วอล์คเกอร์แน่นเว่อร์! ตัดเกรดแข้งอังกฤษแซงคว้าชัยเหนือเบลเยี่ยม

"สิงโตคำราม" ขยับขึ้นมารั้งจ่าฝูงของกลุ่ม 2 สายเอ ในศึก ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ได้สำเร็จหลังพลิกแซงชนะ เบลเยี่ยม 2-1 ที่สนามเวมบลีย์ สเตเดี้ยม โดยเกมนี้ครึ่งแรกลูกทีมของ แกเร็ธ เซาธ์เกต ค่อนข้างเป็นรองผู้มาเยือนและยังโดนยิงประตูขึ้นนำก่อนด้วย แต่มาซัดตีเสมอจากลูกจุดโทษ ขณะที่ครึ่งหลังทีมเล่นดีขึ้นมากจนกระทั่งมาได้ประตูชัยแบบมีโชคเล็กน้อย สำหรับ "เอ็มวีพี" ของเกมนี้ต้องยกให้กับปราการหลังคนหนึ่งที่ช่วยเกมรับในหลายๆจังหวะ มาดูผลงานแข้งอังกฤษแต่ละคนกัน

จอร์แดน พิคฟอร์ค 6

ไม่ได้เจอบททดสอบมากนัก ประตูที่เสียก็มาจากจุดโทษ มีออกมาตัดบอลกลางอากาศพลาดบ้าง แต่ชดเชยด้วยการเปิดบอลยาวขึ้นหน้าสุดแม่นยำ

ไคล์ วอล์คเกอร์ 8

“แมน ออฟ เดอะ แมตช์” พอถูกจับมาเล่นเซนเตอร์แบ็กเลยไม่ได้เติมสูงมาก แต่ต้องชมเรื่องการเล่นเกมรับ มีความเฉียบขาดในการอ่านเกมและใช้ความเร็วในการตัดบอล เคลียร์บอลถึง 5 ครั้งและยังบล็อกลูกยิงสำคัญอีก 2 ครั้งด้วย

แฮร์รี่ แม็กไกวร์ 6

กลับมาคืนทัพนัดแรกนับตั้งแต่คดีฉาว มีปัญหาในการรับมือ ลูกากู อยู่บ้างในช่วงครึ่งแรกแต่เวลาผ่านไปเริ่มมั่นใจขึ้น ยังไม่มีจังหวะผิดพลาดชัดเจน

เอริก ดายเออร์ 5.5

สไลด์ ลูกากู จนทำทีมเสียจุดโทษแบบไม่น่าเสีย หลังจากนั้นมีปั่นป่วนเหมือนกันเมื่อเจอเกมบุกพายุของเบลเยี่ยม แต่ครึ่งหลังทำผลงานดีขึ้น

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ 6

ยังคงมีปัญหาเมื่อต้องเล่นเกมรับ แต่ต้องชมการโยนบอลยาวสุดแม่นยำให้ คีแรน ทริปเปียร์ จนเป็นที่มาของประตูชัย

เดแคลน ไรซ์ 7

มีปัญหาในการรับมือการเคลื่อนที่ของ เควิน เดอ บรอยน์ อยู่ช่วงหนึ่ง แถมเสียใบเหลืองในครึ่งแรกด้วย ทว่าครึ่งหลังเล่นดีขึ้นมาก ทั้งมีส่วนตัดเกมแดนกลาง ช่วยเกมรับและทำให้ทีมครองบอลบุกสู้ได้มากขึ้นกว่าครึ่งแรก

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 6

เป็นคนเรียกจุดโทษให้กับทีม ยังคงมีความนิ่งทว่าลูกพลิกแพลงไม่ค่อยมีซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่บางทีทีมต้องการจ่ายบอลสร้างเกมรุกจากเขามากกว่านี้

คีแรน ทริปเปียร์ 7

ยังคงถูกจับมาเล่นฝั่งซ้ายในช่วงที่ทีมขาดนักเตะซึ่งดูไม่ค่อยถนัดนักแต่ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง มีส่วนร่วมกับประตูที่สองด้วยการแอสซิสต์ให้ เมสัน เมาน์ท

เมสัน เมาน์ท 7

ออกสตาร์ทตัวจริงแบบเซอร์ไพรส์เพราะหลายคนคิดว่า แจ็ค กรีลิช ที่ฟอร์มดีจะลงต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะเล่นอยู่ทางฝั่งขวา แต่บทบาทเงียบเกือบทั้งเกม ช่วยเกมรุกได้น้อย ก่อนโยกมาฝั่งซ้ายสักพักและทำประตูชัยแบบมีเฮง

มาร์คัส แรชฟอร์ด 7

เป็นคนยิงจุดโทษให้ทีมตีเสมอ ในสามแนวรุกตัวจริงเกมนี้ แรชฟอร์ด มีบทบาทมากที่สุดและปั่นป่วนคู่แข่งได้ดีที่สุดโดยเฉพาะครึ่งหลัง แต่ปัญหาของเจ้าตัวยังคงเป็นจังหวะสุดท้ายและบางครั้งดึงบอลกับตัวไว้นานเกินไป

โดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน 6

หลายจังหวะยังไม่เป็นใจ ครึ่งแรกบอลมาถึงเขาน้อย แต่บทบาทมากขึ้นในครึ่งหลังและโอกาสยิงเริ่มมามากขึ้นเรื่อย ๆก่อนถูกเปลี่ยนตัวออก

ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม

คัลวิน ฟิลลิปส์ 6 (ลงมาแทน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน น.66)

ลงมาทำให้แดนกลางแน่นขึ้น

แฮร์รี่ เคน 5 (ลงมาแทน โดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน น.66)

มีโอกาสทองที่โขกประตูปิดกล่องแต่พลาดแบบเหลือเชื่อ

รีซ เจมส์ 6 (ลงมาแทน เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ น.79)

เพิ่มความสดทางฝั่งขวา

เจดอน ซานโช่ – (ลงมาแทน เมสัน เมาน์ท น.89) ลงมาท้ายเกมแล้ว

ไม่โทษใคร! “แลมพาร์ด” รับเชลซีไม่ดีพอเอง

 แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือ เชลซี ระบุ "สิงห์บลูส์" ไม่ดีพอจริงๆ หลังพ่าย อาร์เซน่อล 1-2 ในเกม เอฟเอ คัพ รอบชิงฯ พร้อมจวกลูกทีมที่ไม่ยอมสานต่อฟอร์มดีๆ ในช่วงต้นเกม

     แฟร้งค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีม เชลซี เผยว่า ทีมตนเล่นกันไม่ได้เรื่องเอง หลังจากที่ทัพ "สิงห์บลูส์" พลิกพ่าย อาร์เซน่อล 1-2 ในเกม เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ที่สังเวียนแข้ง เวมบลีย์ สเตเดี้ยม เมื่อวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา

     เชลซี ทำท่าว่าจะไปได้สวย หลังออกสตาร์ทได้ดี ด้วยการได้ประตูขี้นนำก่อนตั้งแต่นาทีที่ 5 จากการยิงของ คริสเตียน พูลิซิช ทว่านาทีที่ 28 อาร์เซน่อล ตามตีเสมอเป็น 1-1 จากการสังหารลูกจุดโทษเข้าไปอย่างเฉียบขาดของ ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมอยอง

     จากนั้นช่วงครึ่งหลัง ในนาทีที่ 67 กลายเป็น "ไอ้ปืนใหญ่" ที่ได้ประตูพลิกขึ้นนำ จากลูกยิงสุดเหนือชั้นของ โอบาเมยอง เจ้าเก่า และสถานการณ์ของ "สิงห์บลูส์" ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เพราะในนาทีที่ 73 พวกเขาต้องมาเหลือผู้เล่น 10 คน หลัง มาเตโอ โควาซิช โดนไล่ออก จากการได้รับใบเหลืองที่สอง และสุดท้ายจบเกมด้วยการเป็นฝ่ายปราชัย

         "เราทำได้ดีช่วง 15 นาทีแรก ซึ่งเราทำประตูได้ และสร้างโอกาสได้เพียบ แต่เราคงทำได้แต่โทษตัวเองที่ไม่ยอมสานต่อ เกม เอฟเอ คัพ นัดชิงฯ มันไม่ใช่เกมที่เราจะมาเดินเล่น เราปล่อยให้พวกเขากลับมาสู่เกม ซึ่งเมื่อคุณทำแบบนี้ มันก็ยากที่คุณจะกลับมาสู่เกม เราเล่นกันไม่ดีพอที่จะคว้าชัยชนะในเกมรอบชิงฯ ครั้งนี้" กุนซือวัย 42 ปี เปิดใจหลังเกม