คนนี้แฟนหงส์ถูกใจไหม? สื่อยันลิเวอร์พูลเดินหน้าซื้อกองหลังคนใหม่แล้ว

สื่ออังกฤษ ตีข่าว ลิเวอร์พูล เปิดฉากคุยกับทีมเมืองเบียร์แล้วเพื่อขอซื้อกองหลังมาเสริมทัพช่วงปีใหม่ หลัง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ต้องพักยาว
   
ลิเวอร์พูล แชมป์เก่า พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เดินหน้าเจรจากับ ชาลเก้ 04 สโมสรในศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน เพื่อขอซื้อตัว โอซาน คาบัค ปราการหลังดาวรุ่งทีมชาติตุรกี มาเข้าถิ่น แอนฟิลด์ ช่วงเปิดตลาดหน้าหนาวเดือนมกราคมนี้แล้ว ตามรายงานจาก ซันเดย์ มิร์เรอร์ สื่อเมืองผู้ดี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา

"หงส์แดง" กำลังมองหาเซนเตอร์แบ็กคนใหม่เข้ามาเสริมทัพ เพราะ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังคนเก่งต้องพักยาวจากการผ่าตัดเอ็นไขว้หน้าหัวเข่า หลังโดน จอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวาร เอฟเวอร์ตัน เข้าสกัดหนักใส่ในเกมลีกที่เสมอกัน 2-2 เมื่อวันเสาร์ที่ 17 ต.ค. ที่ผ่านมา

ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา "หงส์แดง" เคยมีข่าวกับ คาบัค วัย 20 ปี มาแล้ว และเวลานั้น ชาลเก้ ตั้งค่าตัวไว้ที่ 40 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,600 ล้านบาท) แต่หลังจากที่ "ราชันสีน้ำเงิน" ออกสตาร์ตฤดูกาลย่ำแย่ทำให้พร้อมลดราคานักเตะลงมาเหลืออยู่ที่ราว 30 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,200 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล พร้อมจะจ่ายค่าตัวเบื้องต้นให้ ชาลเก้ จำนวน 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 800 ล้านบาท) พร้อมกับโบนัสอีกส่วนหนึ่งตามเงื่อนไขที่ทำได้ ส่งผลให้ทั้งสองสโมสรยังต้องคุยกันอีกเพื่อให้บรรลุข้อตกลงร่วมกัน

ทั้งนี้ คาบัค มีสไตล์การเล่นที่ดุดัน แข็งแกร่ง กล้าลุย รวดเร็ว และเล่นลูกกลางอากาศได้ดี รวมทั้งมี ฟาน ไดค์ เป็นไอดอลของตัวเองด้วย

โอเว่น-พ่อมดฟันธงสกอร์เกมเอฟเวอร์ตันปะทะลิเวอร์พูล

ไมเคิ่ล โอเว่น และ แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์ ฟันธงเกม เมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้ ระหว่าง เอฟเวอร์ตัน กับ ลิเวอร์พูล ชัยชนะจะตกเป็นของฝั่งสีน้ำเงินหรือสีแดง

แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์ ตำนานนักเตะพ่อมดของ เซาธ์แฮมป์ตัน เชื่อว่า เอฟเวอร์ตัน จะสู้กับ ลิเวอร์พูล ได้อย่างสนุกในเกม เมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ ที่สนาม กูดิสัน พาร์ค วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคมนี้ (18.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย) เนื่องจากนักเตะ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" กำลังอยู่ในช่วงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

ในฤดูกาลนี้ คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือชาวอิตาเลียน พา เอฟเวอร์ตัน ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมคว้าชัยชนะในลีก 4 นัดติดมี 12 คะแนนเต็มขึ้นนำเป็นจ่าฝูงของตาราง ขณะที่ ลิเวอร์พูล แชมป์เก่า รั้งอันดับ 5 มี 9 คะแนน ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" มีโอกาสคว้าชัยเหนือคู่แข่งร่วมเมือง หลังชนะหนสุดท้ายต้องย้อนไปถึงเดือนตุลาคม ปี 2010

เลอ ทิสซิเอร์ แสดงความเห็นผ่านรายการ แกรี่ นิวบอน สปอร์ตส์ โชว์ ว่า "ผมคิดว่า นี่จะเป็นเกมที่สวยงามมากสุดในรอบหลายปีหลังจาก เอฟเวอร์ตัน ออกสตาร์ตซีซั่นได้อย่างยอดเยี่ยมในปีนี้ ผมคิดว่า พวกเขาจะลงเล่นด้วยความเชื่อมั่นมากกว่าครั้งไหนในเกมเมอร์ซี่ไซด์ ดาร์บี้ ของพวกเขา"

"ขณะที่ ลิเวอร์พูล กำลังไม่ได้อยู่ในช่วงมีความมั่นใจหลังจากพวกเขาโดน แอสตัน วิลล่า ถล่มยับ ผมคิดว่า เกมนี้จะมีการทำประตูกันหลายลูก และคิดว่า สกอร์น่าจะจบลงอย่างการเสมอกันไป 2-2" ตำนานแข้ง "นักบุญ" เผย

ด้าน ไมเคิ่ล โอเว่น ตำนานกองหน้า ลิเวอร์พูล เชื่อว่า "หงส์แดง" จะบุกไปเก็บชัยชนะได้อย่างเฉียดฉิว และน่าจะเป็นเกมที่เล่นกันได้อย่างสนุกสูสี หลังเจ้าถิ่นเปิดฉากซีซั่นยอดเยี่ยม

"นี่จะเป็นเกมเมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้ที่เราตั้งตารอคอยมากสุดในรอบหลายปี เอฟเวอร์ตัน ออกสตาร์ตได้เยี่ยม ขณะที่ ลิเวอร์พูล ต้องเจอความเจ็บปวดหลังแพ้ แอสตัน วิลล่า ถึง 2-7 มันมีโอกาสเป็นเกมคลาสสิก อย่างไรก็ตาม สุดท้ายผมเชื่อว่า ลิเวอร์พูล จะเฉือนได้อย่างหวุดหวิด 2-1" โอเว่น ให้ความเห็นผ่าน เบต วิคเตอร์

ซลาตันเจ๋งกดเบิ้ล! มิลาน ประเดิมหรูถลุงโบโลญญ่า เปิดหัวกัลโช่

 38 ปี แล้วไง! ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ดาวยิงชาวสวีเดนโชว์ความร้ายกาจตะบันคนเดียวสองเม็ด พา เอซี มิลาน เปิดบ้านเอาชนะโบโลญญ่า ที่เหลือ 10 คนท้ายเกม ไปอย่างสนุก 2-0 ประเดิมสามคะแนน ศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา

สนาม : ซาน ซิโร่

    ศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นเกมเปิดสนามระหว่างเจ้าบ้าน เอซี มิลาน รับการมาเยือนของ โบโลญญ่า

    เกมนี้ สเตฟาโน่ ปิโอลี่ วาง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เป็นหน้าเป้า โดยมี ซามู กาสเตเยโฆ, ฮาคาน ชาลาโนกลู และอันเต้ เรบิช สนับสนุน ขณะที่ บราฮิม ดิอาซ และซานโดร โตนาลี่ แข้งตัวใหม่ที่ย้ายมามีชื่อเป็นสำรอง ส่วนทางฝั่ง โบโลญญ่า ของ ซินิซ่า มิไฮโลวิช แมตช์นี้ใช้ โรแบร์โต้ โซเรียโน่ ยืนหน้าต่ำโดยมี โรดริโก้ ปาลาซิโอ ยืนค้ำอยู่แดนหน้า

    เปิดฉากครึ่งแรกมา นาที 12 มิลาน ได้ลุ้นจากจังหวะที่ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ซัดด้วยขวาจากนอกกรอบไปติดบล็อค ดานิโล่ แนวรับโบโลญญ่าได้เตะมุม

    ทีมเยือนตอบโต้ขึ้นมาบ้าง นาที 22 ได้ส่องเข้ากรอบหนแรกจากจังหวะที่ มูซ่า บาร์โรว์ ไหลบอลให้ นิโคลาส โดมิงเกวซ กดด้วยขวาเน้นๆบอลพุ่งแรงแต่ยังไปตรงตัว จานลุยจิ ดอนนารุมม่า รับไว้ได้

    อีก 6 นาทีถัดมา ซลาตัน โชว์สเต็ปพลิกบอลครอสเข้าไปในกรอบ 6 หลา บอลโดนปลายมือ สโครุปสกี้ ปัดออกมาเข้าทาง อิสมาแอล เบนนาแซร์ ยิงหลุดกรอบออกไปแบบน่าเสียดาย

    นาที 38 เอซี มิลาน มาชิงขึ้นนำ 1-0 จนได้ จากจังหวะที่ เตโอ แอร์กน็องเดซ แบ็กซ้ายเปิดบอลมาหน้าประตูให้ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เทกตัวเอาชนะแนวรับทีมเยือนสองคนก่อนสะบัดบอลตกพื้นเบียดเสาเข้าไปอย่างเฉียบขาด

    เกมรุกของ "ปีศาจแดง-ดำ" ยังเหนือกว่าชัดเจน นาที 44 ฮาคาน ชาลาโนกลู ได้โอกาสส่องนอกกรอบแต่จังหวะกดด้วยขวาบอลพุ่งเหินคานออกไป จบครึ่งแรก มิลาน ขึ้นนำ โบโลญญ่า 1-0

    ครึ่งหลัง มิลาน ส่ง อเล็กซิส ซาเลอมาแกร์ส ห้องเครื่องดาวรุ่งลงไปเล่นแทน ซามู กาสเตเยโฆ

    นาที 47 เจ้าถิ่นพลาดได้ลูกที่สองหลัง ซาเลอมาแกร์ส ผ่านบอลเข้ากลางให้ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หวดด้วยขวาเน้นๆ บอลพุ่งแรงจนนายด่านโบโลญญ่าต้องปัดออกไป

    นาที 52 "ปีศาจแดงดำ" มาได้ลูกที่จุดโทษหลัง อิสมาแอล เบนนาแซร์ โดนริคคาร์โด้ ออร์โซลินี่ทำฟาวลด์ในเขตโทษ ผู้ตัดสินเช็กจาก วีเออาร์ แล้วชี้เป็นจุดโทษ ก่อนที่ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช จะซัดด้วยขวาเสยมุมบนเข้าไปอย่างเฉียบขาด เป็นประตูที่สองของดาวยิงวัย 38 ปี ในเกมนี้

    นาที 63 ซลาตัน อิบราฮิโมวิช พลาดโอกาสทำแฮตทริกอย่างน่าเสียดาย หลังรับบอลจาก ฮาคาน ชาลาโนกลู ก่อนจะแตะหลบ ลูคัสซ์ สโครุปสกี้ ไปได้แล้วแต่ยิงไม่ดีหลุดกรอบอย่างเสียดาย

    นาที 84 โบโลญญ่า พลาดโอกาสตีไข่แตกหลัง นิโคล่า ซานโซเน่ ซัดด้วยซ้ายไปติดเซฟของ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า อีก 3 นาทีถัดมา ลอเรนโซ่ เด ซิลเวสตรี แบ็กขวาเติมขึ้นมาซัดบอลหลุดกรอบออกไป

    นาที 88 มิตเชลล์ ไดจ์ส แนวรับทีมเยือนมาโดนใบเหลืองที่สองเป็นใบแดงไล่ออกจากสนาม กระนั้นนาทีสุดท้าย ทาเกฮิโร่ โทมิยาสุ แนวรับทีมเยือนได้โขกกลางประตูแต่บอลก็ไม่พ้นมือของ ลูคัสซ์ สโครุปสกี้ –

    จบเกม เอซี มิลาน คว้าชัยเหนือ โบโลญญ่าที่ เหลือ 10 คน ท้ายเกม 2-0 คว้าสามแต้มสำคัญได้สำเร็จ

    รายชื่อ11ผู้เล่นทั้งสองทีม

        เอซี มิลาน (4-2-3-1) : จานลุยจิ ดอนนารุมม่า – ดาวิเด้ คาลาเบรีย, ซิมอน เคียร์, มัตเตโอ แก็บเบีย, เตโอ แอร์กน็องเดซ – ฟร้องค์ เกสซีเย่, อิสมาแอล เบนนาแซร์ – ซามู กาสเตเยโฆ, ฮาคาน ชาลาโนกลู, อันเต้ เรบิช- ซลาตัน อิบราฮิโมวิช

        เทรนเนอร์ : สเตฟาโน่ ปิโอลี่

        โบโลญญ่า (4-2-3-1) : ลูคัสซ์ สโครุปสกี้ – ลอเรนโซ่ เด ซิลเวสตรี, ทาเกฮิโร่ โทมิยาสุ, ดานิโล่, มิตเชลล์ ไดจ์ส – นิโคลาส โดมินเกวซ, เยอร์ดี้ เชาเท่น – ริคคาร์โด้ ออร์โซลินี่, โรแบร์โต้ โซเรียโน่, มูซ่า บาร์โรว์ – โรดริโก้ ปาลาซิโอ

        เทรนเนอร์ : ซินิซ่า มิไฮโลวิช

 

มูรินโญ่โชว์วาจาปากกรรไกรกรีดแลมพ์สเจ็บจี๊ดไปถึงใจ

โชเซ่ มูรินโญ่ นายใหญ่ สเปอร์ส โชว์ฝีปากสุดเจ็บจี๊ดกรีด แฟร้งค์ แลมพาร์ด ในระหว่างเกมที่ "ไก่เดือยทอง" ชนะจุดโทษ เชลซี เกมคาราบาว คัพ รอบ 4 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา งานนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่เคยหวานชื่นในยุคร่วมงานกันในถิ่นสแตมฟอร์ด บริจด์ จบสิ้นไปแล้ว
    โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมชาวโปรตุกีสของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ โชว์ลีลาฝีปากจัดจ้านด้วยการจวกใส่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ระหว่างเกมที่ "ไก่เดือยทอง" ชนะจุดโทษ 5-4 หลังจากที่เสมอกันในเวลา 90 นาที 1-1 ศึกคาราบาว คัพ รอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อวันอังคารที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา

    เกมนี้ เชลซี ได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจาก ติโม แวร์เนอร์ ซึ่งเป็นประตูแรกอย่างเป็นทางการที่เขายิงให้กับ "สิงห์บลูส์" นับตั้งแต่ย้ายจาก แอร์เบ ไลป์ซิก ในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยในช่วงระหว่างนั้น "เฮียมู" กับ แลมพ์ส ที่เคยเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์สมัยอยู่ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้เปิดฉากสงครามน้ำลายใส่กันอย่างเมามัน

    มูรินโญ่ ได้ระเบิดอารมณ์อย่างรุนแรงใส่ แลมพาร์ด ด้วยคำพูดที่ว่า "ไอ้เวร แฟร้งค์ ทีตอนที่แกกำลังจะแพ้ 0-3 แกไม่เห็นมายืนอย่างนี้เลย" โดย กุนซือจอมแท็คติก แซะ ตำนานทีมชาติอังกฤษ ในแมตช์ที่ เชลซี โดน เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน นำ 3-0 แต่สุดท้ายสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาตีเสมอ 3-3 ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

    จากการแสดงพฤติกรรมที่เดือดดาลในครั้งนี้ทำให้ดูเหมือนความสัมพันธ์เก่าๆ ระหว่าง มูรินโญ่ กับ แลมพาร์ด ที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมงานกันในยุคที่ เชลซี รุ่งเรือง และประสบความสำเร็จมากมาย เปลี่ยนไปเป็นศัตรูคู่อาฆาตไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

ซลาตันเผยโควิดกล้ามากที่มาท้าสู้กับตน!

หลังจากมีการตรวจพบว่าเขาติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วนั้น ล่าสุด ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ก็บอกเองว่าไม่ได้ตั้งตัวกับเรื่องนี้ เพราะ 1 วันก่อนที่จะถูกตรวจพบว่าติดเชื้อนั้นผลตรวจยังเป็นลบอยู่เลย แต่ก็ระบุเช่นกันว่า โควิด-19 คิดผิดที่ท้าสู้กับตน พร้อมบอกเช่นกันว่าที่จริงตอนนี้ยังไม่มีอาการที่แสดงถึงการติดเชื้อเลย
    ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หัวหอกคนดังของ เอซี มิลาน สโมสรชั้นนำของศึก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี กล่าวว่าตนถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แบบกะทันหัน เพราะ 1 วันก่อนผลตรวจยังแสดงให้เห็นว่าไม่ติดเชื้ออยู่เลย พร้อมกับบอกว่า โควิด-19 คิดผิดแล้วที่มาหาเรื่องกับตน

    อิบราฮิโมวิช เพิ่งเปิดฉากการเล่นเกมลีกในฤดูกาล 2020-21 ได้อย่างสวยหรูด้วยการเหมา 2 ประตูจนช่วยให้ทีมเปิดรัง ซาน ซิโร่ เอาชนะ โบโลญญ่า 2-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา แต่เขาก็มาติดเชื้อร้ายแบบกะทันหัน โดยที่จริงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เลโอ ดูอาร์ต เซนเตอร์แบ็ก "รอสโซเนรี่" ก็ติดเชื้อนี้เหมือนกัน

    ดาวเตะชาวสวีดิชเผยผ่าน ทวิตเตอร์ เครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดฮิตว่า "ที่จริงเมื่อวานนี้ผมมีผลตรวจเชื้อโควิดเป็นลบ (หมายถึงไม่ติดเชื้อ) แต่วันนี้ผลตรวจกลับเป็นบวก (หมายถึงติดเชื้อ) ถึงกระนั้นผมก็ไม่มีอาการของโรคเลยนะ ผมบอกเลยว่า โควิด กล้ามากที่มาท้าสู้กับผม พวกมันคิดผิดแล้ว"

ตัดเกรดสตาร์ใหม่พรีเมียร์ฯประเดิมสนามมีทั้งปัง-ตก

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2020/21 เปิดฉากไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แน่นอนนอกจากผลงการแข่งขันของแต่ละทีมแล้ว อีกไฮไลท์สำคัญที่แฟนๆต่างจับตามองคือฟอร์มของบรรดานักเตะใหม่ของแต่ละสโมสร

ช่วงตลาดซื้อ-ขายนักเตะช่วงซัมเมอร์นี้มีหลายทีมที่ใช้เงินซื้อนักเตะระดับท็อปเข้ามาเสริมทัพ โดยมีทั้งย้ายมาจากลีกใหญ่ในยุโรป และคู่แข่งร่วมลีก ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้ลงเล่นประเดิมให้ต้นสังกัดใหม่เป็นที่เรียบร้อย และมีทั้งโชว์ฟอร์มโดดเด่น รวมถึงเริ่มต้นไม่น่าประทับใจ ส่วนใครจะมีผลงานเป็นอย่างไรไปเช็กกันเลย   

อาร์เซน่อล

วิลเลียน – 8/10

ปีกชาวบราซิลย้ายข้ามฟากจาก เชลซี มาอยู่กับ อาร์เซน่อล แบบไร้ค่าาตัว ก่อนจะได้รับโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงทันทีในนัดแรก และเปิดตัวได้อย่างสุดปังด้วยการมีส่วนร่วมกับทั้งสามประตูที่เกิดขึ้น โดยทำไป 2 แอสซิสต์ ช่วยทีมบุกถล่ม ฟูแล่ม 3-0 และน่าจะกลายเป็นกำลังสำคัญของทีมได้ในซีซั่นนี้

กาเบรียล มากัลเญส – 8/10 

แม้จะเพิ่งย้ายมาจาก ลีลล์ ในลีก เอิง ฝรั่งเศส แต่ปราการหลังชาวบราซิลก็สามารถปรับตัวในพรีเมียร์ลีกได้อย่างรวดเร็ว ลงประเดิมเป็นตัวจริงเกมแรกก็สามารถทำประตูได้ทันทีจากลูกโหม่ง นอกจากนี้ยังช่วยทีมเก็บคลีนชีตได้อีกด้วย

เชลซี

ติโม แวร์เนอร์ – 8/10

ดาวยิงทีมชาติเยอรมันได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงให้ เชลซี ทันที โดยมีส่วนร่วมกับเกมค่อนข้างมาก พร้อมกับเรียกจุดโทษให้ทีมช่วยให้ "สิงห์บลูส์" บุกชนะ ไบรท์ตัน 3-1

ไค ฮาแวร์ทซ์ – 6/10

ถือเป็นสตาร์ใหม่ที่เริ่มต้นได้ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่นัก หลังจากมิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมันได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงให้ "สิงห์บลูส์" โดยได้ประจำการในตำแหน่งริมเส้นฝั่งขวา แต่ไม่ค่อยมีส่วนร่วมกับเกม และทำบอลเสียหลายครั้ง ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกไปในช่วงท้ายเกม

เอฟเวอร์ตัน

ฮาเมส โรดริเกซ – 7/10

 เป็นอีกหนึ่งสตาร์ดังที่ย้ายมาแล้วทำผลงานน่าประทับใจ โดยดาวเตะชาวโคลอมเบียมีส่วนร่วมกับเกมอย่างมาก โดยเฉพาะการวางบอลยาวได้อย่างแม่นยำ แล สร้างโอกาสยิงได้ถึง 5 ครั้งจนคว้า "แมน ออฟ เดอะ แมตช์" ช่วยให้ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" บุกไปชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 1-0

อัลลัน – 8/10

 เป็นแข้งใหม่อีกหนึ่งรายที่เปิดตัวด้วยผลงานน่าประทับใจกับ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ลงประจำการเป็นมิดฟิลด์ตัวรับเล่นได้อย่างแข็งแกร่ง คอยทำหน้าที่ตัดเกมจนทำให้นักเตะจาก สเปอร์ส โชว์ฟอร์มกันไม่ออก

อับดูลาย ดูกูเร่ – 7/10

มิดฟิลด์เลือดน้ำหอมช่วยกันเล่นเกมรับร่วมกับ อัลลัน ได้อย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการเล่นลูกกลางอากาศ และเข้าปะทะได้อย่างยอดเยี่ยม

ลีดส์ ยูไนเต็ด

โรดริโก้ – 5/10

กองหน้าทีมชาติสเปนถือเป็นสตาร์ความหวังใหม่ของทัพ "ยูงทอง" เลยก็ว่าได้ หลังย้ายจาก บาเลนเซีย มาด้วยค่าตัวสถิติใหม่สโมสร 30 ล้านปอนด์ อย่างไรก็ตามดาวเตะวัย 29 ปี เปิดตัวได้น่าผิดหวังลงมาเป็นตัวสำรองในครึ่งหลัง ก่อนจะทำให้ทีมเสียจุดโทษ และทำให้ ลีดส์ ยูไนเต็ด บุกไปแพ้ ลิเวอร์พูล ไแบบหวุดหวิด 3-4

เลสเตอร์ ซิตี้

ติโมธี คาสตานเญ่ – 8/10

 เลสเตอร์ ซิตี้ จัดการคว้าแบ๊กซ้ายชาวเบลเยียมมาจาก อตาลันต้า เพื่อมาแทน เบน ชิลเวลล์ ที่ย้ายไป เชลซี ก่อนที่ คาสตานเญ่ จะทำผลงานโดดเด่นโดยได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในตำแหน่งแบ๊กขวา และทำประตูแรกได้ทันทีจากลูกโหม่ง ช่วยให้ทีม "จิ้งจอก" บุกชนะ เวสต์ บรอมวิช 3-0

นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด

คัลลั่ม วิลสัน – 8/10

 ดูเหมือน นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด จะได้ดาวยิงคุณภาพที่ตามหามานาน หลังจาก กองหน้าดีกรีทีมชาติอังกฤษเปิดตัวได้อย่างยอดเยี่ยมทำได้หนึ่งประตูช่วยให้ทัพ "สาลิกาดง" บุกชนะ เวสต์ แฮม 2-0 ซึ่งถือเป็นการเสริมทัพได้ตรงจุดเนื่องจาก โชเอลินตอน กองหน้าชาวบราซิลทำผลงานน่าผิดหวังจากการย้ายมาด้วยค่าตัวสถิติสโมสรในฤดูกาลที่แล้ว แต่กลับยิงได้เพียง 2 ประตูในลีกเท่านั้น

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์

ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก – 6

กองกลางทีมชาติเดนมาร์กได้ลงเป็น 11 ตัวแรกให้กับ "ไก่เดือยทอง" ทันที หลังย้ายมาจาก เซาธ์แฮมป์ตัน แต่ก็ไม่สามารถช่วยทีมสู้กับแดนกลางของ เอฟเวอร์ตัน ได้เลย

แมตต์ โดเฮอร์ตี้ – 6

 ฟูลแบ๊กชาวไอริชทำผลงานสุดโหดกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ฤดูกาลที่แล้วทำประตู และแอสซิสต์ได้เป้นกอบเป็นกำ ก่อนจะย้ายมาเล่นให้ สเปอร์ส โดยเกมดวล เอฟเวอร์ตัน เขาได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงทันที และมีโอกาสที่จะทำประตูได้จากจังหวะหลุดเดี่ยวไปยิงแต่โดน จอร์แดน พิคฟอร์ด เซฟไปได้หวุดหวิด และโดนเปลี่ยนตัวออกในช่วงครึ่งหลัง 

ฮาแวร์ทซ์เงียบ-แวร์เนอร์เรียกโทษ! เชลซีบุกอัดไบรท์ตัน-ลัลลาน่าเจ็บอีก

"สิงห์บลูส์" ประเดิมสามแต้มแรกฤดูกาลใหม่ได้สำเร็จ หลังบุกไปคว้าชัยเหนือ ไบรท์ตัน 3-1 เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา เกมนี้สตาร์ป้ายแดงทั้ง ติโม แวร์เนอร์ และไค ฮาแวร์ทซ์ ต่างได้ออกสตาร์ทตัวจริงทั้งคู่ กระนั้นข่าวร้ายของไบรท์ตันคือต้องเสีย อดัม ลัลลาน่า ที่บาดเจ็บเล่นได้แค่ครึ่งเดียว

    เกมที่ เอเม็กซ์ สเตเดี้ยม เป็นเกมประเดิมสนามนัดแรกของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่น 2020-21 ระหว่างเจ้าถิ่น ไบรท์ตัน เปิดบ้านรับการมาเยือนของ เชลซี

    แกรม พ็อตเตอร์ เกมนี้มาพร้อมเต็มสูบแนวรุกวางหน้าคู่เป็น เลอันโดร ทรอสซาร์ และนีล โมเปย์ โดยใช้ อดัม ลัลลาน่า มิดฟิลด์ที่เพิ่งคว้ามาจาก "หงส์แดง" คอยขับเคลื่อนเกมกลางสนาม

    ขณะที่ฝั่งของ "สิงห์บลูส์" ของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ประเดิมแข้งหน้าใหม่ทั้ง  ไค ฮาแวร์ทซ์ และติโม แวร์เนอร์ ลงเป็นตัวจริงเกมแรก โดยมี เมสัน เมาน์ท สนับสนุนร่วมกับ รูเบน ลอฟตัน-ชีค และเอ็นโกโล่ ก็องเต้

    เปิดฉากมาครึ่งแรก นาทีที่ 5 เจ้าถิ่นไบรท์ตันทักทายก่อนเลยหลัง อดัม เว็บสเตอร์ เติมขึ้นสูงก่อนส่องด้วยขวานอกกรอบ บอลพุ่งเหินคานออกไปไกล

    โอกาสลุ้นหนแรกของทีมเยือน ต้องรอถึงนาที 19 เมสัน เมาน์ท เปิดเข้ากลางให้ ติโม แวร์เนอร์ พยายามเช็ดบอลไปเสาสองแต่ไปแฉลบแนวรับเจ้าถิ่นก่อนเข้ามือ แม็ทธิว ไรอัน

    กระนั้นอีก 2 นาทีต่อมา "สิงห์บลูส์" มาได้ลูกที่จุดโทษ หลังเจ้าถิ่นทำเสียบอลกลางสนามโดน จอร์จินโญ่ แทงบอลให้ ติโม แวร์เนอร์ หลุดเข้าไปแตะหลบ แม็ทธิว ไรอัน ก่อนโดนนายด่านเจ้าถิ่นขวางล้มลงในกรอบ ผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษทันที ก่อนที่
จอร์จินโญ่ จะเป็นมือสังหารซัดจุดโทษเข้าไปไม่พลาดในนาที 23 ให้ เชลซี บุกมานำไบรท์ตัน 1-0

    เจ้าถิ่นหลังเสียประตูพยายามโหมบุกเพื่อทวงตีเสมอให้ได้ นาที 26 ได้ลุ้นจากจังหวะที่ ทาริก แลมป์ตีย์ ครอสบอลไปเสาแรกให้ นีล โมเปย์ โฉบมาโขกแต่บอลไปโดนหัวไหลสุดท้ายไปเข้ามือ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า

    นาที 35 สตีเว่น อัลซาเต้ กระชากเข้าหน้ากรอบก่อนตะบันด้วยซ้ายบอลพุ่งไปเสียบเสาไกลแล้ว แต่ยังโดน เกป้า พุ่งปัดออกไป บอลมาเข้าทางปืน ซอลลี่ มาร์ช ซ้ำด้วยซ้ายไปติดบล็อค อันเดรียส คริสเตนเซ่น

    นาที 45 ไบรท์ตัน ต้องเปลี่ยนตัวคนแรกหลัง อดัม ลัลลาน่า ห้องเครื่องคนใหม่มีอาการเจ็บเล่นต่อไม่ไหวทำให้ต้องส่ง อารอน คอนนอลลี่ ลงมาเล่นแทน

    ช่วงทดเจ็บ นาที 45+2 ติโม แวร์เนอร์ เกือบเบิกสกอร์แรกให้ต้นสังกัดใหม่อย่างเป็นทางการ หลังกระชากหนีแนวรับเจ้าถิ่นเข้าไปซัดมุมแคบ แต่ยังไปติดเซฟของ เกป้า ที่ปัดออกหลังหวุดหวิด

    จบครึ่งแรก ไบรท์ตัน ตามหลัง เชลซี 0-1

    กลับมาเล่นต่อในครึ่งหลัง นาที 47 เจ้าบ้านเกือบได้ลุ้นตีเสมอ ซอลลี่ มาร์ช กระชากหลบแข้งสิงห์บลูส์ก่อนหนีตัวประกบถึงเส้นหลังแล้วครอสไปเสาแรกให้ คอนนอลลี่ เข้าชาร์ทเสาแรกหลุดกรอบไป

    เกมรุกของไบรท์ตันเกือบแผลงฤทธิ์อีก อีก 2 นาทีต่อมา ทาริก แลมป์ตีย์ อดีตเด็กปั้นของเชลซีเองกระชากบอลแหวกอลอนโซ่ และเมสัน เมาน์ท เข้าไปซัดด้วยขวาเสาแรกบอลพุ่งแรกไปติด คูร์ท ซูม่า ออกหลัง

    แต่แล้ว นาที 54 ความพยายามของ ไบรท์ตัน มาประสบผลสำเร็จไล่ตีเสมอ 1-1 จากจังหวะที่ ทาริก แลมป์ตีย์ ที่เล่นได้โดดเด่นไหลบอลเข้ากลางให้ เลอันโดร ทรอสซาร์ ตะบันด้วยซ้ายเต็มแรงนอกกรอบ บอลพุ่งหนีมือ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า เสียบ
โคนเสาสองไปอย่างสวยงาม

    ทว่าอีก 2 นาทีถัดมา นาที 56 ลูกทีมของแฟร้งค์ แลมพาร์ด มาแซงขึ้นนำ 2-1 จากความยอดเยี่ยมของ รีซ เจมส์ แบ็กขวาดาวรุ่งของ เชลซี ที่ซัดเต็มข้อด้วยขวานอกกรอบ บอลพุ่งติดไซด์หนีมือ แม็ทธิว ไรอัน เสียบมุมสามเหลี่ยมชนิดงามหยด
ย้อย

    นาที 66 เชลซี มาได้ประตูนำห่างเจ้าบ้าน 3-1 บอลต่อเนื่องจากจังหวะเตะมุม รีซ เจมส์ เปิดมาให้ คูร์ท ซูม่า ตวัดยิงด้วยขวาหน้ากรอบไปแฉลบ อดัม เว็บสเตอร์ เปลี่ยนทางเข้าประตูตัวเองไป ก่อนจะให้เครดิต ซูม่า เป็นผู้ทำประตู

    นาที 80 ไบรท์ตันได้ลุ้นจากจังหวะที่ อลิเรซ่า ยาฮานบาคช์ แข้งสำรองที่เพิ่งลง ผ่านบอลให้ อารอน คอนนอลลี่ แต่บอลยังไม่ผ่านมือ  เกปา อาร์รีซาบาลาก้า

    ช่วงเวลาที่เหลือเจ้าบ้านไล่ไม่ทัน จบเกม ไบรท์ตัน แพ้คาบ้านให้ เชลซี 1-3

    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
   
        ไบรท์ตัน (3-4-1-2): แม็ทธิว ไรอัน – เบน ไวท์ (ปาสกาล กรอสส์ น.79), ลูอิส ดังค์, อดัม เว็บสเตอร์ – ทาริก แลมป์ตีย์, สตีเว่น อัลซาเต้ (อลิเรซ่า ยาฮานบาคช์ น.79), อีฟส์ บิสซูม่า, ซอลลี่ มาร์ช – อดัม ลัลลาน่า (อารอน คอนนอลลี่ น.45) – เลอัน
โดร ทรอสซาร์, นีล โมเปย์

        เทรนเนอร์ : แกรม พ็อตเตอร์

        เชลซี (4-3-3): เกปา อาร์รีซาบาลาก้า – รีซ เจมส์, คูร์ท ซูม่า, อันเดรียส คริสเตนเซ่น, มาร์กอส อลอนโซ่ – รูเบน ลอฟตัน-ชีค (รอสส์ บาร์คลี่ย์ น.61), เอ็นโกโล่ ก็องเต้, จอร์จินโญ่ (เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า น.85) – ไค ฮาแวร์ทซ์ (คัลลัม ฮัดสัน-โอดอน
น.80),  ติโม แวร์เนอร์, เมสัน เมาน์ท

ดอนนี่ลงโชว์,แนวรุกฟูลทีม!คาดการณ์11ตัวจริงแมนยูเกมเปิดซีซั่นฉะพาเลซ

"ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมรูดม่านเปิดฉากศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำฤดูกาล 2020/21 อย่างเป็นทางการในค่ำคืนวันเสาร์นี้ โดยจะเปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด รับมือ คริสตัล พาเลซ ของกุนซือ รอย ฮ็อดจ์สัน ที่เปิดหัวซีซั่นได้แจ่มไม่น้อย ด้วยการสอย เซาธ์แฮมป์ตัน 1-0 เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน

ถึงแม้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม "ปีศาจแดง" อาจจะต้องเช็คความฟิตนักเตะหลายคน แต่ก็น่าจะจัดทีมที่แข็งแกร่งลงฟัดกับ "ดิ อีเกิ้ลส์" ได้ เพื่อลุ้นเก็บ 3 คะแนนประเดิมซีซั่นใหม่ และนี่คือโฉมหน้า 11 ผู้เล่นตัวจริงของ แมนฯ ยูไนเต็ด สำหรับเกมคืนวันนี้ ซึ่งคาดการณ์โดยเว็บไซต์ theunitedstand.com (ระบบ 4-2-3-1)

– ผู้รักษาประตู : ดาบิด เด เคอา
ยังไงตำแหน่งโกลตัวจริงก็หนีไม่พ้น เด เคอา ถึงแม้ ดีน เฮนเดอร์สัน โชว์ฟอร์มได้สุดยอดระหว่างยืมตัวกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เมื่อซีซั่นก่อนก็ตาม

– แบ็กขวา : อารอน วาน-บิสซาก้า
หากไม่เดี้ยงหนัก หรือมีปัญหาอะไรกวนใจ แทบจะการันตีตำแหน่งตัวจริงไปเลยสำหรับ วาน-บิสซาก้า

– เซนเตอร์แบ็ก : วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ
ถึงแม้ฟอร์มช่วงหลังๆ ดูไม่ค่อยดี แถมล้ามาจากการกลับไปเล่นให้ทีมชาติสวีเดน แต่ ลินเดอเลิฟ ก็น่าจะพร้อมลงเป็นตัวจริงในเกมเปิดซีซั่นคืนนี้

– เซนเตอร์แบ็ก : แฮร์รี่ แม็กไกวร์
ยังคงเป็นกำลังสำคัญในแนวรับที่ทีมขาดไม่ได้ และคืนนี้ถึงเวลาที่กัปตัน แม็กไกวร์ ต้องเรียกศรัทธาจากแฟนบอล หลังไปก่อเรื่องฉาวที่ประเทศกรีซ
 – แบ็กซ้าย : ลุค ชอว์
ฟิตสมบูรณ์ พร้อมสตาร์ทเป็นตัวจริงทางฝั่งซ้ายแน่นอน

 – มิดฟิลด์ตัวกลาง : เนมานย่า มาติช
ไม่มีปัญหาเรื่องความฟิต และน่าจะครองตำแหน่งตัวจริงในเกมนี้ หลังมีผลงานดีตั้งแต่ซีซั่นที่แล้ว

 – มิดฟิลด์ตัวกลาง : ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค
ด้วยการที่ ปอล ป็อกบา ยังไม่ฟิตเต็มร้อย ทำให้มีโอกาสสูงมากๆ ที่แข้งใหม่อย่าง ฟาน เดอ เบ็ค จะได้สตาร์ทเป็นตัวจริงให้บรรดาสาวก "ปีศาจแดง" ได้ยลฝีเท้า
 
 – มิดฟิลด์ตัวรุก : บรูโน่ แฟร์นันด์ส
ได้ลงปั้นเกมรุกให้ แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างแน่นอน สำหรับ "เดอะ แบก" ชาวโปรตุกีส 
 
 – ปีกขวา : เมสัน กรีนวู้ด
ถึงแม้ไม่ใช้ปีกขวาโดยธรรมชาติ แต่ กรีนวู้ด น่าจะยังคงถูกเลือกเป็นตัวจริงในตำแหน่งนี้มากกว่า แดเนี่ยล เจมส์ หลังทำผลงานได้ดีในซีซั่นก่อน

 – ปีกซ้าย : มาร์คัส แรชฟอร์ด
ไม่มีปัญหาเรื่องความฟิต ได้สตาร์ทเป็นตัวจริงชัวร์ สำหรับ สตาร์ทีมชาติอังกฤษวัย 22 ปี

 – กองหน้าตัวเป้า : อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล
อาจจะต้องเช็คความฟิต แต่ไม่น่าจะมีปัญหาสำหรับ ดาวยิงเฟร้นช์แมนวัย 24 ปี ที่กระทุ้งไป 23 ประตูเมื่อฤดูกาลที่แล้ว 
   

หงส์,สิงห์,จิ้งจอก,ทอฟฟี่,สาลิกา! เจาะทีมดังพรีเมียร์ลีก เปิดม่านฤดูกาล 2020/21 ภาคแรก

พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020/21 เตรียมเปิดฉากขึ้นในสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งแต่ละทีมจะมีความพร้อมอย่างไร ได้ผู้เล่นคนไหนเข้าสู่ทีมบ้าง ในสกู๊ปนี้เราจะพาแฟนๆ ไปเช็กข้อมูลกัน เพื่อเรียกความพร้อมก่อนศึกใหญ่ปีนี้จะเริ่มขึ้น

 ลิเวอร์พูล : ภารกิจป้องกันแชมป์!

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน สวมบทมหาบุรุษผู้ปลดแอกแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่เหล่าสาวก "เดอะ ค็อป" เฝ้ารอคอยมานานถึง 30 ปีได้สำเร็จ หลังจากนำทีมระเบิดฟอร์มสุดยอดเมื่อฤดูกาล 2019/2020 พร้อมทำแต้มทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมอันดับ 2 แบบไม่เห็นฝุ่นถึง 18 คะแนน

คล็อปป์ สร้างผลงานสุดอลังการด้วยการนำทัพ "หงส์แดง" สะกดคำว่าแพ้ในแอนฟิลด์ ไม่เป็นในเกมลีก นับตั้งแต่เกมที่พ่ายให้ คริสตัล พาเลซ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2017 ขณะเดียวกันเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ไร้พ่ายไปถึง 27 เกมก่อนจะโดน "แตนอาละวาด" วัตฟอร์ด ต่อยตาปูดด้วยสกอร์ 0-3 ทำให้พวกเขาต้องพบกับคำว่าแพ้เป็นเกมแรกของฤดูกาล พร้อมทั้งหยุดสถิติไร้พ่ายเอาไว้ที่ 44 นัดติดต่อกัน

อย่างไรก็ตาม ผลงานของ ลิเวอร์พูล เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ เพราะพวกเขาสามารถเก็บแต้มได้ถึง 99 คะแนนทุบสถิติเดิม 97 คะแนนในซีซั่น 2018/2019 และเป็นสถิติเก็บแต้มได้สูงสุดในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร ก่อนจะนำโทรฟี่แชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี มาประดับเอาไว้ในตู้โชว์ที่สนามแอนฟิลด์ได้สำเร็จ

สำหรับภารกิจประจำฤดูกาล 2020/2021 นั่นก็คือการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีก เอาไว้ให้ได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะ แมนฯ ซิตี้ ยังคงเป็นทีมเต็งหนึ่งที่จะคว้าแชมป์ในซีซั่นใหม่นี้ ขณะที่ เชลซี ทุ่มเงินไม่อั้นในการเสริมทัพ สำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตอนนี้กำลังเข้ารูปเข้ารอยตามแบบที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ต้องการ

ขณะที่ เอฟเวอร์ตัน ก็พร้อมสู้เต็มสูบหลังมีการเสริมแกร่งต่อเนื่อง ด้าน อาร์เซน่อล ดูเหมือนว่านักเตะเริ่มเข้าใจปรัชญาการทำทีมของกุนซือมิเกล อาร์เตต้า แถมพวกเขายังได้แชมป์มาแล้ว 2 รายการ (เอฟเอ คัพ กับ คอมมิวนิตี้ ชิลด์) ยิ่งเพิ่มความมั่นใจมากขึ้น และยังมีอีกหลายทีมที่พร้อมสร้างเซอร์ไพรส์ในฤดูกาลใหม่นี้

– การเสริมทัพ

 "หงส์แดง" คว้าตัว คอสตาส ซิมิคาส แบ็กซ้ายดีกรีทีมชาติกรีซ มาจาก โอลิมเปียกอส ด้วยค่าตัว 11.75 ล้านปอนด์ (ประมาณ 481.75 ล้านบาท) เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่น่าเสียดายที่ช่วงต้นฤดูกาลใหม่นักเตะอาจจะไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีมเนื่องจากถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะเดียวกันพวกเขามีข่าวสนใจ ติอาโก้ อัลกันตาร่า จอมทัพ "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค แต่ตอนนี้ยังติดปัญหาเรื่องค่าตัวของนักเตะ อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ "เดอะ เร้ดส์" ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวในเรื่องการเสริมทัพ แต่ดูเหมือน คล็อปป์ อาจจะเลือกให้โอกาสผู้เล่นดาวรุ่ง โดยเฉพาะในช่วงอุ่นเครื่องที่ผ่านมามีแข้งสายเลือดใหม่ได้รับโอกาสลงสนามหลายคนเลยทีเดียว

– ดาวเด่นที่น่าจับตามอง

ด้วยการที่ ลิเวอร์พูล เพิ่งจะได้ตัว ซิมิคาส มาเสริมแกร่งแค่คนเดียวเท่านั้น ขณะที่ในรายของ ติอาโก้ ก็ยังเป็นเพียงแค่ข่าวลือ ฉะนั้นดาวเด่นที่น่าจับตามองของพวกเขาคงหนีไม่พ้นบรรดานักเตะยังบลัด ที่ คล็อปป์ เตรียมดันขึ้นมาจากทีมเยาวชนมาเล่นทีมชุดใหญ่มากขึ้นได้แก่ เคอร์ติส โจนส์, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์, เนโก วิลเลี่ยมส์, เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก, นาธาเนียล ฟิลลิปส์, คี-ยาน่า ฮูแฟร์, บิลลี่ คูเมติโอ และ ริอาน บรูว์สเตอร์ ซึ่งรายหลังนี้ถูกส่งไปฝึกปรือฝีเท้าแบบยืมตัวกับ สวอนซี ซิตี้ แล้วก็ทำผลงานได้ดีในเกมอุ่นเครื่องที่ผ่านมา ขณะที่ ทาคุมิ มินามิโนะ ยิ่งเล่นยิ่งพัฒนา คาดว่าในฤดูกาลใหม่ เขาจะได้รับโอกาสจะ คล็อปป์ มากขึ้น

– คีย์แมน

สำหรับฤดูกาล 2020/2021 ผู้เล่นสำคัญของ ลิเวอร์พูล ยังคงหนีไม่พ้น 3 ประสาน "หิน เหล็ก ไฟ" ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่จะคอยทำหน้าที่ไล่ล่าตาข่ายคู่แข่งเช่นเดิม ในขณะที่แดนกลาง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีม ยังคงเป็นหัวใจในแผงมิดฟิลด์ ส่วนที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ 2 ฟูลแบ็กซ้ายขวา แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ซึ่งทั้งสองคนมีส่วนสำคัญกับความสำเร็จของทีมในช่วง 2 ซีซั่นที่ผ่านมา จากความสามารถในการแอสซิสต์ที่เฉียบคม ส่วน เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ หัวใจในเกมรับและอันตรายทุกครั้งในจังหวะเล่นลูกฟรีคิก สุดท้ายตำแหน่งผู้รักษาประตู อลีสซง เบ็คเกอร์ มือ 1 ของทีม จะทำหน้าที่เป็นปราการด่านสุดท้ายเพื่อให้แนวรับของ "เดอะ เร้ดส์" มีความสมบูรณ์แบบ

เชลซี : ช็อปไม่ยั้ง หวังลุ้นสู้หงส์-เรือใบ

 แม้ปราชัยให้กับ อาร์เซน่อล 1-2 ในเกมรอบชิงฯ เอฟเอ คัพ ฤดูกาลก่อน แต่ผลงานของ เชลซี ภายใต้การนำทัพครั้งแรกของตำนานสโมสรอย่าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่พาทีมจบอันดับสี่ในลีก ถือว่าไม่เลวเลย เพราะต่อให้เสียประตูเยอะ (54 ลูก ซึ่งมากสุดในกลุ่ม 10 อันดับแรก) แต่ก็ยิงคู่แข่งได้แยะเช่นกัน (69 ลูก ซึ่งเป็นรองแค่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล เท่านั้น) ถือเป็นทีมที่เอนเตอร์เทนแฟนบอลได้เป็นอย่างดี แต่ซีซั่น 2020/21 ที่กำลังจะมาถึง พวกเขาไม่ได้มาแบบขำๆ อีกต่อไป แถมอาจจะคิดการใหญ่ถึงขั้นหวังเบียดลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก เลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลยอะไรนัก หากพิจารณาถึงการเดินหน้าเสริมทัพชนิดบ้าคลั่งตามสไตล์เศรษฐีโมโหในช่วงซัมเมอร์นี้ของพวกเขา

– การเสริมทัพ

หลังจากที่ไม่สามารถซื้อใครได้ในช่วงถูกแบน พอพ้นโทษ เชลซี เลยจัดหนักในช่วงซัมเมอร์นี้ ด้วยการดึงแข้งสตาร์ดังอย่าง ฮาคิม ซิเยค (36 ล้านปอนด์, จาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม), ติโม แวร์เนอร์ (47.7 ล้านปอนด์, จาก แอร์เบ ไลป์ซิก), เบน ชิลเวลล์ (45.18 ล้านปอนด์, จาก เลสเตอร์ ซิตี้) และ ไค ฮาแวร์ตซ์ (72 ล้านปอนด์, จาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น) มาเสริมทัพ ซึ่งสี่คนนี้มีมูลค่ารวมกันทะลุ 200 ล้านปอนด์ (ประมาณ 8,200 ล้านบาท)

แถมยังได้ของฟรีคุณภาพสูงอย่าง ติอาโก้ ซิลวา เซนเตอร์แบ็กจอมเก๋าชาวบราซิเลียน และสองกองหลังดาวรุ่งอย่าง มาล็อง ซาร์ และ ซาเวียร์ เอ็มบูยัมบ้า อีกด้วย ถือเป็นซัมเมอร์ที่ "สิงห์บลูส์" เสริมทัพได้โหดสะใจแฟนบอลดีแท้ และไม่น่าจะหยุดอยู่เพียงแค่นี้ โดยเฉพาะในตำแหน่งผู้รักษาประตูที่น่าจะมีตัวใหม่เข้ามาเสริมในอีกไม่ช้า ดังนั้นการเสียแข้งตัวรุกเก๋าประสบการณ์อย่าง วิลเลี่ยน และ เปโดร จึงไม่น่าส่งผลกระทบอะไรมาก แต่แน่นอนว่า หลังจากนี้ เชลซี คงต้องมีการปล่อยหรือขายผู้เล่นบางคนออกไปด้วย 

– ดาราใหม่น่าจับตา

เชลซี มีนักเตะหน้าใหม่ที่น่าจับตามองเพียบ แต่คนที่ถูกโฟกัสมากเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้น ฮาแวร์ตซ์ ที่ก่อนหน้านี้แทบจะได้รับความสนใจจากทุกสโมสรระดับท็อป ก่อนที่จะเป็น "สิงห์บลูส์" ที่สอยตัวมาร่วมก๊วนได้สำเร็จ การมาของ ฮาแวร์ตซ์ ทำให้ แลมพาร์ด มีทางเลือกหลากหลายในการเล่นเกมรุก เพราะ ดาวเตะทีมชาติเยอรมนีวัย 21 ปีคนนี้ เป็นตัวรุกโดยธรรมชาติ เล่นได้ทั่วในแดนหน้า ทั้งมิดฟิลด์ตัวรุก, ปีก, หน้าเป้า, หน้าต่ำ ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับ "แลมพ์ส" ว่า จะสามารถใช้งานและดึงศักยภาพที่แท้จริงของ ฮาแวร์ตซ์ ออกมาได้มากน้อยเพียงใด

– คีย์แมน

ถึงแม้มีปัญหาบาดเจ็บรบกวนเป็นระยะ แต่ซีซั่นแรกของ พูลิซิช ในเวที พรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ถือว่ามีผลงานที่น่าพอใจเลยทีเดียว (ลงเล่น 25 นัด, ทำได้ 9 ประตู) ดังนั้นฤดูกาล 2020/21 ที่กำลังจะถึงนี้ จึงถือเป็นฤดูกาลสำคัญของ ดาวเตะชาวอเมริกันวัย 21 ปี ที่จะได้แสดงให้ทุกคนเห็นว่า เขาพร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทีมและเป็นตัวความหวังของทีม เหมือนกับที่ เอแด็น อาซาร์ เคยสร้างความยิ่งใหญ่เอาไว้ภายใต้สีเสื้อตัวนี้ เพราะหากมองถึงศักยภาพโดยรวมแล้ว พูลิซิช ก็มีดีไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่า อาซาร์ เลย

เลสเตอร์ ซิตี้ : จิ้งจอกยังบลัด

น่าเสียดายแทนสาวก ‘เดอะ ฟ็อกซ์’ เสียเหลือเกินที่ซีซั่นก่อนพลาดโควตาตั๋ว แชมเปี้ยนส์ ลีก ในเกมสุดท้าย หลังหลุดฟอร์มตอนช่วงท้ายฤดูกาล

เลสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทัพของ แบรนแดน ร็อดเจอร์ส ออกสตาร์ทฤดูกาล 2019/20 ดีเกินความคาดหมาย ทำคะแนนเกาะกลุ่มหัวตารางมาโดยตลอด ทว่ามาเจอปัญหาตัวผู้เล่นหลักมีอาการบาดเจ็บหลายคน ทั้ง เบน ชิลเวลล์, ริคาร์โด้ เปเรยร่า และ เจมส์ แมดดิสัน ทำให้การจัดการไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่

อย่างไรก็ตาม การที่พวกเขาติดท็อป 5 ของ พรีเมียร์ลีก นับว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยม และดาวรุ่งหลายคนที่ได้โอกาสช่วงท้ายซีซั่น กลับส่งผลดีในเวลาต่อมา ซึ่งแน่นอนว่าฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น ‘จิ้งจอกสีน้ำเงิน’ ก็ยังเป็นทีมที่น่าจับตามองที่บรรดายักษ์ใหญ่ในลีกประมาทไม่ได้

– การเสริมทัพ

ขุมกำลังของ เลสเตอร์ ซิตี้ ในปีนี้ แม้พวกเขาเสีย ชิลเวลล์ แบ็กซ้ายดีกรีทีมชาติอังกฤษให้แก่ เชลซี ด้วยค่าตัว 50 ล้านปอนด์ แต่ก็ได้ ทิโมธี กาสตานเย่ ฟูลแบ็กทีมชาติเบลเยียมจาก อตาลันต้า เข้ามาเป็นกำลังเสริมด้วยค่าตัว 21.5 ล้านปอนด์

– ดาราน่าจับตา

ฮาวี่ย์ บาร์นส์ ตัวรุกริมเส้นวัย 22 ปีที่แจ้งเกิดเต็มตัว และมักถูก ร็อดเจอร์ส ใช้งานอยู่เป็นประจำ รวมถึง วิลฟรีด เอ็นดีดี้ ตัวตัดเกมฝีเท้าดีที่ทำหน้าที่ปิดทองหลังพระชะลอเกมรุกฝั่งตรงข้าม ซึ่งสถิติบ่งชี้ว่า 8 นัดที่ เอ็นดีดี้ ลงสนามน้อยกว่า 30 นาที หรือไม่ได้ลงเลย เลสเตอร์ คว้าชัยชนะแค่ 2 เกมเท่านั้น ส่วนอีก 4 เกมแบ่งเป็น เสมอ 3 และ แพ้ 3

คีย์แมน

แม้ เจมี่ วาร์ดี้ จะอายุเข้าสู่วัย 33 ปี แต่ผลงานกลับสุดปังคว้าดาวซัลโวของ พรีเมียร์ลีก เมื่อซีซั่นที่แล้ว ซึ่งตลอดการเล่นบนเวทีสูงสุดอังกฤษ 5 ปีหลังสุด เจ้าตัวการันตีซัดประตูได้อย่างน้อย 10 ลูกทุกปี แน่นอนว่ายังไงเขาก็ยังเป็นหัวหอกเบอร์ 1 ของทีม เพราะตัวเลือกที่เหลือยังไม่มีใครดีพอที่จะขึ้นมาทดแทนเขาได้

เอฟเวอร์ตัน : มาเงียบๆ แต่ซื้อเพียบนะ

เอฟเวอร์ตัน กลายเป็นอีกหนึ่งทีมที่ได้รับการจับตามองก่อนที่ฤดูกาล 2019/20 จะเปิดฉากขึ้น หลังจากพวกเขาเสริมผู้เล่นใหม่มาใน่ชวงซัมเมอร์ได้น่าสนใจทั้ง อังเดร โกเมส มิดฟิลด์ที่ดึงมาจาก บาร์เซโลน่า, มอยเซ่ เคน กองหน้าจาก ยูเวนตุส และ อเล็กซ์ อิโวบี้ ปีกจาก อาร์เซน่อล มาเสริมทัพ ทำให้แฟนๆต่างคาดหวังกับผลงานของทีมไว้สูงลิบ

อย่างไรก็ตามผลงานของ "ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน" ภายใต้การคุมทีมของ มาร์โก ซิลวา กลับย่ำแย่สุดๆ โดยถึงขั้นเคยพาทีมแพ้ 4 เกมรวดในพรีเมียร์ลีกมาแล้ว ก่อนที่สุดท้ายจะกระเด็นตกเก้าอี้ไปตามคาด หลังจากเกมที่แพ้ ลิเวอร์พูล 2-5 เมื่อต้นเดือนธันวาคมปีที่แล้ว

ก่อนที่ เอฟเวอร์ตัน จะสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการดึง คาร์โล อันเชล็อตติ นายใหญ่จอมเก๋าเข้ามากุมบังเหียนแทน และพาทีมกลับมาทำผลงานดีขึ้นแต่สุดท้ายก็พาทีมประคองตัวจบด้วยการรั้งที่ 12 ของตารางเท่านั้น ซึ่่งในฤดูกาลหน้าน่าติดตามต่อไปว่าเมื่อ อันเช่ ได้เสริมผู้เล่นหน้าใหม่ตามที่ต้องการจะสามารถพาทีมบินสูงได้ถึงไหนกับซีซั่นที่กำลังจะเปิดฉากขึ้น

– การเสริมทัพ

ช่วงตลาดซัมเมอร์นี้ เอฟเวอร์ตัน สร้างความฮือฮาได้ไม่น้อยเลยทีเดียวเมื่อได้ตัว อัลลัน มิดฟิลด์จาก นาโปลี ด้วยค่าตัว 22 ล้านปอนด์ (ประมาณ 902 ล้านบาท) ต่อด้วย ฮาเมส โรดิเกซ จอมทัพชาวโคลอมเบีย จาก เรอัล มาดริด ในราคา 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 820 ล้านบาท) และล่าสุดอย่าง อับดูลาย ดูคูเร่ มิดฟิลด์จาก วัตฟอร์ด อยู่ที่ราว 20 ล้านปอนด์

– ดาราใหม่น่าจับตา

หากดูจากชื่อชั้นแล้วคงจะต้องยกให้กับดีลของ ฮาเมส โรดิเกซ แม้ว่าดาวเตะชาวโคลอมเบียจะแทบไม่ได้ลงเล่นกับ เรอัล มาดริด ในซีซั่นที่ผ่านมาเลย แต่หากพูดถึงเรื่องประสบการณ์ และเรื่องฝีเท้าต้องยอมรับว่าเขาก็ยังอยู่ในระดับหัวแถวของยุโรป ยิ่งไปกว่านั้นการได้กลับมาร่วมงานกับ อันเชล็อตติ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวร่วมกันมาถึง 2 สโมสรทั้ง เรอัล มาดริด และ บาเยิร์น มิวนิค น่าจะทำให้เขาปรับตัวได้ง่ายขึ้น

– คีย์แมน

สำหรับคีย์แมนคนสำคัญนั้นยังต้องยกให้กับคู่หูกองหน้าอย่าง ริชาร์ลิซอน และ โดมินิค คัลเวิร์ต เลวิน ที่ซัดไปคนละ 15 ประตูรวมทุกรายการในซีซั่นที่ผ่านมา ซึ่งการได้ตัวจ่ายบอลอย่าง ฮาเมส มาร่วมทีมก็อาจทำให้ทั้งคู่ผลิตสกอร์ได้มากขึ้น

นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด : ยักษ์หลับที่ยังรอวันตื่น

ความฝันของเหล่าแฟนบอล นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่จะได้เห็นทีมหลุดพ้นจากการครอบครองของ ไมค์ แอชลี่ย์ เจ้าของทีมที่พวกเขามองว่าบริหารทีมได้อย่างย่ำแย่ยังไม่สามารถเป็นความจริงได้สักที

ที่จริงก่อนหน้านี้มันเหมือนจะมีความหวังจากการที่กลุ่มทุนซาอุดิอาระเบียซึ่งนำโดย เจ้าชายโมฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งประเทศซาอุดิอาระเบีย พร้อมเข้าเทคโอเวอร์ทีมด้วยข้อเสนอสูงถึง 300 ล้านปอนด์ (ประมาณ 12,000 ล้านบาท) แต่สุดท้ายมันก็ล่มลงเป็นที่เรียบร้อย และเหล่าสาวก "ทูน อาร์มี่" ก็ต้องทนกับ แอชลี่ย์ ต่อไปอีก 1 ซีซั่น และหวังว่าสถานการณ์มันจะต่างจากฤดูกาลก่อนบ้าง

ซีซั่นที่แล้ว บรูซ เข้ามาคุม นิวคาสเซิ่ล เป็นซีซั่นแรก แต่เขาก็เหมือนกับหลายคนก่อนหน้านี้ที่ยังไม่สามารถพาทีมกลับขึ้นไปติดกลุ่มท็อปของตารางคะแนนได้ นิวคาสเซิ่ล ได้เพียงอันดับที่ 13 ของตารางคะแนน เท่ากับซีซั่น 2018-19 ภายใต้การคุมทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ เป๊ะ แถมที่จริงทีมของ บรูซ ยังชนะในลีกเพียง 11 นัดเท่านั้น แม้ว่าในศึก เอฟเอ คัพ นิวคาสเซิ่ล จะไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ จนเป็นการชดเชยการที่จอดป้ายตั้งแต่รอบ 2 ของศึก คาราบาว คัพ ได้ในระดับหนึ่ง แต่ผลงานโดยรวมก็ถือว่าน่าผิดหวังอยู่ดี

ในฤดูกาลที่แล้วถือว่า นิวคาสเซิ่ล ทำได้แย่ทั้งเกมรับและเกมรุก พวกเขายิงในลีกได้เพียง 38 ประตู ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 2006-07 ที่เคยทำได้ 38 ประตูเหมือนกัน นอกจากนี้พวกเขาก็เสียประตูถึง 58 ลูก เยอะที่สุดนับตั้งแต่ที่เคยเสียไป 65 ประตูในฤดูกาล 2015-16 ด้วย

ถ้าเกิด บรูซ ไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้แล้วล่ะก็ มันก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงโอกาสที่จะติด 10 อันดับแรกของตารางคะแนนเลย แค่การอยู่รอดปลอดภัยใน พรีเมียร์ลีก ต่อไปก็ดูเป็นงานยากสุดๆ ด้วยซ้ำ

– การเสริมทัพ

มาร์ค จิลเลสพี, ไนออล บรู๊คเวลล์, เจฟฟ์ เฮนดริค, ไรอัน เฟรเซอร์, คัลลั่ม วิลสัน และ จามาล ลูอิส คือบรรดานักเตะที่ นิวคาสเซิ่ล ได้มาร่วมทัพ ซึ่งนอกจาก บรู๊คเวลล์ แล้วนั้น ที่เหลือเป็นประเภทที่พร้อมเป็นขุมกำลังให้ทีมชุดใหญ่ทันทีทั้งหมด แถมมีเพียง 2 คนที่พวกเขาต้องเสียค่าตัวในการดึงมาอยู่กับทีม นั่นคือ วิลสัน และ ลูอิส

อย่างไรก็ตาม แค่ 2 คนนั้นก็มีค่าตัวรวมกัน 35 ล้านปอนด์เข้าไปแล้ว แบ่งเป็น 20 ล้านปอนด์ในดีลของ วิลสัน และ 15 ล้านปอนด์ที่เสียไปกับการเอา ลูอิส มาร่วมทีม ซึ่งมันดูเป็นค่าตัวที่สูงในระดับหนึ่งสำหรับการเอานักเตะจากทีมที่เพิ่งตกชั้นไปเล่นใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ มาร่วมทัพ

สำหรับส่วนที่ปล่อยออกไปนั้น มีแค่ แจ็ค โคลแบ็ค, ร็อบ เอลเลียตต์ และ เจมี่ สเตอร์รี่ ที่เคยถูกใส่ชื่ออยู่ในทีมชุดใหญ่ นั่นหมายความว่าการเสียทั้ง 3 คนไม่น่าจะส่งผลเสียกับขุมกำลังของ นิวคาสเซิ่ล มากนัก

– ดาราใหม่น่าจับตา

ถ้าจะบอกว่า วิลสัน คือหนึ่งในคนที่อาจจะมีส่วนสำคัญที่สุดในการชี้ชะตา นิวคาสเซิ่ล ในฤดูกาลนี้ก็คงไม่ผิดนัก ในฤดูกาล 2018-19 เขาเคยทำได้ 14 ประตู จากการลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก 30 นัดให้กับ บอร์นมัธ แต่พอถึงซีซั่นก่อนทำได้เพียง 7 ประตูจากการลงสนาม 35 เกม เรียกได้ว่าถ้าเกิดเขาโชว์ฟอร์มเก่งออกมาได้ นิวคาสเซิ่ล ก็น่าจะมีผลงานโดยรวมที่ดี แต่ถ้าทำไม่ได้มันก็จะกลายเป็นการเสียเงิน 20 ล้านปอนด์แบบไม่คุ้มค่าสุดๆ

– คีย์แมน

อัลแล็ง แซงต์-มักซิแม็ง คือคนที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดของ นิวคาสเซิ่ล เมื่อฤดูกาลก่อน เขามีค่าเฉลี่ยการเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งในลีกถึง 4.7 ครั้งต่อนัด และยังมีจังหวะผ่านบอลที่เป็นจังหวะสำคัญเฉลี่ย 1.3 ครั้งต่อเกมด้วย จนส่งผลให้ซีซั่นก่อนเขาทำไป 3 ประตูกับ 4 แอสซิสต์ จากการลงเล่นในลีก 26 เกม ถ้าเกิด แซงต์-มักซิแม็ง ทำผลงานได้ดีแบบคงเส้นคงวาแล้วล่ะก็ เขาก็จะทำให้เกมรุกของ นิวคาสเซิ่ล ไหลลื่นได้ดีเลยทีเดียว

“มินามิโนะ”ยิง1จ่าย1! ลิเวอร์พูลรัวไม่ซ้ำหน้าถล่มแบล็คพูลไส้แตก อุ่นส่งท้ายก่อนลุยพรีเมียร์

ลิเวอร์พูล จัดทีมชุดผสมไร้แข้งหลักบางรายที่ไปรับใช้ชาติทำศึกเนชั่นส์ ลีก ลงอุ่นเครื่องส่งท้ายก่อนพรีเมียร์ลีกจะเปิดฉากฤดูกาลใหม่ในสัปดาห์หน้า พลิกกลับมาถล่ม แบล็คพูล ทีมจากลีกวัน ไปด้วยสกอร์ 7-2 หลังโดนนำไปก่อนสองประตู และเป็นการยิงไม่ซ้ำหน้า โดยเกมนี้ ทาคูมิ มินามิโนะ และ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ โชว์ฟอร์มเด่นทำคนละ 1 ประตูกับ 1 แอสซิสต์

การแข่งขันฟุตบอลอุ่นเครื่องปรีซีซั่นประจำเสาร์ที่ 5 กันยายน 2563 ที่สนาม แอนฟิลด์ ระหว่าง ลิเวอร์พูล ที่ลงอุ่นเครื่องเป็นเกมที่ 3 ก่อนที่พรีเมียร์ลีก จะเปิดฤดูกาล พบ แบล็คพูล ทีมจากลีก วัน อังกฤษ

เกมนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล ขนผู้เล่นตัวหลักที่มีอยู่ลงสนามผสมดาวรุ่งบางตำแหน่ง โดยเหลือแข้งดังที่ไม่ได้ไปรับใช้ชาติทำศึกเนชั่นส์ ลีก นำโดยสามประสานแนวรุกทั้ง ซาดิโอ มาเน่, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ลงล่าตาข่าย ส่วนแนวรับให้โอกาสแข้งดาวรุ่งอย่าง คี-จาน่า โฮเวอร์ และ บิลลี่ คูเมติโอ ออกสตาร์ตเป็นตัวจริง โดยมี อลีสซง เบ็คเกอร์ ลงเฝ้าเสา

ครึ่งแรกเปิดฉากมา ลิเวอร์พูล ได้ครองเกมบุกใส่มากกว่าตามคาด แต่กลายเป็น แบล็คพูล มาได้ประตูขึ้นนำไปก่อน 1-0 ในนาที 16 จากจังหวะที่ บิลลี่ คูเมติโอ ไปพลาดบริเวณกลางสนาม ก่อนจะโดน ซีเจ ฮามิลตัน ฉกบอลได้แล้วลากมาซัดด้วยซ้ายในเขตโทษบอลพุ่งเสียบเสาเข้าไป อลีสซง เบ็คเกอร์ หมดสิทธิ์ป้องกัน

จากนั้น "หงส์แดง" พยายามเร่งเครื่องพยายามทวงประตูตีเสมอ และมาได้ลุ้น ในนาที 31 จากจังหวะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ไหลย้อนให้ ทาคูมิ มินามิโนะ วิ่งมาซัดด้วยซ้ายแต่บอลยังไปตรงตัว คริส แม็กซ์เวลล์ รับเข้าซอง

อย่างไรก็ตาม อลีสซง เบ็คเกอร์ พยายามออกมาตัดบอลแต่พลาดไปรวบใส่ เคชี่ แอนเดอร์สัน ล้มในเขตโทษผู้ตัดสินใชี้เป็นจุดโทษทันที ก่อนจะเป็น เจอร์รี่ ยาเตส รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่เหลือให้ แบล็คพูล นำห่างเป็น 2-0 ในนาที 33

แต่ถึงกระนั้น นาที 42 ลิเวอร์พูล ได้ประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-2 จากจังหวะเตะมุม ทาคูมิ มินามิโนะ เล่นสั้นไหลให้ เจมส์ มิลเนอร์ เปิดโค้งเข้าเขตโทษให้ โฌแอล มาติป ขึ้นโขกเน้นๆส่งบอลตุงตาข่าย

หลังจากนั้นทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ จบครึ่งแรก ลิเวอร์พูล ตามหลัง แบล็คพูล 1-2

ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล เปิดเกมบุกใส่ทันที และมาได้ลุ้น ใน นาที 51 โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ได้ส่องหน้าเขตโทษด้วยขวาแต่ คริส แม็กซ์เวลล์ พุ่งปัดออกหลังไปหวุดหวิด 

จากนั้นนาทีถัดมาความพยายามของ ลิเวอร์พูล ก็มาประสบผลสำเร็จไล่ตามตีเสมอเป็น 2-2 จากจังหวะที่ มาร์วิน เอกพีเตต้า สกัดบอลไม่ขาดไปติดบล็อค ซาดิโอ มาเน่ ก่อนในจังหวะแรก ก่อนที่บอลจะมาเข้าทางดาวยิงชาวเซเนกัลโหม่งซ้ำดาบสองโล่งๆเข้าไป ในนาที 52

เท่านั้นไม่พอ นาที 54 ทีมแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้ประตูพลิกขึ้นนำเป็น 3-2 อย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ ทาคูมิ มินามิโนะ กึ่งยิงกึ่งผ่านบอลไปเข้าทาง ฟีร์มีโน่ ยิงไขว้เข้าไปอย่างเหนือชั้น

เจ้าถิ่นยังครองเกมเหนือกว่าชัดเจนบุกใส่อย่างต่อเนื่อง จนมาได้ประตูนำ 4-2 จากจังหวะการประสานงานของสองตัวสำรองอย่าง ดิว็อค โอริกี้ จ่ายบอลทะลุช่องให้ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ หลุดเดี่ยวไปซัดด้วยซ้ายเข้าไปไม่เหลือ

ถัดมา นาที 71 "หงส์แดง" ได้ประตูที่ 5 จากจังหวะที่ ฟีร์มีโน่ จ่ายบอลให้ มินามิโนะ ที่เสาไกลจับก่อนหนึ่งจังหวะแล้วซัดระยะเผาขนส่งบอลตุงตาข่าย

เจ้าถิ่นยังไม่ผ่อนเกม นาที 85 เคอร์ติส โจนส์ หลุดมาถึงสุดเส้นหลังก่อนจะจ่ายเรียดไปเสาไกลให้ ดิว็อค โอริกี้ ซัดจ่อๆไม่เหลือให้ ลิเวอร์พูล นำเป็น 6-2

ถัดมาอีก 3 นาทีให้หลัง ลิเวอร์พูล ได้ประตูนำ 7-2 ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ กระดกบอลให้ เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก เติมขึ้นมาชาร์จจ่อๆเข้าไปไม่เหลือ

เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบเกม ลิเวอร์พูล ถล่ม แบล็คพูล 7-2
   
    รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อลีสซง เบ็คเกอร์ (อาเดรียน น.62) – คี-จาน่า โฮเวอร์, โฌแอล มาติป (เคอร์ติส โจนส์ น.46), บิลลี่ คูเมติโอ (นาธาเนียล ฟิลิปป์ น.46), เจมส์ มิลเนอร์ – ฟาบินโญ่ (เซป ฟาน เดน เบิร์ก น.46), นาบี เกอิต้า, ทาคูมิ มินามิโนะ – ซาดิโอ มาเน่ (ดิว็อค โอริกี้ น.62), โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ น.62), โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่

แบล็คพูล : คริส แม็กซ์เวลล์ (4-4-2) – เจมส์ ฮัสแบนด์, มาร์วิน เอกพีเตต้า, โอลิเวอร์ เทอร์ตัน, มิชาเอล นอตติ้งแฮม – ซีเจ แฮลมิลตัน, อีธาน ร็อบสัน, ซัลเลย์ ไคไค, แกรนท์ วอร์ด – เคชี่ แอนเดอร์สัน, เจอร์รี่ ยาเตส