังไม่เหมาะสม"

แมนยู หน้ามืด พร้อมทุ่ม 100 ล้านยูโร คว้าสตาร์ บาร์เซโลนา หากพลาด เจดอน ซานโช่

 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมแผนสำรองหากพลาดคว้าตัว เจดอน ซานโช่ ดาวเตะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ โดยพร้อมยื่นข้อเสนอ 100 ล้านยูโร เพื่อเป็นค่าตัวของ อัสซู ฟาติ ให้ บาร์เซโลนา พิจารณา จากการรายงานของ Metro สื่อชื่อดังต่างประเทศ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2563

        ดาวรุ่งวัย 17 ปี เป็นแข้งอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรจากศูนย์ฝึก ลามาเซีย ที่ได้ลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของ บาร์เซโลนา ฤดูกาลนี้ ก่อนที่ ลา ลีกา สเปน จะเลื่อนการแข่งขันตาม โปรแกรมบอล อันซู ฟาติ ลงเล่นให้กับทีมเจ้าบุญทุ่มไปแล้ว 24 นัด โดยกุนซือคนก่อนอย่าง เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ เป็นผู้หยิบยื่นโอกาสให้กับ ฟาติ ได้มีส่วนร่วมในทีมชุดใหญ่เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา

        ล่าสุดสื่อในประเทศสเปนได้รายงานข่าวว่า จอร์จ เมนเดส ซูเปอร์เอเย่นต์มือทอง ได้มีการติดต่อพูดคุยกับ บาร์เซโลนา เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมาเกี่ยวกับราคาของ ฟาติ หากมีสโมสรไหนอยากได้ตัวนักเตะไปร่วมทีม แต่ทางทีมดังสเปนยืนยันหนักแน่นว่าไม่มีความตั้งใจที่จะปล่อยดาวรุ่งวัย 17 ปี ออกจากทีม แต่ถ้าทีมไหนอยากได้ตัวก็ต้องจ่ายค่าฉีกสัญญาที่ 150 ล้านยูโร

        แต่จากรายงานล่าสุดระบุว่า จอร์จ เมนเดส ได้ติดต่อกับทางทีมดัง ลา ลีกา สเปน อีกครั้ง โดยแจ้งว่ามีสโมสรจาก พรีเมียร์ลีก ที่พร้อมจ่ายเงินจำนวน 100 ล้านยูโร หรือราว 89 ล้านปอนด์ เพื่อเป็นค่าตัวของ อันซู ฟาติ ซึ่งทีมนั้นก็คือ แมนยู ที่ได้เล็ง ฟาติ ไว้เป็นทางเลือกหากพวกเขาพลาดได้ตัว เจดอน ซานโช่ จาก ดอร์ทมุนด์

       อย่างไรก็ตาม โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว ประธานสโมสร บาร์เซโลนา ได้ออกมาปฏิเสธว่าจะไม่ปล่อยวันเดอร์คิดส์จากลามาเซียออกจากทีมแน่นอน เพราะเขาเป็นส่วนสำคัญของทีมชุดใหญ่ในอนาคต และเราพร้อมจะปรับปรุงสัญญาฉบับใหม่ของเขาให้ดีขึ้น

 

พังมากกว่าปัง!ตัดเกรด 10 แข้งแพงระยับตลาดซัมเมอร์ 2019

ย้อนไปเมื่อตลาดช่วงซัมเมอร์ เมื่อปีที่แล้ว มีนักเตะหลายต่อหลายคนย้ายทีมด้วยมูลค่ามหาศาล บางคนก็ทำผลงานได้ดีจนน่าประทับใจ แต่บางรายก็ยังไม่สามารถแสดงผลงานออกมาให้คุ้มค่าตัวได้เท่าไหร่นัก

    ในสกู๊ปนี้เรามาดู 10 แข้งราคาแพงที่สุดประจำตลาดซัมเมอร์ 2019 แต่ละคนทำผลงานเป็นอย่างไร และสอบผ่านกันมากน้อยแค่ไหน

    1. ชูเอา เฟลิกซ์ : จาก เบนฟิก้า ไป แอต.มาดริด (126 ล้านยูโร)
    หลังย้ายเข้าสู่อ้อมออก แอตเลติโก มาดริด ช่วงเกมปรี-ซีซั่น เจ้าของรางวัลโกลเดนบอย ก็ซัดประตูใส่ได้ทั้ง ยูเวนตุส และ เรอัล มาดริด จนทำให้แฟนๆ "ตราหมี" เชื่อว่าเด็กคนนี้จะทดแทน อ็องตวน กรีซมันน์ ได้และมีอนาคตที่สดใสรออยู่

    อย่างไรก็ตาม พอเอาเข้าจริง เฟลิกซ์ ทำประตูได้เพียง 6 ลูกจากการลงสนาม 28 เกมเท่านั้น จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่า กองหน้าโปรตุกีสวัย 20 ปี จะเหมาะสมกับระบบการเล่นของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ หรือไม่

    ตัดเกรด : ไม่ผ่าน

    2. อ็องตวน กรีซมันน์ : จาก แอต.มาดริด ไป บาร์เซโลน่า (120 ล้านยูโร)
    กรีซมันน์ เคยออกมายืนยันว่าจะขออยู่กับ แอต.มาดริด ต่อไปในปี 2018 แต่ปีต่อมาเขาก็เปลี่ยนใจย้ายไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า ในปีต่อมา

 

    สำหรับฟอร์มกับ บาร์ซ่า ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่นี่นัก แม้ว่าผลงานที่ออกมา มันฟ้องว่ามีแค่ ลิโอเนล เมสซี่ และ หลุยส์ ซัวเรซ ที่มีส่วนร่วมกับประตูให้กับทีมมากกว่าเขา (8 ประตู 4 แอสซิสต์) รวมถึง มีแค่ซูเปอร์สตาร์อาร์เจนไตน์ ที่สร้างโอกาสได้มากกว่า(26 ครั้ง) แต่แฟนๆ "เจ้าบุญทุ่ม" ก็ยังหวังอะไรในตัว กรีซมันน์ มากกว่านี้ เพื่อให้สมกับเงินมหาศาลที่ บาร์เซโลน่า ทุ่มเงินคว้าตัวเข้ามา

    ตัดเกรด : ไม่ผ่าน

    3. เอแด็น อาซาร์ : จาก เชลซี ไป เรอัล มาดริด (100 ล้านยูโร)
    แฟนบอลเชลซี รู้สึกแย่มากๆ ตอนที่สตาร์คนสำคัญของทีม ย้ายออกไปตอนที่สโมสรกำลังโดนแบนเรื่องซื้อนักเตะ แต่สิ่งร้ายๆ กลับไปเกิดขึ้นที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว เสียมากกว่า


 
    ปัญหาอาการบาดเจ็บ จำกัดให้ อาซาร์ ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงแค่ 9 นัดเท่านั้น ทำประตูได้เพียง 1 ลูก กับแอสซิสต์อีกนิดหน่อยใน ลาลีกา แถมสร้างโอกาสเพียง 14 ครั้ง เท่ากับ ฮาเมส โรดริเกซ ที่ลงตัวจริง 4 นัด และ ลูกัส บาซเกซ ที่ลงตัวจริง 6 นัด เสียอีก

    ตัดเกรด : ไม่ผ่าน

    4. แฮร์รี่ แม็กไกวร์ : จาก เลสเตอร์ ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (87 ล้านยูโร)
    มีการตั้งคำถามถึง การเป็นกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกแต่ไม่ใช่กองหลังที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งเรื่องนี้เองก็ไม่ได้ทำให้ แม็กไกวร์ ดูด้อยค่าลงเลยกับผลงานที่เขาทำให้กับทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

 

    แม็กไกวร์ เป็นผู้นำในแนวรับ "ปีศาจแดง" ทั้งเรื่องการดวลลูกกลางอากาศ, การเข้าปะทะ, การบล็อค และการตัดบอล รวมถึงช่วยพาทีมเก็บคลีนชีต 8 นัด และตอนนี้เขาก็ก้าวขึ้นเป็นกัปตันทีมแมนยู เต็มตัวแล้ว

    ตัดเกรด : ผ่าน

    5. มัตไตจ์ส เดอ ลิกต์ : จาก อาแจ็กซ์ ไป ยูเวนตุส (85 ล้านยูโร)
    แนวรับที่เนื้อหอมมากที่สุดประจำซัมเมอร์ 2019 หลังจากพา อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ไปได้ไกลถึงรอบรองชนะเลิส แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยหลังจากย้ายมาอยู่ ยูเวนตุส เกมที่ เดอ ลิกต์ เปล่งประกายมากสุดคือนัดที่เอาชนะ นาโปลี 4-3

 

    เดอ ลิกต์ ดวลลูกลางอากาศและผ่านบอลสำเร็จมากสุดเหนือกว่าใครบนแผงแนวรับ "เจ้าม้าลาย" แต่ก็ยังมีข้อสงสัยในตัวของ ดัตช์แมนรายนี้ ว่าในระยะยาวจะเหมาะสมกับระบบของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ หรือไม่

    ตัดเกรด : ยังไม่ผ่าน

    6. ลูก้าส์ เอร์นานเดซ : จาก แอต.มาดริด ไป บาเยิร์น มิวนิค (80 ล้านยูโร)
    บาเยิร์น มิวนิค ทุบกระปุกซื้อนักเตะแพงสุดของสโมสร ด้วยการคว้า เอร์นานเดซ แต่ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บทำให้ยังไม่สามารถประเมินผลงานได้เลยว่าคุ้มค่ากับเม็ดงานที่ "พี่เสือ" จ่ายไปหรือไม่

 

    ปัญหาตรงหัวเข่า ตั้งแต่เดือนกันยายน ตามด้วยบาดเจ็บที่ข้อเท้าขั้นรุนแรง ทำให้ เอร์นานเดซ หายไปกว่า 4 เดือน นั่นหมายความว่าในซีซั่นนี้เขาลงเป็นตัวจริงแค่ 9 นัดจากทุกรายการเท่านั้น

    ตัดเกรด : ไม่ผ่าน

    7. นิโกล่าส์ เปเป้ : จาก ลีลล์ ไป อาร์เซน่อล (80 ล้านยูโร)
    เปเป้ กลายเป็นตัวปัญหาในระบบการเล่นในช่วงท้ายๆ ของ อูไน เอเมรี่  แม่ทัพ อาร์เซน่อล คนก่อน ซึ่งปีกทีมชาติไอวอรี่ โคสต์ เจอปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่นอย่างหนักกับต้นสังกัดใหม่

 

 

    อย่าไรก็ตาม เปเป้ เพิ่งจะเรียกฟอร์มเก่งกลับมาตอนเข้าสู่ปฏิทินปี 2020 ซึ่งมีแค่ เมซุต โอซิล (38) ที่สร้างโอกาสได้มากกว่าเขา (34) ถึงกระนั้น แฟนๆ เดอะ กันเนอร์ส ก็ยังหวังเห็นอะไรๆ มากกว่านี้กับดาวเตะค่าตัวแพงสุดของสโมสร

    ตัดเกรด : ไม่ผ่าน

    8. แฟรงกี้ เดอ ยอง : จาก อาแจ็กซ์ ไป บาร์เซโลน่า (75 ล้านยูโร)
    อีกหนึ่งสตาร์ อาแจ็กซ์ ที่เมื่อปีก่อนเนื้อหอมสุดๆ ไปทั่วทั้งยุโรป ซึ่งสุดท้าย เดอ ยอง ตกลงปลงใจย้ายไปกลายร่างเป็นผู้เล่น บาร์เซโลน่า และเป็นมิดฟิลด์ตัวหลักของทัพอาซูลกราน่า ได้ทันที

 

    เดอ ยอง แทบไม่ต้องปรับตัวอะไรเลยกับชีวิตใน ลาลีกา แม้ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ เทรนเนอร์คนเก่าจากไป แล้วพอ กีเก้ เซเตียน กุนซือคนใหม่เข้ามา ก็ไม่ได้ทำให้เขาเกิดผลกระทบแต่อย่างใด เดอ ยอง เป็นหัวใจของ บาร์ซ่า มาตลอดตั้งแต่ย้ายเข้ามา

    มิดฟิลด์ดัตช์แมน สร้างสรรค์โอกาส 24 ครั้งเหนือกว่าผู้เล่นกองกลางคืนอื่นๆ ในทีม และมีแค่ เซร์คิโอ บุสเก็ต มิดฟิลด์ตัวรับที่ตัดบอลและแย่งบอลคืนกลับมาได้มากกว่าเขาเท่านั้น

    ตัดเกรด : ผ่าน

    9. โรดรี้ : จาก แอต.มาดริด ไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (70 ล้านยูโร)
    เจ้าของนักเตะค่าตัวแพงที่สุดของ แมนฯ ซิตี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดในการหาผู้เล่นเข้ามาทดแทนกองกลางตัวรับอย่าง แฟร์นันดินโญ่ ที่ในซีซั่นนี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ถอยลงไปเล่นตำแหน่งปราการหลังตัวกลาง

 

    โรดรี้ ผ่านบอลไปทั้งสิ้น 1,996 ครั้ง โดยมีเปอร์เซ็นต์สำเร็จถึง 92% แถมยังแย่งบอลกลับคืนมาได้อีก 181 หน เหนือกว่าผู้เล่นตำแหน่งเดียวกันในทีม"เรือใบสีฟ้า" ฟอร์มแบบนี้ แน่นอนล่ะว่าเขาจะเป็นกำลังหลักกับระบบการเล่นของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไปอีกนาน

    ตัดเกรด : ผ่าน

    10. โรเมลู ลูกากู : จาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป อินเตอร์ มิลาน (65 ล้านยูโร)
    การย้ายของทีม ลูกากู ไปสู่ อินเตอร์ มิลาน ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องหาได้ยากในโลกฟุตบอลสมัยใหม่ นั่นคือเป็นการย้ายทีมที่ส่งผลดีต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

 

    ขณะที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ต้องการความลื่นไหลบนแนวรุก แมนฯ ยูไนเต็ด และ อันโตนิโอ คอนเต้ เองก็อยากได้คนที่เขาเคยต้องการสมัยคุม ยูเวนตุส  และ เชลซี อย่าง ลูกากู มาเป็นลูกทีม ซึ่ง ดาวยิงเบลเจี้ยน ก็กลับมาเป็นยอดดาวยิงอีกครั้ง เมื่อทำไป 17 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์ ในเซเรีย อา และเป็นดูโอระดับต้นๆ ของยุโรป เคียงข้าง เลาตาโร่ มาร์ติเนซ