กรีนวู้ดทำสถิติ-อาร์วีพีให้คำตอบหลังคนเปรียบ

ฟอร์มกำลังแรง! เมสัน กรีนวู้ด ทำสถิติรอบ 15 ปี หลังกด 2 เม็ดเกม แมนฯ ยูไนเต็ด ทุบ บอร์นมัธ ขณะที่ "อาร์วีพี" โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ เผยคิดอย่างไรหลังแฟนบอลนำเจ้าหนูดาวรุ่งมาเปรียบเทียบกับตัวเอง
     เมสัน กรีนวู้ด กองหน้าดาวรุ่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำสถิติเป็นนักเตะวัยทีนของ "ปีศาจแดง" คนแรกที่ยิงได้ถึง 15 ประตูทุกรายการฤดูกาลเดียวในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา หลัง เวย์น รูนี่ย์ เคยทำไว้ได้ 17 ประตู เมื่อซีซั่น 2004/05

    นอกจากนั้น กรีนวู้ด ยังมีโอกาสทำลายสถิติของ รูนี่ย์ ที่ยิงได้ 9 ประตูใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2003/04 หลังกองหน้าวัย 18 ปี ทำไปแล้ว 8 ประตู โดยขออีกแค่ 2 ลูกก็จะกลายเป็นนักเตะอายุไม่เกิน 19 ปีของทีมที่ยิงในลีกมากสุดซีซั่นเดียว

    ขณะเดียวกัน ได้มีแฟนบอล "ปีศาจแดง" เปรียบเทียบสไตล์การเล่นของ กรีนวู้ด กับ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ อดีตดาวยิงดัตช์ หลังเจ้าหนูวัย 18 กดสองประตูในเกม พรีเมียร์ลีก นัดล่าสุดที่ถล่ม บอร์นมัธ 5-2 เมื่อวันเสาร์ที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา

    แฟนบอลรายดังกล่าว ทวีตข้อความและติดแท็กไปถึง อาร์วีพี ว่า "เฮ้ เพอร์ซี่ คุณได้ดูการเล่นของ กรีนวู้ด หรือเปล่า เขาทำให้ผมนึกถึงคุณเป็นอย่างมาก"

    จากนั้น ฟาน เพอร์ซี่ ก็ตอบกลับว่า "ใช่เลย ผมก็คิดอย่างนั้น ทีมเล่นได้เยี่ยมในประตูแรก เขาเคลื่อนไหวได้ฉลาด สัมผัสบอลแรกนุ่มนวล และจบสกอร์อย่างมีชั้นเชิง"

วาร์ดี้ซัดเบิ้ล!เลสเตอร์คืนฟอร์มเก่งอัดพาเลซนิ่มยึดที่3เหนียวแน่น

"จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ คืนฟอร์มเก่ง เก็บชัยได้หลังลีกกลับรีสตาร์ท เปิดคิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม อัด "ปราสาทเรือนแก้ว" คริสตัล พาเลซ ไปแบบไม่ยาก 3-0 เจมี่ วาร์ดี้ เหมาสองประตูปิดท้าย คว้าสามคะแนนสำคัญ รั้งอันดับ3ในตารางต่อไป ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ 4 ก.ค.63

เลสเตอร์ 3-0 คริสตัล พาเลซ

สนาม : คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม

    "จิ้งจอกสยาม" เลสเตอร์ กำลังฟอร์มไม่ค่อยดี โดยยังไม่ชนะใครนับตั้งแต่ลีกกลับมารีสตาร์ท และชนะหนเดียวจาก 7 นัดหลังสุด ทำให้คู่แข่งแย่งพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก ไล่กวดมาจี้ติด

    ส่วน คริสตัล พาเลซ แม้รอดตายแล้ว แต่ผลงานก็ไม่ค่อยดีแพ้มา 2 นัดติดเช่นกัน

    ทั้งสองทีมปรับทัพเล็กน้อย โดย เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือเลสเตอร์ ส่ง อโยเซ่ เปเรซ และ เคเลชี่ อีเฮนาโช่ ลงช่วยเกมรุกกับ เจมี่ วาร์ดี้ ส่วน รอย ฮ็อดจ์สัน กุนซือพาเลซ เรียก คริสติยอง เบนเตเก้ ที่หายบาดเจ็บกลับมาเล่นเกมรุกกับ วิ
ลฟรีด ซาฮา

    เริ่มเกมมาในนาทีที่ 8 เลสเตอร์ สร้างโอกาสครั้งแรกได้ก่อน จากลูกเปิดทางขวาของ มาร์ก อัลไบรท์ตัน บอลเข้าหัว อีเฮนาโช่ กระโดดขึ้นโขก แต่ยังลูกบอลยังไม่เข้ากรอบ

    จากนั้นในนาทีที่14 เจ้าถิ่นยังบุกต่อเนื่องและน่าได้ประตูนำที่สุด เมื่อ ยูริ ตีเลอมันส์ ขวางบอลมาให้ เจมส์ จัสติน ที่เติมขึ้นมามาจากแบ็กขวากดเต็มข้อ บอลลอยไปชนสามเหลี่ยมเด้งออกมาอย่างน่าเสียดาย

    คริสตัล พาเลซ เน้นเป็นฝ่ายรับตามสไตล์ และอาศัย เบนเตเก้ พักบอลในแดนหน้า โดยเลสเตอร์ มีลุ้นจากจังหวะของ อีเฮนาโช่ ซัดไปโดน มามาดู ซาโก้ เตะทิ้ง ก่อนโดน เปเรซ ซ้ำติดบล็อกอีกรอบ ขณะที่ วาร์ดี้ ยังไม่มีโอกาสชัดเจนนัก

    หมดครึ่งแรกเสมอกันอยู่แบบไม่มีสกอร์ 0-0

    เริ่มครึ่งหลังมาในนาทีที่49 กลายเป็นเจ้าถิ่น เลสเตอร์ ได้เฮสักที เมื่อ ยูริ ตีเลอมันส์ เติมไปเปิดบอลทางฝั่งซ้ายของสนาม บีเซนเต้ กวาอีต้า ผู้รักษาประตูของ พาเลซ เหมือนออกไม่สุด ทำให้โดน เคเลชี่ อีเฮนาโช่ วิ่งมาชาร์จจ่อๆไม่เหลือ ขยับ
สกอร์ให้ เลสเตอร์ ขึ้นนำ 1-0

    เกมผ่านครึ่งชั่วโมง คริสตัล พาเลซ ได้เสียวบ้าง จากลูกโขกของ แกรี่ เคฮิลล์ แต่  แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ยังยอดเยี่ยมเซฟประตูช่วยเจ้าถิ่นได้อย่างหวุดหวิด

    นาทีที่74 เกมต้องหยุดไปพักนิดหลัง อโยเซ่ เปเรซ โดนกระแทกเจ็บ เล่นต่อไม่ไหวจนต้องเปลี่ยนเอา ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ลงมาแทน

    แต่แล้วนาทีที่77 ฮาร์วี่ย์ บาร์น ที่เพิ่งลงมาใหม่ กลับได้ของขวัญจาก มามาดู ซาโก้ แบบไม่น่าเชื่อ หลังกองหลังจอมเก๋าไปเลี้ยงบอลตรงกรอบเขตโทษ ก่อนลื่นเสียหลักเองเฉย จนโดน ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ฉกบอลไปไหลให้ เจมี่ วาร์ดี้ แปจ่อๆไม่เหลือ
เลสเตอร์ นำห่าง 2-0

    ช่วงเวลาทดเจ็บนาทีที่90+4 เลสเตอร์ ก็มาบวกสกอร์เพิ่มได้สำเร็จ โดยบอลเริ่มบุกมาจากแดนตัวเอง ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ตวัดกลางสนามจังหวะเดียวให้  เจมี่ วาร์ดี้ โซโล่เดี่ยวกว่า40หลา ไปยกบอลข้ามตัว บีเซนเต้ กวาอีต้า ไปอย่างสุดยอด เป็นประตูที่21 ของเจ้าตัว นำเดี่ยวดาวซัลโว อีกต่างหาก

    ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ หมดเวลาจึงเป็น เลสเตอร์ เปิดบ้านทุบ คริสตัล พาเลซ ไป 3-0 เก็บชัยชนะได้นัดแรก นับตั้งแต่กลับมารีสตาร์ท คว้าสามคะแนนสำคัญ รั้งอันดับ3ในตารางต่อไป ด้วยการทิ้งห่างทีมอันดับ4อย่าง
แมนยู 3 คะแนน
   
รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม

เลสเตอร์ : แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล, เจมส์ จัสติน, จอนนี่ อีแวนส์, ชักลาร์ โซยุนชู, เบน ชิลเวลล์ (ไรอัน เบนเน็ตต์ น.46), อโยเซ่ เปเรซ (ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ น.75), ยูริ ตีเลอมันส์ (ฮัมซ่า เชาว์ดรี้ น.89), วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้, มาร์ก อัลไบรท์ตัน (คริสเตียน ฟุกส์ น.75),
เคเลชี่ อีเฮนาโช่ (เดนนิส ปราต น.64), เจมี่ วาร์ดี้

สำรอง : เวส มอร์แกน, ดีมาราย เกรย์, แดนนี่ วอร์ด, น็อมปาลิส เมนดี้

คริสตัล พาเลซ : บีเซนเต้ กวาอีต้า, โจเอล วอร์ด, แกรี่ เคฮิลล์, มามาดู ซาโก้, ปาทริค ฟาน อานโฮลท์ (ไทริค มิตเชลล์ น.83), จอร์แดน อายิว (แอนดรอส ทาวน์เซ่นด์ น.83), เจมส์ แม็คอาเธอร์ (เจมส์ แม็คคาร์ธี่ น.69), ลูก้า มิลิโวเยวิช, ไยโร่ รีเดวัลด์ (ชีคู คู
ยาเต้ น.60), วิลฟรีด ซาฮา, คริสติยอง เบนเตเก้

สำรอง : สกอตต์ แดนน์, มักซ์ ไมเยอร์,  เวย์น เฮนเนสซี่ย์, แซม วู้ดส์, แบรนดอน เพียร์ริค

ผู้ตัดสิน : โจนาธาน มอสส์

 

ดาวดังหลุดเพียบ!ทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีกแมนยู

เปิดผลโหวตแฟนบอลเลือกทีมยอดเยี่ยม แมนฯ ยูไนเต็ด ในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก โดยที่สตาร์ดังต้องหลุดโผไปหลายราย
              
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดเผยผลโหวตของแฟนบอลที่เลือกทีมยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก ของสโมสร โดยที่บรรดาดาวดังหลายรายไม่มีชื่อติดอยู่ในทีมชุดนี้ อาทิ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ตำนานผู้รักษาประตูทีมชาติเดนมาร์ก, รุด ฟาน นิสเตลรอย อดีตกองหน้าทีมชาติฮอลแลนด์ และ เดวิด เบ็คแฮม เป็นต้น

    "ปีศาจแดง" เปิดให้แฟนบอลทั่วโลกเลือกนักเตะผ่านทางเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสโมสร ก่อนได้ผลโหวตทั้ง 11 ตำแหน่งออกมาดังนี้

    ผู้รักษาประตู: ดาบิด เด เคอา
 

 นายด่านสแปนิช ที่เป็นมือ 1 ของ "ปีศาจแดง" อยู่ในเวลานี้ สามารถเอาชนะ ชไมเคิ่ล ในการโหวตให้เป็นโกลยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก ของทีม

    แบ็กขวา: แกรี่ เนวิลล์
 

 ในตำแหน่งนี้ไม่มีใครสามารถเบียด เนวิลล์ ผู้พี่ไปได้ หลังทำผลงาน และทุ่มเทให้ทีมอย่างหนักตอนค้าแข้ง

    เซนเตอร์แบ็ก: ริโอ เฟอร์ดินานด์
 

   สำหรับตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กต้องยกให้ เฟอร์ดินานด์ ที่ไม่ได้แค่เยี่ยมในทีม "ปีศาจแดง" เท่านั้น แต่ยังเป็นเต้ยสำหรับทั้งลีกเลยก็ว่าได้

    เซนเตอร์แบ็ก: เนมานย่า วิดิช
 

 กองหลังจอมทุ่มเท ไม่เคยเกรงกลัวกองหน้าคนไหน และจับคู่กับ เฟอร์ดินานด์ ได้อย่างยอดเยี่ยม

    แบ็กซ้าย: ปาทริซ เอวร่า

    เอวร่า ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดในโลก

    ปีกขวา: คริสเตียโน่ โรนัลโด้
 

 โรนัลโด้ เบียด เบ็คแฮม ให้หลุดจากทีมยอดเยี่ยม ด้วยผลงานที่สุดยอดก่อนย้ายไปเล่นให้ เรอัล มาดริด

    กองกลาง: พอล สโคลส์
 

 สโคลส์ คู่ควรกับการติดอยู่ในทีม เพราะขนาด ซีเนดีน ซีดาน และ ชาบี เอร์นานเดซ ยังเคยยกย่องให้เป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมสุดมาแล้ว

    กองกลาง: รอย คีน
 

 คงยากจะหามิดฟิลด์ตัวรับที่เหนือกว่า คีโน่ ได้อีกแล้ว เขาเป็นกัปตันทีมที่แฟนบอล "ปีศาจแดง" รัก แต่ทีมอื่นเกลียด

    ปีกซ้าย: ไรอัน กิ๊กส์
 

 ตำนานปีกพ่อมดสร้างประวัติศาสตร์มากมายให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างลงสนามมากสุด และแอสซิสต์เยอะสุดเป็นต้น

    กองหน้า: เอริก คันโตน่า
   

คันโตน่า ย้ายมาจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวแค่ 1.2 ล้านปอนด์เท่านั้น ก่อนกลายเป็น เดอะ คิง และตำนานแห่งถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

    กองหน้า: เวย์น รูนี่ย์
 

 รูนี่ย์ เป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร หลังลงเล่นให้ "ปีศาจแดง" ระหว่างปี 2004–2017 

ฟาบินโญ่-เทรนท์ซัดงาม! ลิเวอร์พูลยำพาเลซ-หากเรือไม่ชนะส่งหงส์แชมป์

"หงส์แดง" ไม่พลาดสามแต้มในบ้านหลังไล่ต้อนเอาชนะ คริสตัล พาเลซ อย่างไม่ยากเย็น 4-0 ส่งผลให้นำจ่าฝูงหนี "เรือใบ" 23 คะแนน ซึ่งหาก แมนฯซิตี้ ไม่ชนะเชลซีในวันพฤหัสฯนี้จะส่งให้ ลิเวอร์พูล การันตีแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกทันที แม้จะเหลือโปรแกรมอีก 7 นัดก็ตาม ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

สนาม : แอนฟิลด์

    "จ่าฝูง" ลิเวอร์พูล ลงเล่นเกมที่ 31 รับการมาเยือนของ คริสตัล พาเลซ ทีมอันดับ 9 โดยหากเกมนี้ "หงส์แดง" คว้าชัยได้ และวันพฤหัสฯนี้ แมนฯซิตี้ บุกไปพ่าย เชลซี จะส่งให้ ลิเวอร์พูล การันตีแชมป์พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ทันที
   
    เกมเริ่มมาได้แค่ 7 นาทีแรก "หงส์แดง" ได้ทักทายก่อนเลย หลัง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ครอสบอลไปเสาไกล แอนดรอส ทาวน์เซ่น สกัดบอลผิดเหลี่ยมเข้ากลางประตูก่อนจะกระดอนมาเข้าทาง จอร์จินโย่ ไวนัลดุม วิ่งมาซัดด้วยขวาหลุดกรอบไป

    อีก 3 นาทีต่อมา เจ้าถิ่นได้ลุ้นอีกจากจังหวะที่ ซาดิโอ มาเน่ พลิกบอลถึงเส้นหลังก่อนโยนยาวมาเสาสองให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน วอลเลย์แบบไม่จับหลุดกรอบออกไปไกล

    เกมเข้าสู่นาที 15 "ดิ อีเกิ้ลส์" ต้องเปลี่ยนตัวคนแรกอย่างรวดเร็วหลัง วิลฟรีด ซาฮา มีอาการเจ็บเล่นต่อไม่ไหวต้องส่ง มักซ์ เมเยอร์ ลงมาเล่นแทน

    นาที 16 ทีมเยือนได้โอกาสส่องหนแรกจาก เจมส์ แม็คอาร์เธอร์ แต่บอลก็สูงเลยคานไปไกล ถัดมานาทีเดียวกัน "หงส์แดง" โต้กลับขึ้นมา ซาดิโอ มาเน่ จ่ายบอลมาให้  โรแเบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่ยืนโล่งๆกดด้วยขวาเน้นๆแต่บอลยังไม่ผ่านมือของ เวย์น เฮนเนสซี่ย์

    นาที 23 ลิเวอร์พูล มาได้ประตูที่รอคอยชิงขึ้นนำไปก่อน 1-0 สำเร็จ จากจังหวะที่ได้ฟรีคิกหน้ากรอบกว่า 23 หลา เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ รับหน้าที่ปั่นข้ามกำแพงเบียดเสาแรกเข้าไปอย่างงดงาม

    นาที 28 แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เปิดฟรีคิกเข้าไปโดนแนวรับพาเลซสกัดมาเข้าทาง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน วอลเลย์ด้วยขวาเต็มแรง บอลพุ่งไปชนเสา ก่อนจะมาเข้าหัว เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ โขกหลุดกรอบออกไป

    เกมรุกเจ้าถิ่นกระหน่ำใส่มาเป็นชุดๆ นาที 36 ซาดิโอ มาเน่ ได้บอลในกรอบก่อนจะไหลออกซ้ายให้ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม วิ่งมาแปบอลถากเสาออกไป

    นาที 44 "หงส์แดง" มาได้ประตูที่สองนำห่าง 2-0 จนได้ จากจังหวะอันยอดเยี่ยมของ ฟาบินโญ่ พาบอลขึ้นมาก่อนจะตักบอลข้ามหัวแนวรับพาเลซให้  โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หลุดเข้าไปยิงด้วยซ้ายผ่านมือ เวย์น เฮนเนสซี่ย์ เข้าไป

    จบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล นำห่าง คริสตัล พาเลซ 2-0

    กลับมาเล่นต่อในครึ่งหลัง นาที 55 "หงส์แดง" ทะยานนำโด่ง 3-0 ทันที แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน หักเข้ากลางให้ ฟาบินโญ่ ตั้งป้อมซัดไกลด้วยขวา บอลพุ่งเป็นจรวดเบียดเสาเข้าไปอย่างงดงาม

    อีก 2 นาทีต่อมา หงส์พลาดเม็ดที่สี่อย่างน่าเสียดายหลัง ซาดิโอ มาเน่ จ่ายไปหน้าประตูให้ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม ยิงโล่งๆแต่ห้องเครื่องชาวดัตช์ยิงไม่ดีไปตรงตัว เวย์น เฮนเนสซี่ย์

    นาที 64 เจอร์เก้น คล็อปป์ ส่ง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ลงมาเล่นแทน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน จากนั้นอีก 2 นาทีถัดมา แชมเบอร์เลน มีโอกาสส่องทันทีหลังรับบอลจาก ไวนัลดุม ก่อนกดด้วยซ้ายเหินคานไปไกล

    กระนั้น นาที 69 ลิเวอร์พูล ทะยานนำโด่ง 4-0 จากจังหวะสวนกลับเร็วของ 3 ประสานแนวรุก มาเน่ จ่ายเข้ากลางให้ ฟีร์มีโน่ ก่อนไหลต่อให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จ่ายทะลุตัดแนวรับทีมเยือนให้ ซาดิโอ มาเน่ หลุดเข้าไปยิงผ่านมือ เวย์น เฮนเนสซี่ย์ เข้าไปเป็นประตูที่ 15 ของดาวยิงชาวเซเนกัลในซีซั่นนี้

    นาทีที่ 90 เจ้าถิ่นชวดได้ประตูที่ห้าอย่างน่าเสียดายหลัง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หลุดเข้าไปยิงมุมแคบแต่ยังไม่ผ่านมือ เวย์น เฮนเนสซี่ย์

    จบเกม ลิเวอร์พูล ไล่ถล่มคว้าชัยเหนือ คริสตัล พาเลซ 4-0 คว้าสามแต้มสำคัญ   

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

        ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลีสซง เบ็คเกอร์ – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม – โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแเบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ มาเน่

        ผู้จัดการทีม : เจอร์เก้น คล็อปป์

        คริสตัล พาเลซ (4-3-3) : เวย์น เฮนเนสซี่ย์ – โจเอล วอร์ด, มามาดู ซาโก้, แกรี่ เคฮิลล์, พาทริก ฟาน อานโฮลท์ – ชีกู กูยาเต้, เจมส์ แม็คคาร์ธี่ย์, เจมส์ แม็คอาร์เธอร์ –  แอนดรอส ทาวน์เซ่น, จอร์แดน อายิว, วิลฟรีด ซาฮา

        ผู้จัดการทีม : รอย ฮ็อดจ์สัน

        ผู้ตัดสิน : มาร์ติน แอตกินสัน

ล็อกดาวน์ไม่หยุดรวย! โรนัลโด้ ยืน 1 รายได้ “ไอจี” ช่วงกักตัวหนีโควิด-19

สตาร์ดังในวงการกีฬาหลายคนกำลังต้องเจอกับผลกระทบจากวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลต่อรายได้ของพวกเขา แต่ก็มีคนดังในวงการกีฬาอีกหลายรายที่สามารถสร้างรายได้มหาศาลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในช่วงเวลาล็อกดาวน์
 ต้องยอมรับว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมรณะ ทำให้ทุกอย่างทั่วโลกต้องหยุดชะงัก เนื่องจากรัฐบาลทุกประเทศต้องออกมาตรการฉุกเฉินด้วยการให้ผู้คนอยู่เหย้าเฝ้าเรือน เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งการทำแบบนั่นยอมส่งผลกระทบกับรายได้ของทุกๆ คน

 อย่างในวงการกีฬาทั่วโลกจำเป็นต้องหยุดพักการแข่งขันชั่วคราว แต่กระนั้นเหล่าสตาร์สามารถที่จะทำเงินจากช่วงล็อกดาวน์ ด้วยการอัพเดทข้อความหรือภาพลงในเว็บไซต์อินสตาแกรม เพื่อให้แฟนคลับได้ทราบข่าวคราวความเคลื่อนไหวของนักเตะที่พวกเขาชื่นชอบ

 ที่สำคัญความเคลื่อนไหวใน "ไอจี" ของเหล่าสตาร์ดังสามารถทำให้สมุดบัญชีของพวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม ไปจนถึง 14 พฤษภาคม นักกีฬาเหล่านี้รับทรัพย์แบบไม่ทันตั้งตัว อย่างในกรณีของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยังคงยืนหนึ่งในการทำเงินจากการโพสต์ "ไอจี"

 พวกเขาประเมินว่านักกีฬาได้เงินเท่าไหร่ด้วยการคำนวณรายได้เฉลี่ยของโพสต์ที่เกี่ยวกับสปอนเซอร์ และการสำรวจนี้ยังประเมินด้วยว่าทุกๆ​ 1​ การฟอลโลว์ จะมีมูลค่า​ 0.00313 ปอนด์​ (ราว 0.11894 บาท) ทำให้พบว่า​ อินสตาแกรม  สามารถกลายเป็นแหล่งทำเงินชั้นยอดสำหรับคนดังทั่วโลกได้​ โดยถ้ามีคนฟอลโลว์ 1​ ล้านคนมันก็จะทำให้พวกเขาได้เงินประมาณ​ 3,130 ปอนด์​ (ราว 118,940 บาท) สำหรับโพสต์เกี่ยวกับสปอนเซอร์​ แต่การคำนวณก็ไม่ได้มีสูตรตายตัวเสมอไป

 "ซีอาร์ 7"สามารถทำเงินได้มหาศาลเกือบ 1.9 ล้านปอนด์ (ราว 72.2 ล้านบาท) ตลอดช่วงระยะเวลากว่า 2 เดือนที่กักตัวอยู่บ้าน โดยดาวเตะเจ้าของบัลลงก์ดอร์ 5 สมัย มีผู้คนกดติดตาม "ไอจี" กว่า 219 ล้านฟอลโลว์ และทำให้เขารับทรัพย์กว่า 470,584 ปอนด์ (ราว 17.44 ล้านบาท) ต่อการโพสต์กับสปอนเซอร์ 1 โพสต์

 ขณะที่ ลิโอเนล เมสซี่  กองหน้าอัจฉริยะ "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า ตามหายใจรต้นคอ ดาวยิงชาวโปรตุกีสจาก "ม้าลาย" ยูเวนตุส โดยรั้งอันดับ 2 ด้วยการสร้างรายได้รวมช่วงล็อกดาวน์ประมาณ 1,299,373 ล้าน (ราว 49.37 ล้านบาท) ต่อการโพสต์กับสปอนเซอร์ทั้งหมด 4 โพสต์ของเขา

 ในส่วนของอันดับ 3 ได้แก่ เนย์มาร์ หัวหอกชาวบราซิเลียน "เปแอสเช" ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ที่ทำรายได้ประมาณ 1.19 ล้านปอนด์ (ราว 45.22 ล้านบาท) สำหรับนักฟุตบอลอีก 3 รายทั้งที่ยังค้าแข้งอยู่และแขวนสตั๊ดไปแล้ว ก็มีชื่อติดอันดับท็อปเทน โดยรวมไปถึง เดวิด เบ็คแฮม ตำนานแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำเงินในช่วงล็อกดาวน์จากการโพสต์ร่วมกับสปอนเซอร์ผ่าน "ไอจี" เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 405,359 ปอนด์ (ราว 15.40 ล้านบาท)

 ตามด้วย ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หัวหอกมากประสบการณ์ชาวสวีดิช รับทรัพย์รวม  184,413 ปอนด์ (ราว 70.07 ล้านบาท)  และ ดานี่ อัลเวส ฟูลแบ็กดีกรีทีมชาติบราซิล สามารถสร้างรายได้จากการโพสต์ร่วมกับสปอนเซอร์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ได้ถึง 133,694 ปอนด์ (ราว 5.08 ล้านบาท) 

  ในส่วนของวงการกีฬาอื่นๆ อย่าง ชาคีล โอนีล ตำนานนักบาสเกตบอสเอ็นบีเอ แม้จะเลิกเล่นกีฬายัดห่วงไปแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นที่สนใจของแฟนๆ ทำให้เขาสามารถทำเงินในช่วงกักตัวหนีโควิด-19 ถึง  583,628 ปอนด์ (ราว 22.17 ล้านบาท) ขณะที่ วิรัต โคห์ลี นักคริกเกตระดับซูเปอร์สตาร์ชาวอินเดีย ทำเงินได้ประมาณ  379,294 ปอนด์ (ราว 14.41 ล้านบาท)

 สำหรับ  ดเวย์น เวด  อดีตนักยัดห่วงชื่อก้องโลกชาวอเมริกัน รายได้รวม 143,146 ปอนด์ (ราว 5.43 ล้านบาท) ด้าน แอนโธนี่ย์ โจชัว นักมวยชาวเมืองผู้ดีเจ้าของแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่ เวท ได้รับเงินจำนวน 121,500 ปอนด์ (ราว 4.61 ล้านบาท) รั้งอันดับ 10
 
10 อันดับนักกีฬาที่ทำรายได้สูงสุดในช่วงล็อกดาวน์ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.-14 พ.ค.

1. คริสเตียโน่ โรนัลโด้  รายได้รวม 1,882,336 ปอนด์ (ราว 71.52 ล้านบาท)
ผู้ติดตาม : 219,000,000 ฟอลโลว์, รายได้เฉลี่ยต่อโพสต์ 470,584 ปอนด์ (ราว 17.88 ล้านบาท), โพสต์ที่เกี่ยวกับสปอนเซอร์​  : 4 โพสต์

2. ลิโอเนล เมสซี่ รายได้รวม 1,299,373 ล้าน (ราว 49.37 ล้านบาท)
ผู้ติดตาม : 151,000,000 ฟอลโลว์, รายได้เฉลี่ย์ต่อโพสต์ 324,843 ปอนด์ (ราว 12.34 ล้านบาท), โพสต์ที่เกี่ยวกับสปอนเซอร์​ : 4 โพสต์
 
3. เนย์มาร์ รายได้รวม 1,192,211 ปอนด์ (ราว 45.30 ล้านบาท)
ผู้ติดตาม :  138,000,000 ฟอลโลว์, รายได้เฉลี่ยต่อโพสต์ 298,053 ปอนด์ (ราว 11.32 ล้านบาท), โพสต์ที่เกี่ยวกับสปอนเซอร์​ : 4 โพสต์
 
4. ชาคีล โอนี รายได้รวม 583,628 ปอนด์ (ราว 22.17 ล้านบาท)
ผู้ติดตาม :  17,000,000 ฟอลโลว์, รายได้เฉลี่ยต่อโพสต์ 36,477 ปอนด์ (ราว 1.38 ล้านบาท) , โพสต์ที่เกี่ยวกับสปอนเซอร์​ : 16 โพสต์
 
5. เดวิด เบ็คแฮม รายได้รวม 405,359 ปอนด์ (ราว 15.40 ล้านบาท)
ผู้ติดตาม : 62,900,000 ฟอลโลว์, รายได้เฉลี่ยต่อโพสต์ 135,120ปอนด์ (ราว 5.13 ล้านบาท), โพสต์ที่เกี่ยวกับสปอนเซอร์​: 3 โพสต์
 
6. วิรัต โคห์ลี รายได้รวม 379,294 ปอนด์ (ราว 14.41 ล้านบาท)
ผู้ติดตาม : 59,000,000 ฟอลโลว์, รายได้เฉลี่ยต่อโพสต์ : 126,431 ปอนด์ (ราว 4.8 ล้านบาท), โพสต์ที่เกี่ยวกับสปอนเซอร์​ : 3 โพสต์

7. ซลาตัน อิบราฮิโมวิช รายได้รวม  184,413 ปอนด์ (ราว 70.07 ล้านบาท)
ผู้ติดตาม : 42,900,000 ฟอลโลว์,  รายได้เฉลี่ยต่อโพสต์ : 92,206 ปอนด์ (ราว 3.5 ล้านบาท),  โพสต์ที่เกี่ยวกับสปอนเซอร์​ : 2 โพสต์

8. ดเวย์น เวด รายได้รวม 143,146 ปอนด์ (ราว 5.43 ล้านบาท)
ผู้ติดตาม : 16,600,000 ฟอลโลว์, รายได้เฉลี่ยต่อโพสต์ : 35,787 ปอนด์ (ราว 1.35 ล้านบาท) ,โพสต์ที่เกี่ยวกับสปอนเซอร์​ : 2 โพสต์

9. ดานี่ อัลเวส รายได้รวม 133,694 ปอนด์ (ราว 5.08 ล้านบาท) 
ผู้ติดตาม : 31,100,000 ฟอลโลว์, รายได้เฉลี่ยต่อโพสต์ : 66,847 ปอนด์ (ราว 2.54 ล้านบาท), โพสต์ที่เกี่ยวกับสปอนเซอร์​ : 2 โพสต์

10.  แอนโธนี่ย์ โจชัว รายได้รวม  121,500 ปอนด์ (ราว 4.61 ล้านบาท)
ผู้ติดตาม :  11,300,000 ฟอลโลว์, รายได้เฉลี่ยต่อโพสต์ : 24,300 ปอนด์ (ราว 923,400 บาท) , โพสต์ที่เกี่ยวกับสปอนเซอร์​ :  5 โพสต์

เกิดอะไรบ้างกับ5นักเตะที่มูรินโญ่ปล่อยจากแมนยู

โชเซ่ มูรินโญ่ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกุนซือที่ยอดเยี่ยมสุดในโลก หลังประสบความสำเร็จ และคว้าแชมป์มากมาย จากการคุม ปอร์โต้, เชลซี, อินเตอร์ มิลาน, เรอัล มาดริด และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนมาทำงานให้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในเวลานี้
    กุนซือชาวโปรตุกีส คุม แมนฯ ยูไนเต็ด ระหว่างปี 2016-2018 โดยพา "ปีศาจแดง" คว้าแชมป์ ยูโรปา ลีก ปี 2017, ลีก คัพ 2016/17 และ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 2016

    มูรินโญ่ ดึงนักเตะมาอยู่กับ "ปีศาจแดง" หลายราย และก็มีปล่อยออกไปบ้าง โดยเราจะไปดูกันว่าแต่ละคนเป็นอย่างไรกันบ้างหลังเดินออกจากรั้วโอลด์ แทรฟฟอร์ด

1. บิคตอร์ บัลเดส

มูรินโญ่ ไม่เสียเวลาเลยในการโละ บิคตอร์ บัลเดส นายทวารชาวสแปนิช ออกจากทีม หลังเข้ามาคุม แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ไม่นานเมื่อปี 2016

บัลเดส ต้องย้ายไปเล่นให้ สตองดาร์ ลีแอช แบบยืมตัว และไปเฝ้าเสาให้ มิดเดิ้ลสโบรช์ ในฤดูกาล 2016/17 ก่อนแขวนถุงมือในปี 2018 หลังไร้สังกัดมานานหลายเดือน

จากนั้น บัลเดส ไปเป็นโค้ชให้กับทีมเยาวชนของ โมราตาลาซ สโมสรสมัครเล่น และ บาร์เซโลน่า อดีตต้นสังกัด แต่แค่ 3 เดือนก็โดนไล่ออก ก่อนมาทำงานให้กับสโมสร ฮอร์ต้า

2. นิค พาวล์

นิค พาวล์ เคยเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตา เป็นที่หมายปองของหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ หลังโด่งดังเร็วตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 ปี ก่อนย้ายจาก ครูว์ อเล็กซานดรา มาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2012

อย่างไรก็ตาม พาวล์ ไม่สามารถแจ้งเกิดกับ "ปีศาจแดง" ก่อนโดนส่งไปให้หลายสโมสรยืมทั้ง วีแกน แอธเลติก, เลสเตอร์ ซิตี้ และ ฮัลล์ ซิตี้

จากนั้น พาวล์ ก็โดนปล่อยขาดให้ วีแกน เมื่อปี 2016 และย้ายมาอยู่กับ สโต๊ค ซิตี้ เมื่อปี 2019

3. บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์

กองกลางดีกรีทีมชาติเยอรมัน ย้ายจาก บาเยิร์น มิวนิค มาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2015 แต่หลัง มูรินโญ่ เข้ามาคุมทีม เขาก็แทบไม่ได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริงเลย

ชไวน์สไตเกอร์ อำลา "ปีศาจแดง" ไปอยู่กับ ชิคาโก้ ไฟร์ ใน เมเจอร์ ลีก  สหรัฐฯ เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2017 และแขวนสตั๊ดไปเมื่อปีที่แล้ว

4. ซลาตัน อิบราฮิโมวิช

หนึ่งในนักเตะไม่กี่คนที่ มูรินโญ่ ยอมรับว่าอยากที่จะเก็บให้อยู่กับทีมต่อไป แต่ไม่อาจรั้งไว้ได้ หลังเจ้าตัวบาดเจ็บหนักที่หัวเข่าเมื่อเดือนเมษายน ปี 2017 และต้องพักยาวถึง 8 เดือน

หลังกลับมาจากอาการบาดเจ็บ ซลาตัน ตกลงเซ็นสัญญากับ "ปีศาจแดง" อีก 1 ปี แต่สภาพร่างกายไม่เหมือนเดิม และไม่ได้รับโอกาสลงเล่นมากนัก จนนำไปสู่การยกเลิกสัญญาในที่สุด

ดาวยิงสวีดิช วัย 38 ปี ทำผลงานดีในปีแรกที่มาอยู่ใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ฤดูกาล 2016/17 ด้วยการยิงไป 28 ประตู จาก 46 นัด

อิบราฮิโมวิช ไปเล่นให้ แอลเอ แกแล็กซี่ เมื่อปี 2018 ก่อนที่ล่าสุดจะย้ายมาอยู่กับ เอซี มิลาน เมื่อเดือนมกราคม ที่ผ่านมา

5. เวย์น รูนี่ย์

รูนี่ย์ ย้ายจาก เอฟเวอร์ตัน มาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2004 ก่อนย้ายกลับไปเล่นให้ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" อีกครั้งในปี 2017 หลังค้าแข้งในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นานถึง 13 ปี

จากนั้น รูนี่ย์ ก็ไปอยู่กับ ดีซี ยูไนเต็ด ใน เมเจอร์ลีก สหรัฐฯ เมื่อปี 2018 และเพิ่งกลับอังกฤษ มาเล่นให้ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ใน แชมเปี้ยนชิพ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

7 เหตุผลหนุน ไมเคิ่ล โอเว่น เป็นกองหน้าชาวอังกฤษที่เก่งที่สุดในยุคของเขา

ไมเคิ่ล โอเว่น ชื่อนี้แฟนบอลลิเวอร์พูลทั้งรักทั้งชัง เพราะนี่คือหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของทัพ "หงส์แดง" และก็เป็นนักเตะที่ทำให้แฟนบอลต้องเจ็บปวดหัวใจจากการตัดสินใจทิ้งทีมแบบไม่ใยดี

    โอเว่น ประสบความสำเร็จอย่างสูงจนได้ชื่อว่าเป็นหัวหอกสุดอันตรายในพรีเมียร์ลีก ในยุคของเขา โดยเจ้าตัวเป็นผู้เล่นหลักของ "เดอะ เร้ดส์" และเป็นหัวหอกคนสำคัญสำหรับทีมชาติอังกฤษ โดยเฉพาะไฮไลท์ในการทำประตูเกมพบ อาร์เจนตินา จนทำให้เขาได้รับฉายาว่า "เบบี้โกล"

    อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้สาวก "เดอะ ค็อป" เจ็บปวดมากๆ ก็คือการที่เขาตัดสินใจอำลาถิ่นแอนฟิลด์ เพื่อไปเล่นให้กับ เรอัล มาดริด เมื่อปี 2004 แต่ที่เจ็บช้ำระกำอุราเป็นทวีคูณก็คือการที่เขาย้ายไปเล่นกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2009 ซึ่งนั่นทำให้แฟนบอล "หงส์แดง" บางคนเลือกที่จะตัดชื่อของเขาจากการเป็นฮีโร่ของทีมไปในทันที

    ตลอดช่วงระยะเวลาที่ค้าแข้งตั้งแต่เป็นเด็กปั้นลิเวอร์พูล จนกระทั่งระหกระเหินไปจบอาชีพนักเตะกับ "ช่างปั้นหม้อ" สโต๊ค ซิตี้ โอเว่น ได้สร้างผลงานชั้นยอดเอาไว้มากมาย และทำให้เขาได้รับการเชิดชูว่าเป็นกองหน้าชาวอังกฤษที่เก่งที่สุดในยุคของเขา

 

 

 

ยิงประตูเปิดตัว

    ไมเคิ่ล โอเว่น สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการลูกหนัง เมื่อลงสนามให้กับ "หงส์แดง" ในวัยแค่ 17 ปีเท่านั้น โดยเจ้าตัวลงเล่นในฐานะตัวสำรอง และยิงประตูในเกมพบกับ วิมเบิลดัน ที่สนามเซลเฮิร์ตส์ พาร์ค เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 1997

    ประตูนั้นทำให้ชื่อของเขาถูกจารึกเอาไว้ว่าเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์สโมสรที่ยิงประตูได้ ในเวลานั้น โอเว่น อายุเพียง 17 ปีกับ 143 วัน แต่สถิตินี้ถูกทำลายไปแล้วโดย  เบน วู้ดเบิร์น ไปเรียบร้อยแล้ว แต่กระนั้นประตูของ โอเว่น ก็ยังคงได้รับการจดจำมาจนถึงวันนี้

    แม้ว่าเกมนั้น ลิเวอร์พูล จะแพ้ให้กับ วิมเบิลดัน 1-2 ก็ตาม แต่มันมีสัญญาณที่น่าตื่นเต้นที่ได้เห็นนักเตะวัยละอ่อน ทำผลงานได้ทันที่ได้ลงเล่น โดยเขาแสดงให้เห็นถึงความกล้าในการสู้กับนักเตะเก๋า และนั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งการเป็นเครื่องจักรถล่มประตูให้กับ "หงส์แดง"
 
 

 

 

เปิดตัวทีมชาติอังกฤษ ในวัย 18 ปี

 

    โอเว่น ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตเมื่อถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษ และเขาได้ลงสนามเปิดตัวให้กับทัพ "สิงโตคำราม" ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1998 ในวัยเพียงแค่ 18ปีกับ 59 วัน โดยเป็นตัวจริงในเกมปะทะ ชิลี ที่สนามเวมบลีย์

    สำหรับฤดูกาล1997/98 โอเว่น ได้รับโอกาสทองลงเล่นเป็นตัวหลักแทนที่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ เนื่องจากมีปัญหาบาดเจ็บ และเขาฉกฉวยโอกาสได้สำเร็จ เมื่อซัดไป 18 ประตูในเกมพรีเมียร์ลีก รวมทั้งได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีจากพีเอฟเอ

    ต้องยอมรับเลยว่า โอเว่น มีปีที่สุดยอดมากๆ และนั่นเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่การเป็นตัวเลือกแรกในแดนหน้าของทีม รวมไปถึงการยึดตำแหน่งตัวจริงถาวรทั้งกับ ลิเวอร์พูล และทีมชาติอังกฤ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

 

 

ประตูเวิลด์คลาสในศึกฟุตบอลโลก 1998

    ต้องยอมรับว่าศึกฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส ถือเป็นการแจ้งเกิดของ โอเว่น แบบเต็มตัว เพราะเขาทำผลงานได้อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะในการต้องสู้กับกองหลังเขี้ยวลากดินมากมายในการเล่นระดับชาติด้วยวัยเพียงน้อยนิด

    แมตช์ที่พบกับ อาร์เจนตินา ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โอเว่น ทำให้แฟนบอลทั่วโลกต้องตกตะลึงกับลีลาการกระชากบอลกว่าครึ่งสนาม พร้อมกับวิ่งฉีกหนี โรแบร์โต้ อยาล่า และผู้เล่นหลายคนในทัพ "ฟ้าขาว" ก่อนจะหลุดเข้าไปในเขตโทษพร้อมกับซัดบอลผ่าน คาร์ลอส โรอา เข้าไปซุกก้นตาข่าย

    แม้สุดท้ายแล้ว อังกฤษ ต้องตกรอบเนื่องจากแพ้การดวลจุดโทษให้กับ อาร์เจนตินา ก็ตาม แต่ประตูของ โอเว่น ยังคงอยู่ในความทรงจำของคอลูกหนัง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะได้รับการโหวตคว้ารางวัลบุคคลกีฬาแห่งปี บีบีซี

    "ประตูนั้นเปลี่ยนชีวิตของผม เมื่อคุณยิงประตูแบบนั้นได้ ทั่วโลกเปลี่ยนมุมมองในตัวคุณ แม้ผมจะเชื่อมั่นในความสามารถของผมก็ตาม แต่ทุกๆ คนรู้จักผมจากช่วงเวลานั้นจริงๆ" ตำนานหัวหอกลิเวอร์พูล กล่าว

 

 

 

คว้าบัลลงดอร์ 2001

    โอเว่น เป็นนักเตะชาวอังกฤษคนแรกในรอบกว่า 20 ปีที่ได้รับรางวัลบัลลงดอร์ ในปี 2001 โดยเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาได้รับรางวัลทรงเกียรตินี้ก็คือการยิงประตูเป็นว่าเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล โดยครึ่งหนึ่งของประตูที่ทำได้ช่วยให้ "หงส์แดง" คว้าทริปเบิลแชมป์บอลถ้วย ได้แก่ ลีกคัพ , เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า คัพ

    ตอนที่คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ด้วยการปราบ อาร์เซน่อล นั้น โอเว่น ยอมรับว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตการค้าแข้งของเขา เพราะมันทำให้เขาได้รับอะไรมากมาย "ผมมักจะย้อนกลับไปดูเกมนั้นมากกว่าเกมอื่นๆ ด้วยซ้ำ"

    "ผมคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ที่มีความสุขที่สุดที่ผมเคยได้รับจากการเล่นฟุตบอล" โอเว่น กล่าว นอกจากนี้เจ้าตัวยังแสดงความเห็นเกี่ยวกับการได้ "ลูกบอลทองคำ" มาเชยชมว่า "ผมภาคภูมิใจกับชัยชนะเสมอ…มันเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่จริงๆ"
 
 

 

 

แชมป์พรีเมียร์ลีกบาดใจ"เดอะ ค็อป"

 

    หลังจากใช้ชีวิตอยู่บนม้านั่งสำรองใน เรอัล มาดริด ตามด้วยการย้ายไปเล่นให้ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด แต่เรื่องที่ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูล ช็อกที่สุดก็คือ โอเว่น เลือกที่จะเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่อริตลอดกาลของ "หงส์แดง"

    การเล่นให้ "ปีศาจแดง" แม้จะทำลายความรู้สึกของแฟนบอล "เดอะ เร้ดส์" ก็ตาม แต่มันนำไปสู่ความสำเร็จที่นักฟุตบอลปรารถนานั่นก็คือการได้เหรียญแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2010/11 ซึ่งเป็นสิ่งที่เขารอคอยมานาน

    ที่สำคัญ โอเว่น เป็นนักเตะที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ชื่นชอบมานานแล้ว โดยเรื่องนี้ "ป๋า" ได้เขียนเอาไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติว่า  "ตอนที่ผมได้ยินว่า นิวคาสเซิ่ล พร้อมที่จะปล่อยเขาออกจากทีมน่ะ ผมก็รีบดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อให้เขามาที่บ้านของผม และคุยเกี่ยวกับการให้เขามาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทันที"

    "ผมรู้ดีว่านี่อาจจะฟังดูเหมือนการคุยโวของ ยูไนเต็ด สักหน่อย แต่ผมกับสตาฟฟ์เชื่อว่าเขาจะทำได้ดีขึ้น (เมื่อเทียบกับตอนเล่นให้ นิวคาสเซิ่ล) ในฐานะนักเตะเมื่อเขามาอยู่กับ ยูไนเต็ด และเขาก็มีอิทธิพลอย่างมากกับกองหน้าที่อายุน้อยอย่างเช่น เวย์น รูนี่ย์ และ แดนนี่ เวลเบ็ค ด้วย"

    "การกะจังหวะในการวิ่งทะลวงแนวรับของเขา และความเยือกเย็นในการจบสกอร์ของเขามันก็ทำให้ผมนึกถึง จิมมี่ กรีฟส์ ที่จบสกอร์ด้วยข้างเท้าได้อย่างเฉียบขาดสุดๆ ผมสบถคำหยาบเยอะมากจนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำอย่างนั้นไปกี่ครั้งในตอนที่ ลิเวอร์พูล ได้ตัวเขาไป!" พวกเขาโชคดีจริงๆ ที่ได้เขาไปร่วมทีม" เฟอร์กูสัน ระบุ
 
 

 

 

ตัวหลักทีมชาติอังกฤษ

    โอเว่นมีโอกาสได้เป็นตัวแทนทีมชาติอังกฤษ ลงเล่นในทัวร์นาเมนต์สำคัญระดับชาติถึง 5 รายการได้แก่ ฟุตบอลโลก 1998, 2002 และ 2006 กับฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ "ยูโร"  2000 และ 2004

    เกล็น ฮอดเดิ้ล อดีตผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ กล่าวยกย่องความสามารถของ โอเว่น ว่าน่าเหลือเชื่อสุดๆ และไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะประสบความสำเร็จทั้งในระดับสโมสร และทีมชาติอังกฤษ "เขาเป็นเพชรฆาตหน้าทารกของจริง เขขาจบสกอร์ได้อย่างน่าเหลือเชื่อทั้งๆ ที่อายุยังน้อยอยู่เลย เขามีความเยือกเย็นเวลาที่อยู่ในกรอบเขตโทษ นักเตะบางคนอาจจะรู้สึกประหม่า แต่เขานิ่งมากๆ"
 
 

 

 

ฟื้นจากอาการบาดเจ็บ และ 1 ประตูแห่งความทรงจำกับสโต๊ค

 

 

    หัวหอกร่างเล็ก ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่หัวเข่าในปี 2006 แต่เขาสามารถฟื้นร่างกาย และกลับมาติดทีมชาติอังกฤษได้สำเร็จ  โดยตอนนั้น โอเว่น ซัด 2 ประตูในเกมพบ เอสโตเนีย ศึกยูโร 2008 รอบคัดเลือก เมื่อเดือนมิถุนายน 2007

    นอกจากนี้เขายังยิงประตูในเกมพบ อิสราเอล ที่สนามนิว เวมบลีย์ ในเดือนกันยายน 2007 และกลายเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงประตูให้ทีมชาติได้ทั้งสนามเวมบลีย์เดิม และใหม่ ซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติที่เจ้าตัวไม่เคยลืม

    ขณะเดียวกันช่วง 1 ปีที่เล่นให้ สโต๊ค ซิตี้อาจจะไม่ได้มีความทรงจำดีๆ มากนัก แต่การค้าแขังกับทัพ "ช่างปั้นหม้อ" มีความทรงจำที่ โอเว่น ลืมไม่ลงเพราะเขาทำได้ 1 ประตูในเกมลีก และส่งให้เจ้าตัวติดทำเนียบนักเตะที่ตะบันตาข่ายในพรีเมียร์ลีกรวม 150 ประตู  ก่อนที่จะแขวนสตั๊ดเมื่อจบซีซั่น  2012/13
 
    แม้ว่าอาชีพพ่อค้าแข้งของ โอเว่น ต้องจบลงไปพร้อมกับอาการบาดเจ็บเรื้อรังก็ตาม แต่แน่นอนไม่มีใครปฏิเสธว่าเขาเป็นกองหน้าชาวอังกฤษที่เก่งที่สุดในยุคของเขาอย่างแท้จริง

อยู่แมนยูก็ไม่ช่วยอะไร!แกสคอยน์หยันป๋าคุมดียังไงปล่อยลูกทีมทำเรื่องแย่

ดิ แอธเลติก สื่อกีฬารายหนึ่ง ระบุ เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พอล แกสคอยน์ เย้ยหยัน เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานกุนซือ แมนฯ ยูไนเต็ด ว่าไม่ได้ทำให้ลูกทีมมีวินัยที่ดีจนถึงขนาดจะช่วยทำให้ตนมีอาชีพการเล่นที่ดีขึ้นได้เลย พร้อมบอกว่าครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตนเคยตัดสินใจซบ สเปอร์ส มากกว่า "ปีศาจแดง"

    พอล แกสคอยน์ อดีตยอดกองกลางชาวอังกฤษ เคยพูดเหน็บแนม เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรดังของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ว่าที่จริงแล้วก็ไม่ได้ควบคุมให้นักเตะมีวินัยที่ดีได้เลย ตามการเปิดเผยของ ดิ แอธเลติก สื่อกีฬาชื่อก้อง

    ในช่วงที่เขารุ่งๆ นั้น แกสคอยน์ ถือเป็นนักเตะชั้นยอดคนหนึ่ง โดยเขาเริ่มต้นอาชีพการค้าแข้งกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และตอนนั้นเคยมีข่าวกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วย ก่อนที่จะไปซบ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในปี 1988 แถมเขายังเคยไปเล่นให้ ลาซิโอ และเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลที่นั่นด้วย
   
    อย่างไรก็ตาม แกสคอยน์ ก็ผลงานดร็อปลงอย่างรวดเร็ว โดยสาเหตุเป็นเพราะเขาเป็นโรคติดแอลกอฮอล์จนมักจะออกไปดื่มเหล้าอยู่บ่อยๆ ซึ่ง เฟอร์กูสัน และหลายคนมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แกสคอยน์ น่าจะประสบความสำเร็จในวงการลูกหนัง และโชว์ฟอร์มเก่งได้นานกว่านี้ ถ้าหากเขาย้ายจาก นิวคาสเซิ่ล ไปอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะ เฟอร์กูสัน มักจะได้รับคำชมว่าเข้มงวดกับนักเตะจนทำให้ลูกทีมมีวินัยที่ดี

    ทั้งนี้ ดิ แอธเลติก เพิ่งเปิดเผยว่าเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แกสคอยน์ ไปออกงานอีเวนต์งานหนึ่ง และในระหว่างนั้นเขาก็บอกด้วยว่าต่อให้ตัวเองย้ายไปอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด มันก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ต่างออกไปอยู่ดี เพราะลูกทีมบางคนของ เฟอร์กูสัน ก็ทำเรื่องเลวร้ายเอาไว้เหมือนกัน

    ดิ แอธเลติก อ้างว่า แกสคอยน์ เผยในงานดังกล่าวว่า "อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกว่าสถานการณ์มันคงจะต่างออกไปถ้าผมเซ็นสัญญากับ แมนฯ ยูไนเต็ด แหม ผมจะยกตัวอย่างแล้วกันว่า ริโอ เฟอร์ดินานด์ เคยหนีจากการตรวจหาสารกระตุ้น, เอริก คันโตน่า เคยกระโดดถีบคอแฟนบอลงี่เง่าบางคนบนอัฒจันทร์, เวย์น รูนี่ย์ ไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงระดับคุณยาย และ ไรอัน กิ๊กส์ ก็แอบมีความสัมพันธ์กับภรรยาของน้องชายเขาเนี่ยนะ ให้ตายเถอะ"

    อดีตแข้งวัย 52 ปี เสริมว่าสาเหตุที่เลือกย้ายไปอยู่กับ สเปอร์ส มากกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นเพราะคนในครอบครัวอยากให้ตนซบ "ไก่เดือยทอง" มากกว่า "คุณพ่อของผมท่านบอกว่า -แกจะรออะไรอยู่ล่ะฟะ ?- ส่วนพี่สาวของผมก็ติดต่อมา เธอบอกว่า -สวัสดี พอล ถ้าเกิดคุณแม่อยากได้บ้าน แล้วคุณพ่ออยากได้รถเนี่ย ฉันก็อยากได้เตียงอาบแดดไฟฟ้านะ- ดังนั้นผมเลยโทรศัพท์ไปหา เออร์วิ่ง สโคลาร์ (ประธาน สเปอร์ส ในตอนนั้น) แล้วบอกว่า -ฟังนะ คุณคงไม่เชื่อแน่ๆ แต่อย่างสุดท้ายเลย คุณจะช่วยหาเตียงอาบแดดไฟฟ้ามาให้ผมได้ไหม ?- ข้อตกลงมันเสร็จสิ้นลงเพราะเตียงอาบแดดไฟฟ้า แต่แล้วเราก็ใส่หลอดไฟผิดจนทำให้บ้านระเบิด"

ประมาทไม่ได้!เช็กชูอดีตแข้งแมนยูเป็นคู่แข่งหินสุดในชีวิต

ปีเตอร์ เช็ก อดีตยอดนายด่านของ เชลซี ระบุ คู่ต่อสู้ที่หินที่สุดในชีวิตของตนคือ เวย์น รูนี่ย์ โดยบอกว่าสมัยเจอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ตนไม่สามารถเหม่อได้เลย เพราะว่า รูนี่ย์ สามารถโชว์ชอตที่คาดไม่ถึงได้อยู่เสมอ
    ปีเตอร์ เช็ก อดีตยอดผู้รักษาประตูของ เชลซี สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งวงการ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กล่าวว่า เวย์น รูนี่ย์ คือคู่แข่งที่ยากลำบากที่สุดในอาชีพการเล่นของตน

    เช็ก มาอยู่เฝ้าเสาให้ เชลซี ในปี 2004 พร้อมกับประสบความสำเร็จร่วมกับทีมอย่างมาก อย่างเช่นการได้แชมป์ลีก 4 สมัย, แชมป์ เอฟเอ คัพ 4 หน, แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 ครั้ง และแชมป์ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก 1 สมัย เป็นต้น ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับ อาร์เซน่อล ในปี 2015 ซึ่งพอแขวนถุงมือแล้วนั้น เขาก็กลับมาอยู่กับ "สิงโตน้ำเงินคราม" ในฐานะที่ปรึกษาด้านเทคนิคและศักยภาพ

    ในตอนให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ เชลซี นั้น เช็ก โดนถามว่าใครเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบว่า "เวย์น รูนี่ย์ ทุกครั้งที่เราดวลกับ ยูไนเต็ด น่ะ ผมจำเป็นต้องทำให้มั่นใจว่าตัวเองจะไม่เหม่อในทุกครั้งที่เขาได้ครองบอล เพราะเขาเป็นคนที่คาดเดาได้ยากมากๆ และฉลาดสุดๆ"

    "เขาเป็นคนที่สามารถวิ่งไล่บอลได้, สู้ได้, ควบฝีเท้าวิ่งเต็มที่ได้, ยิงได้ฉลาดสุดๆ เขาสามารถทำประตูจากครึ่งสนามได้ด้วยซ้ำ เขาสามารถชิพบอลข้ามหัวคุณได้ถ้าคุณดันขึ้นมาสูงเกินไป การดวลกับเขาเป็นความท้าทายที่ผมรู้สึกสนุกสุดๆ เลยล่ะ"

เลือดผีเข้มข้น!แกรี่ชู3แนวรุกแมนยูซีซั่น07-08โหดสุดตลอดกาลพรีเมียร์ฯ



แกรี่ เนวิลล์ ระบุ แนวรุกที่เก่งที่สุดตลอดกาลของ พรีเมียร์ลีก คือแนวรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดซีซั่น 2007-08 พร้อมบอกว่าผิดหวังที่ในฤดูกาลต่อมา เตเวซ ไม่มุ่งมั่นเหมือนเดิม

    แกรี่ เนวิลล์ ตำนานแบ็กขวาของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าวว่าแนวรุกของ "ปีศาจแดง" ชุดฤดูกาล 2007-08 อันประกอบไปด้วย คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เวย์น รูนี่ย์ และ คาร์ลอส เตเวซ คือชุด 3 แนวรุกที่เก่งที่สุดตลอดกาลในประวัติศาสตร์ของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ

    ซีซั่นดังกล่าว แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ทั้งแชมป์ พรีเมียร์ลีก, คอมมิวนิตี้ ชิลด์ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปครอง ซึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้ฤดูกาลนั้นพวกเขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากก็คือการที่ทั้ง โรนัลโด้, รูนี่ย์ และ เตเวซ ทำผลงานได้สุดยอดจนทำประตูในทุกรายการได้ 42 ลูก, 18 ลูก และ 19 ประตู ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม หลายคนก็มองว่า 3 แนวรุกชุดปัจจุบันของ ลิเวอร์พูล ที่ประกอบได้วย โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เหนือกว่า 3 แนวรุกชุดนั้นของ แมนฯ ยูไนเต็ด

    เนวิลล์ คนพี่ กล่าวตอนจัดรายการกับ สกายสปอร์ตส์ สื่อกีฬาชั้นนำของเมืองผู้ดีว่า "ในปีนั้น (ฤดูกาล 2007-08) เตเวซ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมร่วมกับ รูนี่ย์ และ โรนัลโด้ ผลงานของพวกเขามันสุดยอดจนเหมือนว่าพวกเขามาจากนอกโลกเลย มันไม่ใช่แค่เพราะพวกเขามีคุณภาพที่ดีเท่านั้น แต่พวกเขาทั้ง 3 คนยังมีความเห็นแก่ตัวในทางที่ดี (หมายถึงการเห็นแก่ตัวในการทำประตูจนทำให้ยิงได้เยอะ) และยังมีความมุ่งมั่นที่ยอดเยี่ยมด้วย"

    "โรนัลโด้ เล่นในแนวทางที่ต่างออกไป เขาจะไม่ไปไล่เตะและทะเลาะกับคนอื่นๆ, ไม่ไปไล่ชนกับคนอื่นๆ เขาโชว์การเล่นทื่ยอดเยี่ยมมากๆ ออกมาได้ แต่ รูนี่ย์ กับ เตเวซ เป็นพวกประเภทนักสู้ข้างถนน แต่ก็ยังมีความสามารถที่ดีด้วย 3 แนวรุกชุดนั้นมันมีบางอย่างที่พิเศษ"

    "พวกเขาเป็น 3 แนวรุกที่ดีที่สุดตลอดกาลใน พรีเมียร์ลีก ด้วยซ้ำ สำหรับผมแล้วมันไม่มี 3 แนวรุกชุดไหนที่สามารถเอาชนะ 3 คนนั้นได้ คุณจะยกตัวอย่างชุดของ มาเน่, ซาลาห์ และ ฟีร์มีโน่ ขึ้นมาก็ได้ ซึ่งที่จริงผมชอบพวกเขามากๆ หรือจะยกตัวอย่างชุดของ (ราฮีม) สเตอร์ลิง, (เซร์คิโอ) อเกวโร่ และ (ลีรอย) ซาเน่ ของ ซิตี้ ขึ้นมาก็ได้ แต่พอคุณมองถึงชุดของ เตเวซ, รูนี่ย์ และ โรนัลโด้ ในช่วงพีคของพวกเขาแล้วน่ะ คุณก็จะสัมผัสได้ทันทีว่าพวกเขาเก่งสุดๆ จนเหมือนมาจากนอกโลกเลย"

    อย่างไรก็ตาม อดีตฟูลแบ็กคนดังก็ตำหนิ เตเวซ เช่นกันว่าขยันและเล่นแบบจริงจังน้อยลงในซีซั่น 2008-09 จนทำให้ผลงานดร็อปลง โดยในฤดูกาล 2008-09 เตเวซ ทำประตูในทุกรายการได้ 15 ลูก "สิ่งที่ทำให้ผมหงุดหงิดเกี่ยวกับ เตเวซ คือการที่เขาดร็อปลงอย่างมากในฤดูกาลที่ 2 กับทีม เขาเริ่มเจ็บแบบออดๆ แอดๆ, มาซ้อมสาย, เริ่มสร้างความวุ่นวายไปทั่ว ตอนนั้นเขายังอยู่กับสโมสร และผมก็ทนเรื่องแบบนั้นไม่ไหว"

    "ผมเป็นคนที่จริงจังกับ แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างมาก ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องอื่นเลย ในหัวของผมมีแค่เรื่องเกี่ยวกับ ยูไนเต็ด ในทุกวัน และผมก็หงุดหงิดกับการที่มีคนเดินเข้ามาในห้องแต่งตัว แต่ไม่ได้เล่นด้วยสภาพที่ดีที่สุด ผมเข้าใจสถานการณ์ของเขาในตอนนั้นดี แต่ตอนนั้นทีมงานเอเยนต์ของเขาพูดบางอย่างใส่หูเขาอยู่ตลอด เขาโดนคนของเขาชักจูง และเรื่องแบบนั้นมันก็จะทำให้เกิดตอนจบแบบนั้น (เตเวซ ไม่อยู่กับทีมต่อ) อยู่เสมอ ในฐานะนักเตะอาชีพแล้วผมผิดหวังกับเรื่องนั้น เขาปฏิบัติตัวได้ไม่เหมาะสม"