ชลบุรีปล่อยตัว 2 แข้งเก๋าพ้นทีม

สโมสร ชลบุรี เอฟซี ประกาศปล่อยตัว อดุล หละโสะ และ มงคล นามนวด 2 นักเตะมากประสบการณ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการตกลงร่วมกันของทั้งสองฝ่าย

สำหรับ อดุล หละโสะ ย้ายมาค้าแข้ง ให้กับ สโมสร ชลบุรี เอฟซี ในช่วงต้นฤดูกาล 2020 ที่ผ่านมา โดยถือเป็นนักเตะ ที่เป็นผลผลิต จาก โรงเรียน จุฬาภรณราชวิทยาลัย จ.ชลบุรี ก่อนถูกผลักดันขึ้นสู่ ทีมชุดใหญ่ ของ ชลบุรี เอฟซี จนมีส่วนสำคัญ ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ไทยลีก ได้สำเร็จเมื่อปี 2550 ก่อนที่ในปี 2551 จะได้ย้ายไปค้าแข้ง ที่ประเทศ ญี่ปุ่นกับ สโมสร ต๊อตโตริ ทีมในระดับ ดิวิชั่น 3

จากนั้น ในปี 2552 อดุล หละโสะ กลับมาเล่นให้กับ ชลบุรี เอฟซี อีกครั้ง และในปีต่อมา ก็ถือเป็นผู้เล่นที่มีส่วนสำคัญในการพา สโมสร  ผงาดคว้า แชมป์ฟุตบอล เอฟเอ คัพ จนกระทั่งในปี 2558 จะย้ายไปค้าแข้งให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, สุพรรณบุรี เอฟซี

ส่วน มงคล นามนวด ย้ายมาค้าแข้ง ให้กับ สโมสร ชลบุรี เอฟซี ในเลกที่ 2 ของฤดูกาล 2019 โดยถือเป็นนักเตะ ที่เป็นผลผลิต จาก โรงเรียน จุฬาภรณราชวิทยาลัย จ.ชลบุรี ผ่านการค้าแข้งมาแล้ว มากมาย กับ ศรีราชา เอฟซี, พัทยา ยูไนเต็ด, เพื่อนตำรวจ, การท่าเรือ เอฟซี, เมืองทอง ยูไนเต็ด, ราชบุรี มิตรผล เอฟซี, ปตท. ระยอง, ขอนแก่น ยูไนเต็ด บางกอกกล๊าส เอฟซี และ หนองบัว พิชญ เอฟซี

 

ลูกจ้างร้านข้าวขาหมู ติดทีมชาติ เป็นนายร้อยติดดาว

แบบฉบับของนักฟุตบอลที่มาจากครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำ อยู่กับพ่อและย่า มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ชีวิตของ "ปริ๊นซ์" รุ่งรัฐ ภูมิจันทึก น่าจะเป็นแบบอย่างของคนสู้ชีวิตที่ก้าวจากดินมาประดับดาวบนบ่า ด้วยความไม่ท้อและไม่ถอย
    – ชีวิตวัยเด็กที่ อำเภอปากช่อง จ.นครราชสีมา ต้องอยู่กับย่าและพ่อที่ทำอาชีพรับจ้างทั่วไป งานที่ "ปริ๊นซ์" ต้องทำตอนเด็กคือ ปั้นมะขาม เด็ดมะเขือ ได้วันละ 100 กว่าบาท

    – เนื่องจากฐานะทางบ้านค่อนข้างจน ต้องสวมใส่ผ้าใบเตะ แต่เพราะต้องเล่นบอลโรงเรียนและระดับประชาชน จึงกัดฟันซื้อสตั๊ดมือสองต่อจากเพื่อนและใช้ยาวจนเข้ากรุง

    – ช่วงที่เล่นบอลและเรียนที่ปากช่อง หลังเลิกเรียน รุ่งรัฐ จะขี่รถซาเล้งไปเพื่อจัดร้านขายข้าวขาหมู เพื่อแลกเงินมาให้ครอบครัวได้ใช้จ่าย

    – จบม.ปลายจากปากช่อง เข้ากรุงไปพร้อมกับเงินก้อนสุดท้ายของครอบครัวที่มีให้ 5 พันบาท เพื่อนชวนไปเรียนที่ม.อาร์แบค แต่ไม่ได้ทุนเรียน ต้องกู้ทุน กยศ.ทั้งค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายเดือนละ 2,200 บาท

    – เงิน 5 พันที่ได้ เอาไปซื้ออุปกรณ์ดำรงชีวิต หม้อหุงข้าว พัดลม ฯลฯ และใช้อย่างประหยัดควบคู่กับเงินกู้ กยศ. แม้จะเคยไปสมัครเป็นพนักงานโลตัสแต่เขาไม่รับ งานจ็อบไม่มี บางเดือนก่อนเงินออก 1 วันเหลือแค่ 5 บาท เอาไปซื้อหมูปิ้ง 1 ไม้ กินกับข้าวที่หุงไว้ที่ห้อง เป็นอาหารมื้อเดียวตลอดวัน

    – เคยตระเวณไปคัดสโมสรต่าง ๆ กับเพื่อน 6-7 สโมสร ปรากฏว่าไม่มีที่ไหนรับ เพราะมีคนไปคัดที่ละครึ่งพันคน ได้เล่นแค่ 5 นาที จนอินทรีเพื่อนตำรวจเปิดคัดเยาวชน 19 ปีไปเสริมชุดใหญ่ เพื่อนไปคัดติด ตัวเองไม่ได้ไป โชคดีสโมสรเปิดคัดอีกรอบ คราวนี้ติด ได้เงินก้อนแรกเป็นเบี้ยเลี้ยงวันละ 300 บาท ชีวิตรอดจากการอดแล้ว

    – จากนั้นมีโอกาสเข้าทีมใหญ่ของสโมสร เซ็นครั้งแรกได้เงินเดือน 3 พัน เบี้ยเลี้ยงซ้อมมื้อละ 400 บาท ตกแล้วเกือบหมื่นห้าต่อเดือน ดีใจสุด ๆ ส่งเงินให้ทางบ้าน และเก็บไว้ใช้เอง

    – อยู่กับชุดใหญ่เพื่อนตำรวจแค่ 1 ปี โอกาสได้เล่นน้อย ถูกทาบทามไปเชียงใหม่ ที่อยู่ดิวิชั่น 2 ตกลงไปเล่น 1 ปีย้ายไปลำพูน และกลับมาเชียงใหม่ จนเชียงรายเห็นฟอร์มช่วงอุ่นเครื่องจึงทาบทามไปเล่น ก่อนแจ้งเกิดเต็มตัวและมีโอกาสได้เล่นทีมชาติชุดใหญ่อุ่นเครื่องกับสิงคโปร์และแคเมอรูน ซึ่งเป็นฝันที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นไปได้

    – ชีวิตติดเครื่องได้ติดทีมชาติไปคว้าแชมป์ซีเกมส์ ที่สิงคโปร์ และยังคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2016 ขณะที่เส้นทางอาชีพย้ายจากเชียงรายไปอยู่ราชบุรี และมาอยู่กับทรู แบงค็อก ในปัจจุบัน

    – ตอนนี้ชีวิตสลัดพ้นความยากจนและยากลำบาก มีบ้านที่ซื้อให้พ่อกับย่า และซื้อให้แม่ที่แยกทางกับพ่อตั้งแต่เด็ก รวมถึงซื้อรถให้บ้านละคัน รวมถึงบ้านและรถของตัวเอง ที่สร้างฐานะได้เพราะรู้จักเก็บออมตั้งแต่ยังได้เงินเดือนหลักหมื่นต้น ๆ จนมาเป็นหลักแสนในตอนนี้ แถมยังเพิ่งได้ติดยศ ร.ต.ต.จากการรับราชการตำรวจอีกด้วย

    นี่คือชีวิตที่ขึ้นจากดิน จนวันนี้ "ปริ๊นซ์" รุ่งรัฐ ภูมิจันทึก มีทั้งดาวประดับบ่า และ ทรัพย์สิน เงินทอง ข่วยให้ทางบ้านลืมตาอ้าปากได้ ใครที่เคยผ่านอุปสรรคของชีวิตและท้อแท้ ให้ดูการสู้ชีวิตของ "เจ้าปริ๊นซ์" รุ่งรัฐ ภูมิจันทึก เป็นแบบอย่างของคนสู้ไม่ถอย

 

มีที่ไหน นายด่านดีกรีทีมชาติ เปลี่ยนชื่อหลายหนจนแฟนบอลเรียกไม่ถูก



“เจมส์” ถือเป็นนายทวารฝีมือดีอีกรายที่วงการลูกหนังไทยเราเคยมีมาทั้งระดับสโมสรและทีมชาติ

หนุ่มจาก จ.สระแก้ว นั้นผ่านสมรภูมิลูกหนังในฐานะพ่อค้าแข้งมาอย่างโชกโชน

เป็นนักเตะตำแหน่งนายทวารอีกรายที่เคยได้ถ้วยแชมป์รายการหลักๆมาแล้วถึง 6 รายการด้วยกัน

ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ไทยลีก 3 สมัย ครั้งที่ 7 ปี พ.ศ. 2545  ครั้งที่  8 ปี พ.ศ. 2546  ตอนอยู่กับธ.กรุงไทย , และครั้งที่  12 ปี พ.ศ. 2551 กับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แชมป์ เอฟเอคัพ ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ. 2552  ,โตโยต้า ลีกคัพ ครั้งที่ 1 ปีพ.ศ. 2553  ตอนอยู่กับ การท่าเรือฯ , แชมป์ เอฟเอคัพ ครั้งที่ 9 ปี พ.ศ. 2560 กับ สิงห์เชียงรายฯ ไม่รวมถึงได้แชมป์ลีกด. 1 ที่พา พีทีที ระยองฯ ขึ้นชั้นกลับมาสู่ไทยลีกได้

ส่วนกับทีมชาตินั้น” เจมส์” ได้แชมป์ซีเกมส์ 2 สมัย ครั้งที่ 21 ที่มาเลเซีย ,ครั้งที่ 22 ที่ เวียดนาม

ส่วนการค้าแข้งระดับสโมสรนั้น “เจมส์” อดีตนักเตะ ร.ร.กีฬาจ.สุพรรณบุรี รุ่นแรก เริ่มเล่นอาชีพกับ ธ.กรุงไทย ตั้งปี พ.ศ. 2541 – 2548  โดยปี พ.ศ. 2549 ไปเล่นลีก เวียดนาม กับ ทีม เตี่ยงแยง , กลับมาเล่นให้ อาร์แบค ในดิวิชั่น 1 , ต่อด้วย ไทยลีกครั้งที่ 12 ปี พ.ศ. 2551 ได้แชมป์ไทยลีกกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค , ก่อนจะไปอยู่กับ การท่าเรือฯ , เพื่อนตำรวจ 4 ปี ,ไปพาพัทยา ยูไนเต็ด ขึ้นชั้นมาสู่ไทยลีก ปีครึ่ง เลกสอง ไปเล่น โอสถฯ , ไปเล่นสิงห์เชียงรายฯ 1 ปี , ก่อนจะไปอยู่กับ พีทีที ระยองฯ 2 ปี ตอนนี้เป็นนักเตะไร้สังกัด หลัง พีทีที ระยอง ฯ ยกเลิกสัญญาจากการเลิกทำทีมและได้จ่ายเงินค่าชดเชย มาแล้ว

เจ้าตัวที่ปัจจุบันอายุ 40 ปี ประกาศว่ายังพร้อมจะเล่นอยู่ต่อไปและหากเป็นไปได้ก็อยากจะเล่นให้ยาวนานเหมือน บุฟฟอน อดีตนายทวารทีมชาติ อิตาลี ที่ตอนนี้เล่นกับ ยูเวนตุส

นอกจากจะเป็นนายทวารฝีเท้าดีแล้ว สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเอกบุรุษรายนี้ที่หลายคนต้องจำเขาได้ดีชนิดที่ สนง.เขต ต้องไม่อยากเจอหน้าเขาก็คือ “เจมส์” เป็นนักเตะที่ชอบเปลี่ยนชื่อ

ชื่อแรกตั้งแต่เกิดแรกเลยก็คือ ณัฐวุฒิ ก่อนจะมาเปลี่ยน เป็น ภานุวัฒน์ ตั้งอนุรัตน์ ตอนเข้าเรียน ม. 1 ที่ร.ร.กีฬาจ.สุพรรณบุรี

จากนั้นมาเปลี่ยนครั้งที่ 2 จาก ภานุวัฒน์ เป็น ภัทรกร ตอนเล่นกับ การท่าเรือฯ

เปลี่ยนครั้งที่ 3 ที่ใช้ชื่อนี้มาถึงปัจจุบัน จาก ภัทรกร มาเป็น ภัทร ผ่าน 3 พยางค์ คือ พัด- ทะ- ระ โดยครั้งนี้ “เจมส์”เปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุล เลยทีเดียว โดยเปลี่ยนนามสกุล จาก ตั้งอนุรัตน์ เป็น ปิยภัทร์กิติ

ผู้ที่เปลี่ยนชื่อให้กับเขาและคนในครอบครัวทั้งหมด รวมถึงบรรดาลูกๆ ของ”เจมส์” และภรรยา ไม่ใช่ใครเป็น คุณแม่ของเขานั่นเอง ที่มีความเชื่อส่วนบุคคลกับเรื่องของศาสตร์ของชื่อเป็นพิเศษ นั่นเอง

“ดานโญ่”เลี้ยงพี่น้องด้วยลำแข้งทุ่มเงินเก็บสร้างอพาร์ทเมนต์



สุดยอดตำนานแข้งต่างชาติไทยลีกจากทวีปแอฟริกาที่ปัจจุบันจะรีไทร์การเป็นพ่อค้าแข้งไปแล้วสำหรับ ดานโญ่ เซียก้า นักเตะจากไอวอร์รี่โคส หรือ โกตดิวัวร์ แข้งรายนี้ใช้เวลาค้าแข้งอยู่ในลีกไทยถึง 10 ปี โดยเฉพาะกับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เจ้าตัวประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากด้วยการคว้าแชมป์ระดับดิวิชั่น 1 ตั้งแต่ปีแรก(2008) พร้อมกับเลื่อนชั้นสู่ไทยลีกและพาทีมคว้าแชมป์ไทยลีก 3 สมัย 2009,2010,2012 ก่อนที่จะโยกไปค้าแข้งกับ เพื่อนตำรวจ,ขอนแก่น ยูไนเต็ด และ บางกอก เอฟซี

10 ปี ที่ค้าแข้ง ดานโญ่ มีความผูกพันกับประเทศไทยเป็นอย่ามากเพราะชื่นชอบวัฒนธรรมความมีน้ำใจของคนไทย จึงเลือกที่จะทำงานฟุตบอลในเมืองไทยต่อไปด้วยการเป็นผู้ฝึกสอนฟุตบอลระดับเยาวชนให้กับสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด พร้อมกับรับงานเป็นสต๊าฟโค้ชให้กับอุดรธานี เอฟซี ในศึกฟุตบอลไทยลีก 2 ตลอดเวลาการค้าแข้งสำหรับนักฟุตบอลอาชีพมันคือช่วงเวลาที่ไม่ยาวนักหลายคนต้องเริ่มต้นตัวเองจากการฝึกฝนตั้งแต่เด็กแต่ห้วงระยะเวลาฟุตบอลอาชีพสั้นเพราะไม่สามารถยกระดับตัวเองให้อยู่ต่อหรือเส้นทางการใช้ชีวิตแตกไปจากเกมลูกหนังโดยไม่รู้ตัว

แต่ ดานโญ่ เซียก้า อดีตเยาวชน 20 ปี ทีมชาติไอเวอร์รี่โคส ชุดปี 2006 เติบโตด้วยความสามารถอันมั่นคงต่อยอดการพัฒนาฝีเท้าตัวเองสู่เส้นทางของฟุตบอลอาชีพยืนระยะการเล่นได้อย่างยาวนานตั้งแต่เริ่มต้นกับ สปอร์ตเดซานเปรโด ในบ้านเกิดก่อนที่จะตัดสินใจย้ายมาเล่นที่ประเทศไทยในปี 2008 กับเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด  ซึ่งก่อนมาค้าแข้งที่ไทยเจ้าตัวยอมรับว่าไม่เคยรู้จักประเทศไทยมาก่อนอีกทั้งยังไม่ค่อยมีข้อมูลฟุตบอลไทยมากนัก  แต่การตัดสินใจมาครั้งนี้ก็เพื่อต้องการแสวงหาเส้นทางฟุตบอลอาชีพนอกประเทศเพื่อจะเลียงดูตัวเองและครอบครัวที่มีพี่น้องรวมกันถึง 7 คน

ในครอบครัวของ ดานโญ่ พี่น้อง 7 คน มีผู้ชาย 4 คน และ ผู้หญิง 3 คน ฟุตบอลอาชีพมีเพียงเขากับพี่ชายคนโตเท่านั้นที่มีโอกาสได้โลดแล่นอย่างเต็มตัวพี่ชายของดานโญ่ออกไปค้าแข้งที่แอลจีเรียและยูเออี  เจ้าตัวเล่าย้อนความหลังว่าสมัยเด็กๆทุกคนต้องต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้นต้องไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างทาง ซึ่งที่ไอเวอร์รี่โคสทุกครอบครัวมักถูกสอนว่าจะต้องต่อสู้เพื่อชัยชนะ  หากไม่สู้ชีวิตในอนาคตจะเต็มไปด้วยความลำบาก

ตลอดระยะเวลาการค้าแข้งในเมืองไทย  ดานโญ่ เซียก้า นอกจากประสบความสำเร็จทั้งฟอร์มการเล่นของตัวเองและการพาทีมคว้าแชมป์แล้ว เรื่องนอกสนามที่น่าสนใจคือแข้งรายนี้คือจอมมัธยัสถ์เก็บหอมรอมริบเงินต่อเนื่องจนมีเงินเป็นกอบเป็นกำ พร้อมกับวางอนาคตตัวเองสำหรับเรื่องของค่าใช้จ่ายและรายได้หลังจากการเป็นนักฟุตบอล เพราะมีภาระหลายอย่างต้องดูแล ดานโญ่  ใช้เงินเก็บหลายสิบล้านบาท ทุ่มซื้อที่และสร้างอพาร์ทเมนต์ในเมืองอาบีจาน ประเทศไอวอรี่โคสต์ บ้านเกิดของเขา เมื่อ 4-5  ปีที่ผ่านมา

งบประมาณระดับมหาศาลเกือบในการลงทุนต่อยอดชีวิต ดานโญ่ เล่าให้ฟังถึงยอดเงินจำนวนนี้ว่า ส่วนใหญ่แล้วเป็นเงินทีได้จากการเป็นนักฟุตบอลอาชีพตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำไมยอดมันไปแตะที่เกือบๆร้อยล้าน สาเหตุจริงๆแม้ว่าราคาสร้างอพาร์ทเมนต์จะไม่สูงแต่มูลค่าที่ดินในย่านนั้นซึ่งอาบีจาน เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงเก่าของอวอรีโคสต์ เป็นศูนย์กลางทางการเงิน,ธนาคารของประเทศ แม้ปัจจุบันกรุงยามูซูโกรจะเป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการก็ตามแต่มูลค่าที่ดินตรงนี้ยังสูงลิบลิ่ว นอกจากนั้นเมืองนี้ยัง มีอุตสาหกรรมชั้นนำมากมายเป็นสินค้าส่งออก มีท่าเรือที่ องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้เงินก้อนดังกล่าวหมดไปกับค่าที่  อพาร์ทเมนต์ที่สร้างขึ้นมามี 4 ชั้น รายได้ก็ถือว่ามีผลตอบแทนที่ใช้ได้ดีเลยทีเดียว

ซึ่งเงินก้อนนี้นอกจากจะเป็นรายได้ของดานโญ่ เซียก้า ในทุกๆเดือน แล้ว  ณ ปัจจุบันอดีตแข้งกิเลนยังต้องนำรายได้ส่วนหนึ่งไปเลี้ยงดูพี่น้องทั้งหมดที่ช่วยกันดูแลกิจการ โดยจะเป็นคนจัดการเรื่องรายได้ให้กับพี่น้องอีก 6 คน เพราะ ดานโญ่  อยากดูแลพี่ๆน้องๆ ให้มีรายได้จากการช่วยดูแลอพาร์ทเมนต์ ซึ่งมันคือความสุขที่ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และภูมิใจที่ได้ดูแลพี่น้องหลังจากทั้งคุณพ่อและคุณแม่เสียชีวิต อีกทั้งยังต้องดูแลคุณตาและคุณยายจากเงินรายได้ก้อนนี้

สำหรับ ดานโญ่ เซียก้า เคยเป็นอดีตเยาวชนทีมชาติไอเวอร์รี่โคส ชุด 20 ปี ผ่านการเล่นให้กับสโมสร สปอร์ต เดซานเปรโด ในบ้านเกิดก่อนที่ปี 2008 จะโยกมาเล่นในเมืองไทยกับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ยาวจนถึงปี 2014 ก่อนที่จะย้ายไปเล่นให้ โปลิศ ยูไนเต็ด, ขอนแก่น ยูไนเต็ด และ บางกอก เอฟซี นอกจากนั้น ดานโญ่ เซียก้า ยังเคยทำมูลนิธิฟุตบอลที่บ้านเกิดไอวอรี่โคสต์ให้กับเด็กๆเพื่อเป็นการสร้างโอกาสฟุตบอล