คนเหนือเซียน!หนุ่มอังกฤษทายบอลแม่นเหลือเชื่อ

เกาจิ้งยังต้องหลบให้! เผยโฉมหน้าหนุ่มใหญ่ชาวเมืองผู้ดี ที่ทำนายผลบอลได้อย่างแม่นยำทั้งสกอร์และคนทำประตู ทำให้เพิ่งฟันเงินกว่า 850,000 บาท หลัง 2 ปีก่อนก็เคยทุบเดิมพัน 700 ต่อมาแล้ว
     เวย์น โจนส์ หนุ่มใหญ่ชาวอังกฤษ ที่เป็นแฟนบอลตัวยงของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังเป็นที่กล่าวขานในแดนผู้ดี หลังวางเดิมพันกับ เบตเฟรด บริษัทรับพนันที่ถูกกฎหมายแล้วผลออกมาอย่างแม่นยำ ตามรายงานจาก เดลี่ สตาร์ เมื่อวันพุธที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา

    โจนส์ วัย 61 ปี เพิ่งได้เงิน 21,420 ปอนด์ (ประมาณ 856,800 บาท) หลังจากวางเดิมพันไป 20 ปอนด์ (ประมาณ 800 บาท) ในเกม พรีเมียร์ลีก ที่ ลิเวอร์พูล พบกับ อาร์เซน่อล เมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา

    หนุ่มใหญ่ผู้ดี แทงว่า อเล็กซ็องดร์ ลากาแซตต์ กองหน้า อาร์เซน่อล จะทำประตูแรกของเกม และ ลิเวอร์พูล จะชนะด้วยสกอร์ 3-1 โดยมีอัตราต่อรองอยู่ที่ 125/1 (แทง 1 จ่าย 125 ไม่รวมทุน)

    นอกจากนั้น โจนส์ ยังวางเดิมพันด้วยว่า แจ็ค กรีลิช กองกลาง แอสตัน วิลล่า จะเป็นคนทำประตูแรกในเกมพบ ฟูแล่ม ในราคา 15/2  (แทง 2 จ่าย 15 ไม่รวมทุน) อีกด้วย ก่อนที่ผลจะออกมาอย่างแม่นยำทั้งสองคู่

    ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2018 โจนส์ เคยได้เงินชนะเดิมพัน 7,000 ปอนด์  (ประมาณ 280,000 บาท) มาแล้ว หลังแทงไป 10 ปอนด์ (ประมาณ 400 บาท) ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะบุกไปชนะ แมนฯ ซิตี้ 3-2 และ คริส สมอลลิ่ง เป็นคนทำประตูชัย ซึ่งมีอัตราต่อรอง 700/1 (แทง 1 จ่าย 700 ไม่รวมทุน)

    โจนส์ เผยถึงการเลือกแทงเกม ลิเวอร์พูล ชนะ อาร์เซน่อล ว่า "แม้ผมจะเป็นแฟนบอลตัวยงของ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ผมมองว่า ลิเวอร์พูล จะกลับมาเอาชนะได้แน่แม้โดนนำตั้งแต่ต้นเกมก็ตาม คุณต้องยอมรับว่า ลิเวอร์พูล คือแชมเปี้ยน และตอนนี้ก็เหนือกว่า ยูไนเต็ด ไปไกลแล้ว"

ไม่ถูกใจเด็กผี!เปิดคำพูดแม็กไกวร์เถียงแรชฟอร์ด

เปิดคำพูด แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เถียงกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด หลัง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล โดนใบแดงในเกมพ่าย สเปอร์ส เละเทะคาบ้าน เล่นเอาแฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด หลายรายอยากให้เปลี่ยนกัปตันทันที
   
แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บางส่วน ไม่พอใจ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ปราการหลังทีมชาติอังกฤษ และอยากให้ถอดจากตำแหน่งกัปตัน หลังได้ฟังคำพูดที่เถียงกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ในเกมแพ้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 1-6 คารัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา

    ในนัดดังกล่าว อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล กองหน้าเจ้าถิ่นโดนใบแดงไล่ออกจากสนามหลังไปตบหน้า เอริค ลาเมล่า ดาวเตะ สเปอร์ส ภายหลังไม่พอใจที่อีกฝ่ายใช้ศอกดันใส่บริเวณคอก่อน และล่าสุดได้มีการเปิดเผยเสียงที่บันทึกจากไมโครโฟนในสนามระหว่าง แม็กไกวร์ กับ แรชฟอร์ด ที่เถียงกันหลังเห็นเพื่อนร่วมทีมโดนไล่ออก

    หลังจาก แอนโธนี่ เทย์เลอร์ กรรมการในเกมดังกล่าวให้แค่ใบเหลืองกับ ลาเมล่า นั้น แรชฟอร์ด ก็ระเบิดอารมณ์พูดออกมาว่า "ทำไม มันก็เหมือนกันนี่ (ทำฟาวล์)"

    จากนั้น แม็กไกวร์ ก็ตอบกลับทันทีว่า "มันไม่ได้รุนแรง พวกเขาตรวจสอบแล้ว"

    ขณะที่ แรชฟอร์ด ไม่เห็นด้วยกับกัปตัน และบอกว่า "เขา (ลาเมล่า) ศอกใส่เขา (มาร์กซิยาล) นะ!"

    ก่อนที่ แม็กไกวร์ จะสวนกลับว่า "พวกเขาเช็กมันแล้วและบอกว่าไม่" แต่ แรชฟอร์ด ก็เถียงส่งท้ายว่า "เป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปได้อย่างไรวะ!"

    ด้านแฟนบอล "ปีศาจแดง" หลายรายที่ได้ฟังคำพูดโต้เถียงกันระหว่างนักเตะต่างมองว่า แม็กไกว์ ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความดุดันในการทำหน้าที่กัปตันทีมเหมือนอย่างสตาร์ในอดีตทั้ง รอย คีน, เนมานย่า วิดิช หรือ เวย์น รูนี่ย์ ซึ่งจะปกป้องเพื่อนร่วมทีม และทวงความยุติธรรมให้ทีมเสมอ

    แฟนบอลรายหนึ่งทวีตข้อความว่า "เขาควรจะโดนรับปลอกแขนกัปตันทีมทันที แต่โชคร้ายที่ไม่เกิดขึ้น นี่คือกัปตันทีมที่แย่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร"

    ขณะที่แฟนบอลอีกรายเสริมว่า "ปลดเขาจากตำแหน่งกัปตันเดี๋ยวนี้เลย"

บิ๊กแมตช์รออยู่! หงส์ส่อเจอปืน,ไก่อาจฟัดสิงห์-ผีไม่หนักจับติ้วคาราบาว คัพ รอบ 4

   ลิเวอร์พูล มีโอกาสได้เจอกับงานสุดหินในรอบ 4 การแข่งขันคาราบาว คัพ หากพวกเขาผ่านด่าน ลินคอล์น ซิตี้ เพราะมีโอกาสจะต้องปะทะกับ อาร์เซน่อล หรือเลสเตอร์ ซิตี้่ ขณะเดียวกับ สเปอร์ส ก็มีสิทธิ์เจอ เชลซี ในรอบต่อไปเช่นกัน
ลิเวอร์พูล มีลุ้นได้ทำบิ๊กแมตช์กับ "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล หรือ "สุนัขจิ้งจอก" เลสเตอร์ ซิตี้ ในรอบ 4 หรือรอบ 16 ทีมสุดท้าย ศึกคาราบาว คัพ ประจำฤดูกาล 2020/2021 หากทัพ "หงส์แดง" สามารถผ่าน ลินคอล์น ซิตี้ คู่แข่งในระดับ ลีก วัน ในรอบ 3

    ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จะมีคิวดวลกับ ลูตัน ทาวน์ คู่แข่งในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ รอบ 3 หากสามารถผ่านด่านนี้ไปได้ ลูกทีมของกุนซือโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังคงเจองานเบาเพราะอาจจะพบกับ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน หรือ เปรสตัน ในรอบต่อไป

     ส่วนอีกคู่ก็น่าสนใจเช่นกันเพราะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มีสิทธิ์ได้ทำศึกลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ ถ้า "ไก่เดือยทอง" ผ่าน เลย์ตัน โอเรียนท์ พวกเขาอาจจะต้องปะทะกับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ในกรณีที่ทีมของแฟร้งค์ แลมพาร์ด สามารถเอาชนะ บาร์นสลี่ย์ ได้สำเร็จ

ผลการจับสลากประกบคู่ รอบ 4 คาราบาว คัพ

ลินคอล์น ซิตี้ (ลีก วัน) / ลิเวอร์พูล (พรีเมียร์ลีก) พบ เลสเตอร์ ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก) / อาร์เซน่อล (พรีเมียร์ลีก)

มิลวอลล์ (แชมเปี้ยนชิพ) / เบิร์นลี่ย์ (พรีเมียร์ลีก) พบ แมนฯ ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก) / บอร์นมัธ (แชมเปี้ยนชิพ)

เวสต์บรอมฯ (พรีเมียร์ลีก) / เบรนท์ฟอร์ด (แชมเปี้ยนชิพ) พบ ฟูแล่ม (พรีเมียร์ลีก) / เชฟฟิลด์ เวย์นเดย์ (แชมเปี้ยนชิพ)

ฟลีตวูด ทาวน์ (ลีก วัน) / เอฟเวอร์ตัน (พรีเมียร์ลีก) พบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (พรีเมียร์ลีก) / ฮัลล์ ซิตี้ (ลีก วัน)

บริสตอล ซิตี้ (แชมเปี้ยนชิพ) / แอสตัน วิลล่า (พรีเมียร์ลีก) พบ สโต๊ค ซิตี้ (แชมเปี้ยนชิพ) / จิลลิ่งแฮม (ลีก วัน)

เลย์ตัน โอเรียนท์ (ลีก ทู) / สเปอร์ส (พรีเมียร์ลีก) พบ เชลซี (พรีเมียร์ลีก) / บาร์นสลี่ย์ (แชมเปี้ยนชิพ)

นิวพอร์ท เคาน์ตี้ (ลีก ทู) / วัตฟอร์ด (แชมเปี้ยนชิพ) พบ มอร์แคมป์ (ลีก ทู) / นิวคาสเซิ่ล (พรีเมียร์ลีก)

เปรสตัน (แชมเปี้ยนชิพ) / ไบรท์ตัน (พรีเมียร์ลีก) พบ ลูตัน ทาวน์ (แชมเปี้ยนชิพ) / แมนฯ ยูไนเต็ด (พรีเมียร์ลีก)

    สำหรับ คาราบาว คัพ รอบ 4 หรือรอบ 16 ทีมสุดท้าย จะมีการแข่งขันในช่วงสัปดาห์ของวันที่ 28 กันยายน นี้

กิ๊กส์ยิ้ม! ดาวรุ่งหงส์ฮีโร่กดชัยน.94 นำเวลส์สยบบัลแกเรียเนชั่นส์ลีก

เนโก วิลเลี่ยมส์ ดาวรุ่งจาก ลิเวอร์พูล สวมบทฮีโร่ให้ทัพ "มังกรแดง" เวลส์ เมื่อตะบันประตูชัยในน.94 นำทัพคว้าชัยเหนือ บัลแกเรีย สุดดราม่า 1-0 ในศึก ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ที่สนาม คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ไรอัน กิ๊กส์ กุนซือทีมชาติเวลส์ จัดสตาร์ดังอย่าง แกเร็ธ เบล นำทัพมังกรแดง ร่วมกับ แดเนี่ยล เจมส์ ของ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยเกมเป็นไปอย่างสนุกสูสี ขณะที่ทีมเยือน ส่ง ซิซินโญ่ แข้งที่เกิดในบราซิลประเดิมสนาม ซึ่งเล่นกันแบบไร้คนดูตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

โอกาสที่หวาดเสียวที่สุดในครึ่งแรกเป็นของเวลส์ในน.44 เมื่อ คีฟเฟอร์ มัวร์ เปิดบอลให้ เดวิด บรู๊คส์ ซึ่งกลับมารับใช้ชาติครั้งแรกตั้งแต่ศึกคัด ยูโร 2020 เมื่อเดือนมิ.ย.ปีที่แล้วหลังไปผ่าตัดข้อเท้า จัดการวอลเล่ย์หลุดกรอบไปนิดเดียว

ครึ่งหลัง น.65 กิ๊กส์ แก้เกมด้วยการส่ง เนโก วิลเลี่ยมส์ ดาวรุ่งจากลิเวอร์พูลลงสนามแทน คอนเนอร์ โรเบิร์ตส์ ถัดมาสองนาที แดน เจมส์ จากปีศาจแดงได้ส่องเน้นๆ หลังประสานงานได้สวยกับ บรู๊คส์ ทว่าติดเซฟ

น.74 คู่หู เจมส์ กับ บรู๊คส์ ต่อบอลกันได้สวยอีกครั้ง ก่อน บรู๊คส์ จะหวดแฉลบคานอย่างน่าเสียดาย แต่ เวลส์ ยังไม่ละความพยายาม น.90+1 เบล ซัดฟรีคิก 25 หลาเฉี่ยวเป้าหมายไปนิดเดียว

กระทั่ง น.94 ทัพมังกรแดงก็คำรามสมใจ เมื่อ จอนนี่ วิลเลี่ยมส์ โยนอย่างแม่นยำให้เจ้าหนู เนโก วิลเลี่ยมส์ เทกตัวโจกตรงเสาสองตุงตาข่ายเป็นประตูชัยให้ เวลส์ ชนะไปหวุดหวิด 1-0 คว้าชัยเป็นนัดที่สองติดต่อกันหลังเพิ่งทุบฟินแลนด์ รั้งจ่าฝูงกลุ่ม 4 ลีกบี

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

เวลส์: เวย์น เฮนเนสซี่ย์, คอนเนอร์ โรเบิร์ตส์ (เนโก วิลเลี่ยมส์ น.65), ทอม ล็อคเยอร์, อีธาน อัมปาดู, เบน เดวิส, แม็ตต์ สมิธ, โจ มอร์เรลล์, แกเร็ธ เบล, เดวิด บรู๊คส์ (จอน วิลเลี่ยมส์ น.76), แดเนี่ยล เจมส์, คีฟเฟอร์ มัวร์ (ฮาล ร็อบสัน-คานู น.76)

บัลแกเรีย: จอร์จี้ จอร์จิเยฟ, ซิซินโญ่, คริสเตียน ดิมิทรอฟ, แอนตัน เนดยาลคอฟ, อิวาน โกรานอฟ, จอร์จี้ คอสตาดินอฟ, ยานิส คาราเบลยอฟ, บีร์เซนต์ คารากาเร็น, โทดอร์ เนเดเลฟ (ฟิลิป ยาโวรอฟ คราสเตฟ น.82), กาลิน อิวานอฟ (สปาส เดเลฟ น.70), โบซิดาร์ คราเยฟ (ดิมิทาร์ อิลิเยฟ น.61)

รูนี่ย์ฟันธงแชมป์พรีเมียร์ฯหากแมนซิตี้ได้เมสซี่-ลิเวอร์พูลคว้าติอาโก้

เวย์น รูนี่ย์ ฟันธง แชมป์ พรีเมียร์ลีก ซีซั่นหน้าจะตกเป็นของทีมไหนระหว่าง แมนฯ ซิตี้, แมนฯ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล และ เชลซี พร้อมพูดถึง ลิโอเนล เมสซี่ ที่กำลังมีโอกาสมาค้าแข้งแดนผู้ดี

    เวย์น รูนี่ย์ กองหน้าคนดังของ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ เชื่อว่า ลิเวอร์พูล มีโอกาสคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020/21 มากสุดหากดึง ติอาโก้ อัลกันตาร่า กองกลางสแปนิช มาจาก บาเยิร์น มิวนิค ได้สำเร็จ โดยมองว่าจะเป็นการเซ็นสัญญาที่ดียิ่งกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปดึง ลิโอเนล เมสซี่ กองหน้า บาร์เซโลน่า มาเข้าถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม เสียอีก

        อดีตดาวยิง แมนฯ ยูไนเต็ด แสดงความเห็นผ่าน ทอล์คสปอร์ต เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม ที่ผ่านมา หลังโดนถามทีมไหนจะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ว่า "ผมคิดว่า คงเป็น แมนฯ ซิตี้ ไม่ก็ ลิเวอร์พูล แม้ เชลซี กำลังเซ็นสัญญากับนักเตะดีๆ หลายราย และ แมนฯ ยูไนเต็ด มีนักเตะศักยภาพสูงหลายรายก็ตาม"

        "ผมคิดว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ยังตามหลังพวกเขา ส่วน เชลซี กับนักเตะใหม่คงจะต้องใช้เวลาอีกปีเพื่อทำให้ทุกคนเข้าขากัน ดังนั้นผมจึงคิดว่า จะเป็นการแย่งแชมป์ระหว่า แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล และหาก ลิเวอร์พูล ได้ ติอาโก้ มาจาก บาเยิร์น มิวนิค ผมก็เชื่อว่า พวกเขาจะได้แชมป์ มันจะเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีกว่า เมสซี่ มา แมนฯ ซิตี้ เสียอีก" รูนี่ย์ กล่าว

        พร้อมกันนี้ รูนี่ย์ ยังพูดถึง เมสซี่ ว่า "ผมรู้ว่าเขาเริ่มอายุมากแล้ว แต่เขาเป็นนักเตะที่มีทุกอย่าง เขาสามารถสร้างสรรค์โอกาส, ทำประตู, กำหนดเกม และเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมสุดตลอดกาล เขาเป็นหนึ่งในนักเตะไม่กี่คนที่ผมต้องนั่งชมการเล่น เขาและ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สร้างมาตรฐานที่ผมไม่คิดว่า เราจะได้เห็นกันอีกแล้ว แต่สำหรับผม เมสซี่ มีระดับที่แตกต่างอยู่บ้าง"

ชะตาแชมเปี้ยนส์ ลีก อยู่ในมือ ! ผ่า 5 ประเด็น แมนยู เปิดรังเสมอ เวสต์แฮม

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีโอกาสที่จะติดท็อปโฟร์ หลังจากที่พวกเขาเก็บ 1 คะแนนในแมตช์เสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 1-1 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันพุธที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่สำคัญยังเป็นการสร้างสถิติไร้พ่ายในลีก 13 เกมติดต่อกันของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา
    บรรดาสาวก "เร้ด อาร์มี่" มีอาการหวาดหวั่นหัวใจหลังโดน มิคาอิล อันโตนิโอ ซัดจุดโทษในช่วงทดเจ็บครึ่งแรก แต่ต้นครึ่งหลัง เมสัน กรีนวู้ด ซัดตีเสมอให้ทีม หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายมีโอกาสที่จะบวกสกอร์เพิ่ม แต่สุดท้ายทำอะไรกันไม่ได้จบเกมแบ่งคะแนนกันไป

    สำหรับ 1 แต้มในแมตช์นี้ถือว่ามีค่ามากๆ เพราะทำให้ "ปีศาจแดง" ขยับขึ้นไปอยู่ในอันดับ 3 และในเกมสุดท้ายที่เยือน เลสเตอร์ ซิตี้ ถือว่ามีความสำคัญมากๆ เพราะพวกเขากุมชะตาชีวิตเอาไว้ในมือ และหากทุกอย่างไม่มีอะไรผิดพลาด คอลูกหนังอาจจะได้เห็น แมนฯ ยูไนเต็ด กลับไปผงาดในเกมถ้วยใบโตยุโรปอีกครั้ง

 

1. เจ้าหนูกรีนวู้ดกับสถิติสุดเหลือเชื่อ

    ใครจะไปเชื่อว่า เมสัน กรีนวู้ด เพิ่งจะอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น เพราะผลงานของนักเตะในเวลานี้ต้องบอกเลยว่าโดดเด่นสุดๆ และก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทัพ "ปีศาจแดง" ในเวลานี้ ที่สำคัญฟอร์มของเขายังคงร้อนแรงจนเป็นหัวหอกตัวความหวังของทีม

    สำหรับประตูที่ซัดเต็มข้อช่วยตีเสมอให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในช่วงต้นครึ่งหลัง ส่งผลให้ตอนนี้ กรีนวู้ด ตะบันไปแล้ว 17 ประตูจากการแข่งขันทุกรายการ นอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุด (18 ปี กับ 295 วัน) นับตั้งแต่ ไรอัน กิ๊กส์ ตำนานปีก "พ่อมด" ที่ลงสนามครบ 50 เกมในนามทัพ "เร้ด เดวิลส์" เมื่อปี 1992

    นอกจากนี้ กรีนวู้ด ยังเป็นนักเตะดาวรุ่งคนแรก  ที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีก ครบ 10 ลูกในฤดูกาลนี้ นับตั้งแต่ที่ โรเมลู ลูกากู เคยทำได้ในฤดูกาล 2012/2013 (14 ประตู) และยังเป็นผู้เล่นชาวอังกฤษที่ทำได้นับตั้งแต่ที่ เวย์น รูนี่ย์ เคยทำในซีซั่น 2004/2005 (11 ประตู)

    ทั้งนี้ยังไม่มีนักเตะดาวรุ่ง (อายุไม่ถึง 20 ปี)  ของ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยิงประตูได้ 17 ประตูจากทุกรายการในฤดูกาลเดียว โดยก่อนหน้านี้มีเพียงแค่ จอร์จ เบสต์ ฤดูกาล 1965/1966, ไบรอัน คิดด์ ฤดูกาล 1967/1968 และ รูนี่ย์ ในฤดูกาล 2004/2005 เท่านั้นที่ทำได้เท่ากัน
   
2. บรูโน่ ก็มนุษย์ไม่ได้แกร่งตลอดเวลา

    บรูโน่ แฟร์นันด์ส ทำผลงานได้อย่างสุดยอดนับตั้งแต่ที่ย้ายจาก สปอร์ติ้ง ลิสบอล มาเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา และกลายเป็นผู้เล่นสำคัญที่ช่วยพลิกฟอร์มของ "ผีแดง" จากที่ย่ำแย่ไม่มีลุ้นอะไรเลย แต่ตอนนี้มีลุ้นท็อปโฟร์ และยูฟ่า ยูโรปา ลีก
 
    อย่างไรก็ตามในเกมรับมือ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ต้องบอกว่า แฟร์นันด์ส งัดฟอร์มเก่งออกมาไม่ได้เลย ที่สำคัญเจ้าตัวยังทำหมูหกอย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งๆ ที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด เปิดบอลงามหยดย้อยให้กับเขาในกรอบเขตโทษ แต่ สตาร์ชาวโปรตุกีส ดันจับบอลทะลักออกหลังไปซะงั้น

    หากเกมไหนที่ แฟร์นันด์ส เล่นไม่ออกแน่นอนว่าการเชื่อมเกมของ แมนฯ ยูไนเต็ด ค่อนข้างจะไม่ไหลลื่น ขณะเดียวกับการประสานงานกับ ปอล ป็อกบา และ เนมานย่า มาติช ก็ไม่ค่อยลงตัวในแมตช์นี้ ยิ่งส่งผลให้เกมรุกของทีมค่อนข้างจะไม่มีความหลากหลาย

    ฉะนั้นนี่คือการบ้านข้อใหญ่สำหรับ โซลชา หากเกมไหนที่ แฟร์นันด์ส เล่นไม่ออก ทีมต้องมีแผนสำรอง ไม่งั้นอาจจะไม่ดวงดีในกรณีที่ต้องพบกับทีมใหญ่
   
3. โซลชา สร้างสถิติให้กับตัวเอง

    โซลชา ค่อยๆ ทำผลงานดีมีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้เหล่าสาวก "เร้ด อาร์มี่" ต่างเชื่อมั่นแล้วว่านี่คือทายาทของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อย่างแท้จริง หลังจากที่นำทัพ "ปีศาจแดง" โกยคะแนนเป็นว่าเล่นทำให้ทีมมีโอกาสซิวโควตา แชมเปี้ยนส์ ลีก

    แมตช์ที่นำ "ปีศาจแดง" เสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 1-1 ทำให้ตอนนี้ ยอดทีมแห่งถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นในพรีเมียร์ลีก 13 แมตช์ติดต่อกัน ซึ่งกลายเป็นสถิติใหม่ของ นายใหญ่ชาวนอร์เวย์ นับตั้งแต่ที่ได้เข้ามากุมบังเหียนสโมสรอันเป็นที่รัก

    ก่อนหน้านี้ โซลชา เคยนำ "เร้ด เดวิลส์" ไม่แพ้ในลีกจำนวน 12 เกม (ชนะ 8 เสมอ 4) ตอนที่คุมทัพครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม 2018 แต่จากนั้นผลงานก็ไม่ค่อยโสภาสถาพร ล้มลุกคลุกคลานอยู่พักใหญ่ๆ จนกระทั่งทุกอย่างค่อยๆ ลงตัว และเล่นได้สุดยอดในปัจจุบัน

    ทั้งนี้มีเพียง โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือจอมแท็คติกเท่านั้นที่คุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไร้พ่ายในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดียาวนานที่สุด 25 แมตช์ นับตั้งแต่ที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยทำเอาไว้ 24 เกม 

4. เด เคอา ยังมีอนาคตกับทีมแน่นอน

    สำหรับเกมนี้หลายคนจับตามองว่า ดาบิด เด เคอา ผู้รักษาประตูชาวสแปนิช จะทำผลงานได้ดีแค่ไหน หลังจากที่ โซลชา ยังคงไว้วางใจให้เขาทำหน้าที่เฝ้าเสาต่อไป แม้จะโดนเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับฟอร์มที่ไม่ค่อยดีนักในช่วงที่ผ่านมา

    ก่อนเกมนี้มีกระแสเรียกร้องให้ "น้าลูกอม" ดร็อปนายด่านเลือดกระทิงดุ ซะที หลังทำพลาดหลายครั้ง โดยฟางเส้นสุดท้ายเกิดขึ้นในแมตช์ที่พวกเขาแพ้ เชลซี ร่วงตกรอบรองชนะเลิศ ศึกเอฟเอ คัพ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และให้โอกาส เซร์คิโอ โรเมโร่ ได้ลงทำหน้าที่บ้าง

    อย่างไรก็ตาม โซลชา ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของ เด เคอา และงานนี้โกลเครางามไม่ทำให้นายใหญ่หน้าทารกต้องผิดหวัง เพราะมีหลายจังหวะที่เขาโชว์ซูเปอร์เซฟในเกมนี้ เพราะหากไม่ได้ความเหนียวหนึบของ เด เคอา ยังไม่แน่ว่าเกมนี้ แมนฯ ยูฯ จะได้ 1 คะแนนหรือเปล่า

    ดังนั้นคงเป็นเรื่องยากที่จะเห็น เด เคอา นั่งอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรอง เพราะฟอร์มของเขายังคงน่าเชื่อถือได้เสมอ แม้อาจจะมีฟอร์มหลุดบ้างในบางเกม อย่างไรก็ตามในแมตช์สุดท้ายเยือน เลสเตอร์ ซิตี้ สาวก "ผีแดง" คงภาวนาให้เจ้าตัวยังรักษาฟอร์มหนึบเอาไว้เหมือนเดิม !!
 
5. โควตาแชมเปี้ยนส์ ลีก อยู่ในกำมือ

    หากย้อนไปเมื่อช่วงต้นปี 2020 คงไม่มีใครจะคิดว่า แมนฯยูไนเต็ด จะมีโอกาสได้ลุ้นติดท็อปโฟร์ เพราะฟอร์มในเวลานั้นพวกเขาไม่มีราศีที่จะได้ตั๋วไปลุยถ้วยใบโตยุโรปเลย แต่ในเวลานี้ทัพ "ปีศาจแดง" ผงาดขึ้นมารั้งอันดับ 3 เรียบร้อยแล้ว

    สำหรับตอนนี้ สโมสรเจ้าของแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี 20 สมัย ผงาดขึ้นมาอยู่ในพื้นที่ท็อปโฟร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลางเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา โดยตอนนี้เหลือเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้นและพวกเขาต้องเยือน เลสเตอร์ ซึ่งในเวลานี้หล่นไปอยู่อันดับ 5 แล้ว เป็นแมตช์ที่สำคัญมากๆ

    ด้วยฟอร์มในเวลานี้ ผสมกับความมั่นใจ ต้องยอมรับว่า แมนฯ ยูฯ ค่อนข้างจะได้เปรียบในทุกๆ ด้าน ที่สำคัญพวกเขาเป็นฝ่ายกุมชะตาชีวิตในการไปกลับคืนสู่แชมเปี้ยนส์ ลีก หากไม่สะดุดขาตัวเอง นี่น่าจะเป็นซีซั่นที่ทำให้บรรดาแฟนผีแดง ยิ้มได้บ้าง

เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดภาค2!บริดจ์ขอหนีเทอร์รี่

ตำนานเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของวงการลูกหนังเมืองผู้ดีระหว่าง จอห์น เทอร์รี่ กับ เวย์น บริดจ์ ยังไม่จบ หลังสื่อเผยมีเรื่องราวเป็นกรณีของทั้งคู่ขึ้นมาอีกครั้ง
    เวย์น บริดจ์ อดีตแบ็กซ้ายทีมชาติอังกฤษ และ เชลซี ตัดสินใจที่จะขายบ้านทิ้ง หลัง จอห์น เทอร์รี่ อดีตกัปตัน "สิงห์บลูส์" ที่เวลานี้ไปทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม แอสตัน วิลล่า ย้ายมาอยู่ใกล้ๆ ตามรายงานจาก เดอะ ซัน สื่อเมืองผู้ดี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา

    ย้อนไปเมื่อราว 10 ปีที่แล้ว เทอร์รี่ ต้องตกเป็นจำเลยสังคม เพราะมีการเปิดเผยว่าในช่วงเวลาที่ บริดจ์ เล่นอยู่กับ เชลซี และเป็นเพื่อนร่วมทีมกันนั้น "เจที" แอบตีท้ายครัวเพื่อนด้วยการไปมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับ วาเนสซ่า เปอร์รองเซล นางแบบคนสวยอดีตภรรยาของ บริดจ์

    บริดจ์ วัย 39 ปี และ แฟร้งกี้ ภรรยาที่เป็นอดีตนักร้อง กำลังประกาศขายบ้านของพวกเขาในแถบเซอร์เรย์ มูลค่า 5.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 220 ล้านบาท) หลัง เทอร์รี่ และ โทนี่ ภรรยา เพิ่งมาซื้อบ้านมูลค่า 4.3 ล้านปอนด์ (ประมาณ 172 ล้านบาท) ที่อยู่ใกล้ๆ กัน

    แหล่งข่าวรายหนึ่งเผยผ่าน เดอะ ซัน ว่า "แน่นอน เวย์น และ จอห์น ไม่ได้เป็นเพื่อนกันแล้ว เวย์น และ แฟรงกี้ ต้องการเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่แบบสดชื่น พวกเขาตัดสินใจย้ายบ้านออกจากเมืองเก่าของพวกเขาเพื่อสร้างความทรงจำใหม่ๆ บางอย่าง"

    ทั้งนี้ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดนั้น อดีตนักเตะดังทั้ง 2 ราย ได้ตัดขาดความสัมพันธ์กันอย่างสิ้นเชิง และไม่มีวันคืนดีกันอย่างแน่นอน โดย บริดจ์ เคยปฎิเสธจับมือกับ เทอร์รี่ ก่อนเกมที่ แมนฯ ซิตี้ พบ เชลซี เมื่อปี 2010

พลาดขึ้นที่ 3 ! เจาะ 5 ประเด็น แมนยู เปิดรังโดนเซาธ์แฮมป์ตันบุกตีเสมอ

   แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พลาดโอกาสทองที่จะขึ้นไปรั้งอันดับ 3 ในตารางลีก หลังโดน เซาธ์แฮมป์ตัน ซัดประตูตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ส่งผลให้ทีมทำได้เพียงเปิดรังโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เสมอ "นักบุญ" 2-2 เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา
    ในแมตช์นี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังคงใช้ 11 ตัวจริงหน้าเดิมๆ ซึ่งเป็นเกมที่ 5 ติดต่อกันในลีก และดูเหมือนว่ามันจะเริ่มส่งผลให้เห็นอย่างชัดเจน เนื่องจากสภาพร่างกายของนักเตะมีอาการอ่อนล้า โดยเฉพาะ เมสัน กรีนวู้ด ที่เล่นไม่ออกเลย ขณะที่ อองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ยังคงประสานงานกันได้ดี แต่ก็ไม่สุดยอดเหมือนหลายๆ แมตช์ก่อนหน้านี้

    ผลเสมอในแมตช์นี้ทำให้ "ผีแดง" ยังคงรั้งอันดับ 5 ต่อไป และในอีก 3 แมตช์ที่เหลืออยู่ทีมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียกฟอร์มเก่งกลับมา เพราะในเกมสุดท้ายพวกเขาต้องบุกเยือน เลสเตอร์ ซิตี้ และอาจจะเป็นแมตช์ตัดสินโควตาไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็เป็นได้

1. ภารกิจคว้าตั๋วแชมเปี้ยนส์ ลีก ยังต้องลุ้นต่อไป 
    "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รอดจากการโทษแบนในเกมฟุตบอลถ้วยยุโรป นั่นหมายความว่า "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจบอันดับท็อปโฟร์ ให้ได้เพื่อโอกาสที่จะกลับไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า

    ทีมของกุนซือโอเล่ กุนนาร์ โซลชา มีโอกาสที่จะขยับอันดับขึ้นไปอยู่ที่ 3 หากพวกเขาสามารถเอาชนะ "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน ได้ และในแมตช์นี้ทัพ "เร้ด เดวิลส์" เกือบจะทำเสร็จเมื่อพวกเขามีสกอร์นำทีมเยือน 2-1 แต่สุดท้ายมาโดนตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้เก็บได้เพียง 1 แต้ม ส่งผลให้อันดับยังคงอยู่ที่ 5 เหมือนเดิม


 

    อย่างไรก็ตามผลการแข่งขันในแมตช์นี้ ยังทำให้สาวก "เร้ด อาร์มี่" รู้สึกยิ้มได้บ้าง แม้จะเป็นการยิ้มแบบเจื่อนๆ ก็ตาม เพราะทีมรักษาสถิติไม่แพ้ใครยาวนานถึง 18 เกมติดต่อกันจากการเล่นทุกรายการ และสะกดคำว่า "แพ้" ไม่เป็นในเกมพรีเมียร์ลีก 11 แมตช์ติดต่อกัน

    แม้ว่าในเกมนี้จะเก็บได้ 1 คะแนนต่อหน้าต่อตา เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่ทีมยังอยู่ในสถานการณ์ที่ดีเพราะมีแต้มเท่ากับ เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมอันดับ 4 เพียงแค่เป็นรองประตูได้เสียเท่านั้น ฉะนั้นมีความเป็นไปได้ที่การลุ้นพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีก อาจจะต้องตัดสินกันในนัดสุดท้าย ซึ่งทั้งสองทีมต้องปะทะกันเองซะด้วย 
   
2. มาร์กซิยาล ทำผลงานได้น่าประทับใจ
    ในช่วงต้นเกม อองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล อาจจะโดนก่นด่าระงมจากการพลาดจังหวะยิงประตูขึ้นนำ ทั้งๆ ที่หลุดเดี่ยวแท้ๆ แต่ดันยิงไปติดมือ อเล็กซ์ แม็คคาร์ธี่  อย่างไรก็ตาม สตาร์ลูกหนังชาวฝรั่งเศส ค่อยๆ ทำผลงานดีขึ้นเรื่อยๆ และจัดการป่วนเกมรับ "เดอะ เซนต์ส" ได้ตลอด

    นอกจากนี้ มาร์กซิยาล ยังมีส่วนสำคัญในการเปิดร่องให้ทีมขึ้นนำ หลังจากที่เป็นคนแอสซิสต์ให้กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ทำประตู จากนั้นเจ้าตัวก็โชว์ทักษะชั้นยอดด้วยการกระชากบอลหลบแนวรับก่อนจะตะบันยิงประตูอย่างสวยงดงดงามให้ "ผีแดง" ทำสกอร์นำ 2-1


 

    สำหรับประตูดังกล่าวทำให้ มาร์กซิยาล ซัดไปแล้ว 50 ตุงให้ต้นสังกัดในการเล่นเกมพรีเมียร์ลีก  และเป็นผู้เล่น แมนฯ ยูไนเต็ด รายที่ 10 ที่ทำประตูในลีกแตะหลัก 50 ลูก ต่อจาก เวย์น รูนี่ย์ (183), ไรอัน กิ๊กส์ (114), พอล สโคลส์ (107), รุด ฟาน นิสเตลรอย (98), แอนดี้ โคล (93), โอเล่ กุนนาร์ โซลชา (91), คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (84), เอริก คันโตน่า (64) และ เดวิด เบ็คแฮม (62)

    ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะ มาร์กซิยาล ยังถือเป็นนักเตะเลือดเฟร้นช์คนที่ 7 ที่ทำประตูในศึก พรีเมียร์ลีก อย่างน้อย 50 ลูก ต่อจาก เธียร์รี่ อองรี (175), นิโกล่าส์ อเนลก้า (125), หลุยส์ ซาฮา (85), โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ (83), เอริก คันโตน่า (70) และ โรแบร์ ปิแรส (62)

3. แรชฟอร์ด เล่นดีแต่ติดแค่ไม่เฉียบคม
    มาร์คัส แรชฟอร์ด ยังคงใช้ความเร็วสร้างความปั่นป่วนให้กับเกมรับของ เซาธ์แฮมป์ตัน ตลอดทั้งเกม แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผลงานของเขามีรอยตำหนิ มาจากการใช้โอกาสเปลือง เพราะหากในแมตช์นี้ "หนูแรช" ใส่ความคมเข้าไปด้วย สกอร์คงไม่ได้จบที่ 2-2 แน่นอน

    หัวหอกเลือดผู้ดีประสานงานกับ มาร์กซิยาล ได้อย่างกลมกล่อมในจังหวะที่ได้ประตูตีเสมอ เมื่อเขาได้บอลแบบถวายพานจาก ดาวเตะชาวฝรั่งเศส และเจ้าตัวก็กดไม่เหลือซาก ซึ่งหากมองจากจังหวะนี้ดูเหมือนว่า แรชฟอร์ด มีความเฉียบคมในการยิงประตูอย่างมาก

 

    หลังจากที่ทีมขึ้นนำ 2-1 พวกเขามีโอกาสที่จะบวกสกอร์เพิ่มหลายครั้ง โดยเฉพาะจังหวะที่ แรชฟอร์ด ได้ยิงจ่อๆ หน้าประตู แต่ดันซัดไปติด  แม็คคาร์ธี่ บอลเหินข้ามคานออกไปหน้าตาเฉย ซึ่งหากจังหวะดังกล่าวเป็นประตู สถานการณ์ของทีมจะเปลี่ยนไปทันที

    อย่างไรก็ตามหากมองจากผลงานโดยรวมแล้ว แรชฟอร์ด ยังถือว่ามีประโยชน์กับทีมอย่างมากในเกมนี้ โดยเฉพาะการประสานงานกับ มาร์กซิยาล ที่สามารถจัดการเกมรับทีมเยือนได้พอสมควร แต่อย่างที่บอกหากเขาเฉียบคมมากกว่านี้ ผลงานของเจ้าตัวจะสมบูรณ์แบบที่สุด

4. รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ส่งผลต่อทีม
    โซลชา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกลับไปทำการบ้านข้อใหญ่ 1 ข้อนั่นก็คือการเล่นให้มีความละเอียดในทุกๆ จังหวะ เพราะแมตช์นี้สิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือการขาดสมาธิและความประมาทในการเล่นทั้งในจังหวะเสียประตูแรก และจังหวะโดนตีเสมอช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

    หากมองจังหวะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เสียประตูแรก ต้องบอกว่าเป็นความผิดพลาดของ ปอล ป็อกบา เต็มๆ ซึ่งแน่นอนว่าหากเป็นนักเตะที่มีประสบการณ์จะไม่เล่นแบบติดประมาทอย่างนั้นบริเวณแถวหน้าประตูทีมตัวเอง และสุดท้ายผลของการกระทำก็นำไปสู่การเสียประตูแบบไม่น่าเสีย

 


 

    ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะ ป็อกบา ยังเล่นประมาททำให้โดนฉกบอลจากแดนกลาง แต่เดชะบุญที่แนวรุกของ "เดอะ เซนต์ส" ไม่เฉียบคมทำให้พวกเขาทิ้งโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย แต่หลังจากนั้น มิดฟิลด์แชมป์โลก ก็ค่อยๆ พัฒนาเกมดีขึ้น และมีส่วนช่วยให้ทีมได้ประตูตีเสมอ และเกือบยิงประตูได้จากการประสานงานกับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส

    ในส่วนของจังหวะที่โดนตีเสมอช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ต้องบอกว่าแนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะเสียสมาธิไปบ้าง โดยเฉพาะ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่ตามประกบ ไมเคิล โอบาเฟมี่ ไม่ดีส่งผลให้โดนทีมต้องทำแต้มหลุดมีอไปสองคะแนนอย่างน่าเสียดาย

    ฉะนั้นสิ่งที่ โซลชา จำเป็นต้องติวเข้มลูกทีมก็คือการเล่นที่มีความแน่นอน ไม่เน้นประมาท และพยายามมีสมาธิกับเกมจนกระทั่งได้ยินเสียงนกหวีดยาวจากปากท่านเปา

5. โรเตชั่นจำเป็นต้องนำมาใช้-ขุมกำลังสำรองต้องพัฒนา
    ต้องยอมรับว่า โซลชา จำเป็นต้องคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ หลังจากที่ในเกมพบ เซาธ์แฮมป์ตัน "น้าลูกอม" ใช้นักเตะตัวจริงชุดเดิมลงสนาม 5 เกมติดต่อกัน ซึ่งผลงานในครึ่งหลังแสดงให้เห็นประจักษ์ชัดแก่สายตาแล้วว่าทัพ "ผีแดง" มีอาการล้าจนเล่นไม่ออก

    สามประสานที่ว่าโหดๆ ซึ่งโชว์ฟอร์มสุดฮอตช่วยทีมยิงประตูชนะคู่ต่อสู้ด้วยระยะห่าง 3 ประตู มา 4 เกมติดต่อกัน แต่ในแมตช์นี้ มาร์กซิยาล กับ แรชฟอร์ด ทำผลงานได้หวือหวาสุดในครึ่งแรก ขณะที่ เมสัน กรีนวู้ด แทบไม่มีส่วนร่วมในเกมมากนัก แต่ในครึ่งหลังทั้ง 3 แนวรุกแทบไม่สามารถประสานงานกันได้เลย

 

    ขณะเดียวกันการที่ โซลชา ต้องการรักษาสกอร์นำ 2-1 ด้วยการเปลี่ยนผู้เล่นที่มีอาการล้าเพื่อเติมความสดเข้าไป แต่กลับได้ผลลัพธ์น่าผิดหวัง โดยการถอดป็อกบา ออก และส่ง เฟร็ด ลงมาแทน ผลก็คือทีมมีปัญหาในการลำเลียงบอลขึ้นไปในแนวรุก ส่วนการส่ง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ลงมาแทน แฟร์นันด์ส ก็ไม่ได้ช่วยอะไรทีมเลย

    ฉะนั้นในเวลานี้จุดด้อยที่เห็นอย่างชัดเจนของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็คือขุมกำลังสำรองที่จำเป็นต้องนำมาใช้งานหากมีเกมลงเล่นแบบถี่ยิบอย่างนี้ แต่ดูเหมือนว่าภายในซุ้มม้านั่งสำรองของ "ผีแดง" จะมีเพียงแค่นักเตะระดับเกรด B และ B+ เท่านั้น ซึ่งในระยะยาวถือว่าไม่เป็นผลดีต่อทีมแน่นอน

    ด้วยเหตุนี้ "น้าลูกอม" และบอร์ดบริหารจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเริ่มคิดเกี่ยวกับการเสริมทัพ โดยเฉพาะผู้เล่นเป้าหมายที่พวกเขาเล็งเอาไว้ทั้ง เจดอน ซานโซ่, แจ็ค กรีลิช, รูเบน นาวาส และ คาลิดู คูลิบาลี่ จะต้องกระชากตัวมาเสริมแกร่งให้ได้ หากอยากลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2020/2021

สถิติน่าสนใจหลังผีบุกอัดวิลล่านิ่มแข้ง

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำผลงานยอดเยี่ยมต่อเนื่องชนะ 4 นัดรวดในลีกหลังงบุกถล่ม แอสตัน วิลล่า 3-0 ทำคะแนนไล่จี้พื้นที่ แชมเปี้ยนส์ ลีก เหลือเพียงคะแนนเดียว และนี่คือสถิติน่าสนใจหลังจบเกม

 – แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทีมแรกในพรีเมียร์ลีกที่ชนะคู่แข่งด้วยความต่าง 3 ประตูขึ้นไป ก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูล เคยทำได้ในปี 1987 แต่ตอนนั้นยังเป็นยุคที่เรียกว่าดิวิชั่น 1

 – แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ไม่แพ้ตลอด 21 นัดหลังสุดที่ไปเยือน แอสตัน วิลล่า โดยเป็นการชนะ 14 นัด และเสมอ 7 นัด เป็นสถิติยาวนานที่สุดของลีกสูงสุด

 – เมสัน กรีนวู้ด (18 ปี 282 วัน) เป็นผู้เล่นดาวรุ่งคนที่ 2 ที่ยิงในพรีเมียร์ลีกได้ 3 นัดติดต่อจาก เวย์น รูนีย์ (19 ปี 125 วัน) ที่เคยทำได้ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2005

 – กรีนวู้ด เป็นผู้เล่นคนที่ 4 ที่อายุ 18 ปีหรือต่ำกว่าแล้วยิงได้ 3 นัดติดในลีกต่อจาก แดนนี่ คาดามาร์เทรี่, ไมเคิ่ล โอเว่น และ ฟรานซิส เจฟเฟอร์ส

 – แมนฯ ยูไนเต็ด ได้จุดโทษ 13 ครั้งในฤดูกาลนี้ เป็นสถิติมากสุดของพรีเมียร์ลีกเท่ากับ เลสเตอร์ ในฤดูกาล 2015/16 และ คริสตัล พาเลซ ฤดูกาล 2004/05

 – แมนฯ ยูไนเต็ด ใช้ 11 ผู้เล่นตัวจริงชุดเดิม 4 นัดติดครั้งแรกนับตั้งแต่พฤศจิกายน 2006

 – แอสตัน วิลล่า เสียไปแล้ว 65 ประตูในฤดูกาลนี้ เป็นตัวเลขเท่ากับที่เคยเสียหลังผ่านไป 34 นัดในฤดูกาล 2015/16 และสุดท้ายก็ตกชั้นด้วยการจบอันดับ 20

บรูโน่ฮีโร่อีกแล้ว! เจาะ 5 ประเด็น แมนยู บุกถลุง ไบรท์ตัน

บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญที่ช่วยทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เดินหน้าเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดก็ซัด 2 ประตูในแมตช์ไล่ถลุง ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 3-0 ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอังคารที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา
    เมสัน กรีนวู้ด จัดการซัดประตูสุดงามช่วยให้ต้นสังกัดขึ้นนำไปก่อน จากนั้น แฟร์นันด์ส กับ ปอล ป็อกบา ก็ประสานงานกันอย่างเข้าขาก่อนที่ สตาร์ดังชาวโปรตุกีส จะซัดบอลเสียบตาข่าย และประตูตบท้ายก็เป็น เจ้าตัวที่ตะบันแบบไม่จับ ส่งให้ทีมเก็บ 3 คะแนนสำคัญได้อย่างสวยหรู

    สำหรับฟอร์มการเล่นในแมตช์นี้เป็นสิ่งที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ต้องการมาตลอด เพราะเป็นการเล่นที่ครบเครื่องทั้งเกมรับแน่น, เกมรุกเฉียบคม และยังมีจังหวะสวนกลับที่แม่นยำอันตรายสุดๆ ที่สำคัญชัยชนะในแมตช์นี้ช่วยส่งให้ทีมแซงหน้า วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ ขึ้นไปรั้งอันดับ 5 มีลุ้นพื้นที่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ต่อไป

    โปรแกรมต่อไปของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คือการพบกับ บอร์นมัธ ในวันเสาร์ที่  4 กรกฎาคม ก่อนจะเดินทางไปพบทีมหนีตาย "สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า สัปดาห์หน้า ฉะนั้นด้วยฟอร์มที่เข้าฝักแบบนี้ แฟน "ผีแดง" อาจจะได้ยิ้มกันยาวๆ ก็เป็นไปได้

1. แฟร์นันด์ส ยิ่งเล่นยิ่งเก่ง 

    นับวันฟอร์มการเล่นของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยิ่งโดดเด่น คงจะไม่ผิดหากจะบอกว่าตอนนี้เขาเป็นหัวใจสำคัญในเกมรุกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะทุกครั้งที่บอลอยู่ในเท้า สตาร์ลูกหนังชาวโปรตุกีส สามาถร่ายเวทมนตร์จนคู่แข่งต้องปั่นป่วนไปหมด

    แมตช์นี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังคงเลือกใช้ 3 แกนหลักแดนกลางได้แก่ แฟร์นันด์ส, ปอล ป็อกบา และ เนมานย่า มาติช โดยการได้ทั้งสามคนเล่นร่วมกันทำให้แดนกลาง "ปีศาจแดง" แน่นปึ้กโดยเฉพาะในเรื่องเกมบุกจะเห็นได้ชัดว่า แมนฯ ยูไนเต็ด โดดเด่นมากๆ

    สำหรับฟอร์มการเล่นของ แฟร์นันด์ส ก็ยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเดิม และฟอร์มแบบนี้น่าจะเป็นการยืนยันได้แล้ว สตาร์ลูกหนังเลือดฝอยทอง เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเกมรุกของ ยอดทีมเจ้าของแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี 20 สมัย โดยเฉพาะการประสานงานกับ ป็อกบา ที่ช่วยให้เกมรุกของ "เร้ด เดวิลส์" มีมิติ และน่ากลัวมากยิ่งขึ้น

    แฟร์นันด์ส มีโอกาสยิงไกลในเกมนี้พอสมควร และดูเหมือนว่าการซัดประตูในสไตล์นี้จะเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาไปแล้ว แถมการเล่นกับ ป็อกบา ที่ช่างเข้าขารู้ใจเหมือนกับเล่นร่วมกันมานานเป็นปี แต่จริงๆ แล้วแค่ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น เป็นการการันตีว่าพวกเขาสามารถลงสนามพร้อมกันได้

    สองประตูสุดสวยในเกมนี้จากฝีเท้าของ แฟร์นันด์ส ทำให้เจ้าตัวซัดรวมไปแล้ว 5 ประตู กับ 3 แอสซิสต์ ในลีก และช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น 15 แมตช์ ในทุกรายการ (ชนะ 11 เสมอ 4)  ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะเป็นขวัญใจคนใหม่ของ "เร้ด อาร์มี่"

2.  มาติช พระเอกปิดทองหลังพระ

    สำหรับตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด มีตัวเลือกในแดนกลางมากมาย โดยเฉพาะในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ โซลชา สามารถเลือกใช้งานนักเตะอย่าง เนมานย่า มาติช, เฟร็ด และ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ซึ่งจะคอยทำหน้าที่เป็นตัวสนับสนุน ป็อกบา กับ แฟร์นันด์ส

    ในเกมลีก 2 แมตช์ที่ผ่านมา "น้าลูกอม" ไว้วางใจให้ มาติช ทำหน้าที่คอยเก็บกวาดแดนกลาง และเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังเพราะทั้งในทุบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และแมตช์ล่าสุดถลุง ไบรท์ตัน นักเตะโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นการครองบอล การผ่านบอลในจังหวะที่ทีมได้ประตูที่สนาม ก็เริ่มต้นมาจาก ดาวเตะเลือดเซิร์บ ที่วอลเล่ย์อย่างสวยงามส่งให้  เมสัน กรีนวู้ด  ซึ่งกระชากบอลแล้วตักไปให้ แฟร์นันด์ส ตะบันประตู

    ตอนนี้คงต้องบอกว่าทั้ง เฟร็ด และ แม็คโทมิเนย์ ซึ่งทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในช่วงต้นฤดูกาล ต้องเจอกับงานสุดหินในการเบียดแบ่งตำแหน่งกับ มาติช อย่างไรก็ตาม โซลชา ยังต้องการนักเตะทั้งสองคน เพราะพวกเขายังเป็นตัวเลือกเพื่อที่ทีมจะได้มีผู้เล่นหมุนเวียนลงสนาม จนกระทั่งจบซีซั่นนี้
 
    ในเวลานี้เริ่มมีเสียงจากสาวกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เชื่อมั่นในแนวทางการสร้างทีมของ โซลชา ที่ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหากยังคงรักษาฟอร์มการเล่นแบบนี้ต่อไป โอกาสที่จะเบียดกับ เชลซี ในการลุ้นทำอันดับท็อปโฟร์ก็มีค่อนข้างสูง

3. กรีนวู้ด พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ในช่วงแรกๆ หลายคนค่อนข้างปรามาส เมสัน กรีนวู้ด ว่าจะเป็นเหมือนดอกไม้ไฟ ที่ยิงขึ้นไปบนฟ้าและส่องสว่างอยู่ซักพักนึงก่อนจะค่อยๆ มอดดับไปบนฟากฟ้า แต่ดูเหมือนว่าแนวคิดดังกล่าวคงจะผิดมหันต์ เพราะตอนนี้ ดาวเตะวัย 18 ปีเริ่มฉายแสงความเก่งฉกาจขึ้นเรื่อยๆ

    กรีนวู้ด ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น และแสดงให้เห็นถึงทักษะชั้นยอดด้วยลีลาการกระชากลากเลื้อย ที่ทำเอากองหลังไบรท์ตัน ระส่ำระส่าย โดยเฉพาะในจังหวะที่ยิงประตูให้ "ผีแดง" ขึ้นนำ กรีนวู้ด โชว์ลีลาการเลี้ยงหลอกคู่แข่งก่อนจะส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย

    ขณะที่ในจังหวะเล่นสวนกลับ "ไม้เขียว" โชว์ให้เห็นถึงศักยภาพในการเลี้ยงบอลติดเท้าก่อนจะตักบอลด้วยน้ำหนักที่เหมาะเจาะให้ แฟร์นันด์ส ซัดแบบไม่ต้องจับช่วยให้ทีมนำห่าง 3-0 ตอนนี้คงต้องยอมรับว่า กรีนวู้ด มีพัฒนาการเยอะมาก และฟอร์มของเขาดูเหมือนกับนักเตะที่โตเต็มวัย มากกว่าแค่แข้งดาวรุ่งพุ่งแรง

    ที่สำคัญคงไม่ใช่เรื่องผิดหากจะเปรียบเทียบสไตล์การเล่นของ กรีนวู้ด กับ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ตำนานกองหน้าทีมชาติฮอลแลนด์ แต่ถึงแม้ในเวลานี้ฟอร์มของเขายังไม่อยู่ในระดับเดียวกับ "อาร์วีพี" แต่บอกได้เลยว่าหากรักษาผลงานแบบนี้ ในอนาคต กรีนวู้ด คงน่ากลัวสุดๆ
 
4. บุกแหลกแหกค่าย

    โซลชา ยังคงสืบสานปรัชญาการเล่นของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ต้องการเห็น "ปีศาจแดง" เป็นทีมที่เน้นเกมรุก ด้วยเหตุนี้เขาถึงจัดแนวรุกความเร็วสูงลงสนามพร้อมกับได้แก่ อองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล, มาร์คัส แรชฟอร์ด และกรีนวู้ด ผสมกับแดนกลางอย่างโหดที่มี แฟร์นันด์ส กับ ป็อกบา

    การจัดตัวผู้เล่นที่เน้นเกมบุกแบบนี้ แน่นอนว่า โซลชา อยากเห็น แมนฯ ยูไนเต็ด เดินหน้าฆ่าไม่เลี้ยงใส่ ไบรท์ตัน และก็เป็นไปตามคาด เมื่อบรรดาขุนพล "ปีศาจแดง" ระเบิดฟอร์มสุดยอดไล่บี้ขยี้แหลกเจ้าบ้าน โดย "เร้ด เดวิลส์" ชุดนี้มาพร้อมกับฟอร์มที่เล่นความรวดเร็ว, เทคนิคแพรวพราว, มีชีวิตชีวา และเฉียบคม

    ฟอร์มการเล่นของ แมนฯ ยูไนเต็ดในเกมนี้ ทำให้แฟนบอล "เร้ด อาร์มี่" หวนนึกถึงตอนที่พวกเขามีเหล่าแข้งซูเปอร์สตาร์คลั่งเกมบุกอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้, คาร์ลอส เตเวซ และ เวย์น รูนี่ย์ ซึ่งทีมชุดนั้นเต็มไปด้วยความโหด และยิงกระจุยไม่เกรงใจทีมไหนทั้งนั้น

    แน่นอนว่าทีมชุดปัจจุบันยังคงเทียบกับชุดในอดีตไม่ได้ แต่นี่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีเยี่ยมที่เห็นทีมของ โซลชา กำลังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ และยิงประตูเป็นว่าเล่น และหากยังคงรักษาทีมชุดนี้เอาไว้ ผสมกับการเสริมทัพที่เหมาะสม อนาคตที่สดใสของ แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังรออยู่แน่นอน

5. ป็อกบา เล่นเพื่อทีม

    น่าดีใจเหลือเกินที่เห็น ปอล ป็อกบา กำลังมีความสุขกับการเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งก่อนหน้านี้แฟนบอลของพวกเขาไม่ได้เห็น สตาร์ลูกหนังแชมป์โลก แฮปปี้แบบนี้มานานแล้ว ส่วนหนึ่งที่เป็นแบบนี้เพราะ ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ ได้รับความไว้วางใจจาก โซลชา เหมือนเดิม

    เกมนี้ ป็อกบา แสดงให้เห็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่น่าชื่นชมมากๆ ก็คือการขยับตัวไปเล่นในทุกๆ พื้นที่ในแดนกลาง พยายามผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีม และประสานงานกับ แฟร์นันด์ส ได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะในจังหวะที่ทีมได้ประตูที่สอง ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ เป็นคนแอสซิสต์ให้ แข้งโปรตุกีส ด้วย

    ดูเหมือนว่าการที่ ป็อกบา ได้พักรักษาตัวยาวๆ ทำให้เขาสามารถปรับแนวคิดและทัศนคติได้ดีมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการเป็นนักเตะที่หันมาเล่นเพื่อทีม และพร้อมที่จะสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม ฉะนั้นหากเจ้าตัวยังคงทำผลงานที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ต่อไป สาวก "เร้ด อาร์มี่" คงมีความสุขที่สุด