คล็อปป์รับผิดเองให้บรูว์สเตอร์ยิงโทษ

เจอร์เก้น คล็อปป์ ยอมรับความผิดของตัวเองที่ตัดสินใจให้ ริอาน บรูว์สเตอร์ รับหน้าที่เป็นคนยิงจุดโทษในช่วงการตัดสิน ซึ่งสุดท้าย ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายแพ้ อาร์เซน่อล ไปในศึกคอมมิวนิตี้ ชิลด์ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา
    เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ก้มหน้ายอมรับผิดหลังจากตัดสินใจเปลี่ยนตัว ริอาน บรูว์สเตอร์ กองหน้าดาวรุ่งลงสนามในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เพื่อเป็นคนยิงจุดโทษ ก่อนที่ แข้งวัย 20 ปีจะยิงพลาดจนทำให้ ‘หงส์แดง’ อกหักในรายการนี้เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

    คล็อปป์ ส่ง บรูว์สเตอร์ ลงสนามแทน จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ โดยตั้งใจที่จะให้ลูกทีมรายนี้เป็นผู้สังหารจุดโทษในช่วงตัดสิน อย่างไรก็ตาม บรูว์สเตอร์ กลับซัดบอลไปชนคานอย่างจังในการยิงคนที่ 3 ซึ่งเป็นลูกเดียวที่ ลิเวอร์พูล ยิงไม่เข้า ส่วนทางฝั่ง อาร์เซน่อล ยิงเข้ากันทุกคน

    โดยหลังจบเกม กุนซือเลือดด๊อยช์ท ออกมายอมรับความผิดในเรื่องดังกล่าว และยันยันว่าไม่ควรที่จะไปโทษ บรูว์สเตอร์ แต่อย่างใด

    "เรื่องนี้ไม่ต้องโทษ ริอาน เลย"

    "หากใครสักคนที่ต้องถูกกล่าวโทษ คือต้องเป็นผม ผมต้องการให้เขาอยู่ตรงนั้น(คนยิงจุดโทษ) เพราะเขาเป็นตัวจบสกอร์ที่ดีและมีความมั่นใจ แต่วันนี้มันไม่ใช่ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ทั้งในชีวิตจริงและโลกฟุตบอล"

    "เราทุกคนต้องเรียนรู้และพัฒนาขึ้น เรารับได้กับความพ่ายแพ้ หากเขายิงเข้าแล้วคนอื่นพลาด ภาพที่ออกมาก็จะเป็นแบบเดียวกัน มันมีเหตุผลอื่นๆ อีกที่สำคัญกว่า การพลาดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แม้ผมไม่เคยเห็นเขาพลาดมาก่อนแต่เรื่องนี้ก็เกิดขึ้น"

เดอะค็อปขนลุก! “คล็อปป์” ย้ำชัดแผนเดิมพัก1ปี

 

เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ลิเวอร์พูล ย้ำชัดแผนเดิมว่าจะลาวงการฟุตบอลอย่างน้อย 1 ปีเมื่อหมดสัญญากับ "หงส์แดง" ระบุช่วงเวลาที่ห่างจากเกมลูกหนังจะคิดทบทวนว่ายังต้องการคุมทีมอีกหรือไม่ ถ้าหากคำตอบว่าไม่ ก็ขอโบกมือลาถาวร

               เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สโมสรขวัญใจมหาชนแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤา ออกโรงยืนยันเกี่ยวกับแผนการที่จะพักจากวงการฟุตบอลเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี หลังจากที่หมดสัญญาปัจจุบันในถิ่นแอนฟิลด์

              นายใหญ่เลือดด๊อยท์ช สลัดน้ำหมึกขยายสัญญากับ แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019/2020 ไปจนถึงปี 2024 เมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยเจ้าตัวยอมรับว่าหากหมดสัญญากับ "เดอะ เร้ดส์" แล้วอาจจะหยุดพักจากวงการลูกหนังเพื่อไปพักผ่อนอย่างเต็มที่ และเป็นการชาร์จพลังไปในตัว

              จากคำถามที่ว่าแผนการที่เขาเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ เรื่องนี้ คล็อปป์ ย้ำชัดอีกรอบว่าทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง "ผมจะขอพัก 1 ปีจากนั้นผมจะลองถามตัวเองว่าผมยังคิดถึงฟุตบอลหรือไม่ ถ้าผมไม่คิดถึงแล้ว นั่นคงจะเป็นการจบอาชีพโค้ชของเจอร์เก้น คล็อปป์ ถ้าวันหนึ่งผมไม่ได้เป็นโค้ช มีสิ่งหนึ่งที่ผมจะไม่คิดถึงเลย นั่นก็คือความตึงเครียดอย่างรุนแรงเฉียบพลันก่อนเกม"

               ส่วนในเรื่องการป้องกันแชมป์ในฤดูกาล 2020/2021 คล็อปป์ ยืนยันว่าตนและลูกทีมพร้อมเต็มที่ โดยทุกๆ คนมีแรงกระตุ้นเต็มเกี่ยวที่จะนำ "หงส์แดง" ครองความยิ่งใหญ่ต่อไป "ทุกๆ คนในสโมสรเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นสำหรับฤดูกาลใหม่ เราอยากที่จะทำให้ดียิ่งกว่านี้ เราไม่ได้คิดเรื่องป้องกันแชมป์ เราอยากได้แชมป์ใหม่ เราเพิ่งจะเริ่มต้นชัยชนะเท่านั้น"

ลิเวอร์พูลเอาไง!นอริชขอ20ล.ปอนด์แลกขายลูอิส

ดิ แอธเลติก สื่อกีฬาชื่อก้อง ตีข่าว นอริช ตั้งค่าหัวของ จามาล ลูอิส แบ็กซ้ายที่ ลิเวอร์พูล แอบเหล่อยู่เอาไว้ที่ 20 ล้านปอนด์ โดยตอนแรก "หงส์แดง" กะให้ค่าตัวเพียง 10 ล้านปอนด์เท่านั้น
    นอริช ซิตี้ สโมสรที่เพิ่งตกชั้นไปเล่นใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ ต้องการเงิน 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 800 ล้านบาท) เพื่อเป็นค่าตัวของ จามาล ลูอิส แบ็กซ้ายดาวรุ่งของทีม ตามรายงานของ ดิ แอธเลติก สื่อกีฬาชั้นนำ

    ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า ลูอิส กำลังเป็นที่สนใจของ ลิเวอร์พูล หลังจากที่ "หงส์แดง" ต้องการแบ็กอัพของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แบ็กซ้ายคนเก่งของทีม ซึ่งว่ากันว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ถูกใจฝีเท้าของแข้งวัย 22 ปีเป็นการส่วนตัวด้วย

    เป็นที่เชื่อกันว่า ลูอิส สนใจที่จะย้ายไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล เช่นกัน แม้ว่าจะต้องเป็นเพียงตัวสำรองก็ตาม ซึ่ง ลิเวอร์พูล ก็คิดที่จะยื่นขอซื้อเขาด้วยเงิน 10 ล้านปอนด์ (ประมาณ 400 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม ดิ แอธเลติก เผยว่า นอริช ต้องการเงินมากกว่านั้นอีก 1 เท่า เพราะพวกเขาเอาเงินที่ได้จากการขาย เจมส์ แมดดิสัน ให้ เลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2018 มาเป็นบรรทัดฐานในการขายดาวรุ่งทุกคนของทีม โดยตอนนั้น นอริช ปล่อย แมดดิสัน ให้กับ "สุนัขจิ้งจอก" หลังได้ค่าตัวมากกว่า 20 ล้านปอนด์

ทำความรู้จัก ซีอีโอคนใหม่ ลิเวอร์พูล ฝีมือไม่ธรรมดา

หลังจากที่ ลิเวอร์พูล ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับ ปีเตอร์ มัวร์ ประธานบริหารที่กำลังจะหมดสัญญาหลังหมดเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งคนที่จะรับไม้ต่อคือ บิลลี่ โฮแกน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของสโมสรลิเวอร์พูล

    ชื่อของ โฮแกน อาจไม่ได้เป็นที่รู้จักสำหรับแฟนบอลเท่าไหร่นัก เพราะงานของเขาคือการทำงานเป็นเบื้องหลังเรื่องเชิงพาณิชย์ ทั้งการเจรจา ดีลสปอนเซอร์, การตลาด ซึ่งอะไรที่เกี่ยวข้องกับ เงิน ๆ ทอง ๆ นั่นแหละคือหน้าที่ของ โฮแกน

    ส่วนความรับผิดชอบของตำแหน่งประธานบริหารของสโมสรนั้น หลังจากที่ มัวร์ เข้ามารับตำแหน่งนี้ต่อจาก เอียน แอร์ ตำแหน่งนี้จะเน้นเรื่องการทำธุรกิจมากกว่าเรื่องฟุตบอล ซึ่งจะไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องซื้อ-ขายหรือต่อสัญญาผู้เล่น เพราะหน้าที่นี้เป็นของ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์

    สำหรับ โฮแกน ที่จะเข้ามาเป็นซีอีโอคนใหม่ ก็ไม่ได้เป็นคนอื่นคนไกลกับสโมสรเลย เขาทำงานร่วมกับ มัวร์ และมีความสนิมสนมกันอยู่แล้ว

    โฮแกน เคยเป็น ประธานบริหารให้กับบริษัทในเครือของ FSG กลุ่มเจ้าของสโมสร มีหน้าที่คอยดูแลเรื่องแบรนด์และภาพลักษณ์

    ประสบการณ์ในด้านการพาณิชย์ระหว่าง โฮแกน กับ FSG มีมานานถึง 16 ปี โดยก่อนหน้านั้น โฮแกน ใช้เวลาสั้น ๆ ในการเป็น ผู้อำนวยการฝ่ายขาย กับบริษัท ANC Sports

    ต่อมาเดือนพฤษภาคม ปี 2012 โฮแกน เข้ามาทำหน้าที่ในสโมสรลิเวอร์พูล ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ ดูแลเรื่องการเจรจาธุรกิจและการตลาด

    และพอเดือนมีนาคม ปี 2016 แอร์ ลาออกจากซีอีโอ แล้วตั้ง มัวร์ ขึ้นมาแทน โฮแกน ก็เลื่อนขั้นเป็นกรรมการผู้จัดการควบคู่กับผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ของทีม

    โฮแกน ใช้เวลาส่วนใหญ่ที่ ลอนดอน แต่ก็เดินทางมายัง ลิเวอร์พูล อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และก็บินไปต่างประเทศในคราวที่จำเป็น

    ทุกครั้งที่สโมสรทำการเซ็นสัญญากับสปอนเซอร์ เราจะได้เห็นโฮแกน ร่วมเฟรมอยู่เสมอ เขาคือคนที่อยู่เบื้องหลังดีลธุรกิจต่างๆที่เกิดขึ้น

    โฮแกน เน้นเรื่องการตลาดโดยเน้นไปทางสื่อโซเชี่ยลที่กำลังได้รับความนิยมเหมาะสมกับยุคปัจจุบันในโลกดิจิตัล ซึ่งรายได้ของ ลิเวอร์พูล ก็มาจากส่วนนี้เหมือนกัน อีกทั้งแฟนบอลก็จะยังมีส่วนร่วมกับสโมสรได้ทุกเมื่อไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหน

 

    เมื่อเรื่องในสนามและผลงานเป็นหน้าที่ของ คล็อปป์ และทีมงานสตาฟฟ์ สิ่งที่ โฮแกน พยายามจะทำ นั่นคือการสร้างรายได้และการค้า ซึ่งรายได้นั้นมันก็จะกลับไปยังสโมสร

    ในช่วงที่ โฮแกน ทำงานกับลิเวอร์พูล เขาสร้างรายได้เชิงพาณิชย์ต่อปีให้กับสโมสรเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวถึง 136 ล้านปอนด์ ซึ่งอำนาจทางการเงินที่ดีนี้ช่วยให้เจอร์เก้น คล็อปป์ นำไปใช้ปรับปรุงซื้อผู้เล่นเข้ามาในทีม

    ช่วงที่สัญญาระหว่าง นิว บาลานซ์ กับ ลิเวอร์พูล ใกล้จะหมดลง ก็มีคำถามเกิดขึ้นมาสโมสรจะทำอย่างไรต่อ ซึ่ง โฮแกน ก็เลี่ยงที่จะตอบแบบตรงๆ โดยบอกเพียงว่า "เราจะยังไม่ให้ความเห็นใดๆเกี่ยวกับเรื่องสัญญาที่จะหมดลง ถึงเวลาที่เหมาะสมเมื่อไหร่เราจะมาพูดเรื่องนี้กันอีกที"

    แน่นอนครับ ในดีลกับ ไนกี้ เจ้าใหม่ ล่าสุดนี้ คนที่เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญในการเจรจา จนทำให้แบรนด์ระดับโลกเซ็นสัญญาเป็นผู้ผลิตชุดแข่งให้กับทีม ซึ่งเป็นไปได้ว่า ลิเวอร์พูล จะได้รับเงินถึงปีละ 80 ล้านปอนด์

 

    "หลังจากได้รับเกียรติให้ทำงานร่วมกับสโมสรแห่งนี้มานานเกิน 8 ปี ผมก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างมากที่จะได้เป็นประธานบริหารของทีม และจะได้สานต่องานอันยอดเยี่ยมที่ทุกคนในองค์กรทำร่วมกันมาจนถึงตอนนี้ ผมขอขอบคุณ จอห์น (ดับเบิ้ลยู เฮนรี่), ทอม (เวอร์เนอร์) และ ไมค์ (กอร์ดอน) สำหรับโอกาสในครั้งนี้ที่ทำให้ผมได้นำองค์กรเข้าสู่ช่วงต่อไปของเรื่องราวอันน่าตื่นเต้น" โฮแกน กล่าวแบบเป็นเกียรติสุดๆ หลังได้รับตำแหน่งนี้ต่อจาก มัวร์

    แฟนหงส์มั่นใจได้เลยว่า บิลลี่ โฮแกน คนนี้ จะพา ลิเวอร์พูล เดินหน้า ก้าวไกลในด้านธุรกิจ แบบติดปีกแน่นอน

โจนส์ซิวยอดแข้งลีกสำรองพรีเมียร์ซีซั่นนี้

เคอร์ติส โจนส์ แข้งดาวรุ่ง ลิเวอร์พูล ได้รับเลือกให้ครองตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลนี้ของพรีเมียร์ลีก 2 หรือลีกสำรองพรีเมียร์ลีก

 โจนส์ ทำผลงานยอดเยี่ยมในการลงเล่นพรีเมียร์ลีก 2 ฤดูกาลนี้ที่ลงสนามไป 14 นัด ทำได้ 9 ประตูกับอีก 5 แอสซิสต์ รวมถึงทำอีก 5 ประตูในการเล่นยูฟ่า ยูธ ลีก 4 นัด

 แข้งวัย 19 ปี กล่าวหลังคว้ารางวัลแข้งยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้ไปครองว่า "ผมต้องขอบคุณบรรดาสตาฟฟ์โค้ชที่อยู่ในทีมชุดยู-23 มากๆ และขอบคุณเพื่อนร่วมทีมของผม ผมให้เครดิตพวกเขาเช่นกัน ผมตื่นเต้นจริงๆ" 

 ขณะเดียวกัน โจนส์ ก็สลับขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ของ เจอร์เก้น คล็อปป์  ที่ให้โอกาสลงเล่นพรีเมียร์ลีก 6 นัด และทำประตูได้ด้วยในเกมชนะ แอสตัน วิลล่า 2-0 เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านั้น 1 วันได้ต่อสัญญาระยะยาวกับทีม

ลิเวอร์พูลมีแววเสียมาเน่ แม้สัญญาเหลืออีกยาว

เรอัล มาดริด และ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง สองทีมยักษ์ใหญ่ทวีปยุโรป ต่างพร้อมทุ่มเงินจำนวน 150 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 5,700 ล้านบาท เพื่อยื่นซื้อ ซาดิโอ มาเน่ จาก ลิเวอร์พูล

    เดอะ ซัน สื่อจากประเทศอังกฤษ รายงานว่า สองบิ๊กทีมอย่าง เรอัล มาดริด และ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง ให้ความสนใจที่จะคว้าตัว ซาดิโอ มาเน่ ปีกความเร็วสูงของ ลิเวอร์พูล เข้ามาร่วมทัพ โดยพร้อมจ่ายเงินมหาศาลถึง 150 ล้านปอนด์  หรือประมาณ 5,700 ล้านบาท 

    แม้สัญญาของ มาเน่ กับ ลิเวอร์พูล จะหมดลงในปี 2023 หรือในอีก 3 ปีข้างหน้า ทว่าในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาการเจรจาต่อสัญญาฉบับใหม่ยังไม่บรรลุผล ซึ่งทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่แห่งถิ่น แอนฟิลด์ เป็นกังวลกับเรื่องนี้มาก เพราะดาวเตะทีมชาติเซเนกัลคือกำลังหลักบนแผงแนวรุกร่วมกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ซึ่งเขาต้องการให้สโมสรแสดงความชัดเจนว่าจะรั้งตัว มาเน่ ไว้ต่อไปหรือไม่

    หากการเจรจาสัญญาฉบับใหม่ระหว่างทั้งสองฝ่ายเป็นไปได้ด้วยดี จะทำให้ มาเน่ อาจได้รับค่าเหนื่อยถึง 220,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 8.4 ล้านบาท ซึ่งเทียบเท่ากับ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เพื่อนร่วมทีมที่ใกล้จะต่อสัญญากับทีมออกไป

    อย่างไรก็ตาม ตามรายงานระบุว่า คล็อปป์ ยังต้องการผู้เล่นระดับชั้นนำเข้ามาสู่ทีม แต่การที่ เปแอสเช ให้ความสนใจในตัว มาเน่ การที่จะดึง คีลียัน เอ็มบั๊ปเป้ หัวหอกดาวโรจน์ของทีมดังแห่งเมืองน้ำหอม เป็นข้อแลกเปลี่ยนก็อาจเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น

ลอฟเรนทำเหนื่อย! ตัดเกรดแข้งลิเวอร์พูลเกมบุกเสมอเอฟเวอร์ตัน

ลิเวอร์พูล ประเดิมนัดรีสตาร์ทด้วยการบุกเสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ในศึกเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ ถือเป็นเกมที่นักเตะ "หงส์แดง" ยังเครื่องไม่ร้อน ส่วนหนึ่งมาจากความฟิตยังไม่เต็มร้อยและขาดนักเตะตัวหลักบางส่วน แต่ต้องชื่นชมแท็คติกเกมรับของ เอฟเวอร์ตัน ที่เล่นกันมีระเบียบจนลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เจาะไม่เข้า เราไปดูคะแนนของนักเตะลิเวอร์พูลในเกมนี้กัน
อลีสซง เบ็คเกอร์ 7

    ไม่มีงานตลอด 78 นาทีจนกระทั่งมาซุปเปอร์เซฟลูกไขว้ยิงของ คัลเวิร์ท-เลวิน และต่อมาก็เซฟลูกยิงระยะใกล้ของ ริชาร์ลิซอน ถือว่ายังมีสมาธิกับเกมค่อนข้างดี

เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ 6

    มีส่วนร่วมกับเกมรุกเยอะแต่การขาด โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำให้การประสานงานทางฝั่งขวามีน้อย ลูกเปิดของเขาทำได้ต่ำกว่ามาตรฐาน มีโอกาสยิงฟรีคิกแต่แค่เฉียด

โฌแอล มาติป 6

    ออกสตาร์ทตัวจริงในลีกเป็นเกมแรกนับตั้งแต่เดือนตุลาคม มีความนิ่งในการป้องกันเกมรับ เกือบโหม่งประตูจากลูกเปิดของ เทรนท์ ในครึ่งแรก โชคร้ายที่บาดเจ็บจนถูกเปลี่ยนออกช่วงเกือบท้ายเกม

เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ 6.5

    ยังคงคุมแนวรับได้แข็งแกร่ง จัดการ คัลเวิร์ท-เลวิน และริชาร์ลิซอน ได้อยู่หมัด ทำให้เกมรุกของเอฟเวอร์ตันแทบไร้พิษสง

เจมส์ มิลเนอร์ 5

    โดนใบเหลืองหลังทำฟาวล์ใส่ ริชาร์ลิซอน แต่ช่วยประกบ อิโวบี้ ไม่ให้แผลงฤทธิ์ โดเปลี่ยนออกในครึ่งแรกเพราะบาดเจ็บ

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 6

    หัวใจในแดนกลางของหงส์แดง ช่วยให้ทีมครองบอลบุกอยู่เกือบข้างเดียว มีส่วนร่วมกับเกมเยอะ ยังเป็นคนเล่นบอลง่ายๆ แต่โดยรวมถือว่าไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากนัก

ฟาบินโญ่ 6   

   โหม่งพลาดตอนต้นเกมจนเกือบทำให้ทีมเสียประตู เริ่มต้นเกมได้ค่อนข้างช้าแต่พอเล่นไปเรื่อยๆเริ่มมั่นใจ จ่ายบอลแม่นยำที่สุดในทีม 92.3% เกือบยิงฟรีคิกเข้าในช่วงท้ายเกม

นาบี เกอิต้า 6.5

    ออกสตาร์ทตัวจริงอย่างเซอร์ไพรส์ มีพาบอลขึ้นหน้าสวยๆ มีจังหวะทำชิ่งหนึ่งสองกับฟีร์มีโน่อย่างไหลลื่น แต่ยังมีอิทธิพลกับเกมน้อย จนกระทั่งถูกเปลี่ยนออก

ทาคุมิ มินามิโนะ 5

    สตาร์ทตัวจริงแทนที่ของ ซาลาห์ ช่วงครึ่งแรกมีจังหวะส่องไกลแบบได้ลุ้น แต่เล่นไปเล่นมายังเค้นฟอร์มไม่ได้และสร้างอันตรายแนวรับคู่แข่งได้น้อยจนถูกเปลี่ยนออกช่งงพักครึ่ง

โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ 6

    บอลมาถึงตัวค่อนข้างน้อย โอกาสที่ดีที่สุดในเกมคือการง้างยิงบริเวณหน้าเขตโทษในช่วงครึ่งแรกแต่ยิงน่าผิดหวัง

ซาดิโอ มาเน่ 6

    โดน เชมัส โคลแมน ตามประกบติด แต่ก็มีจังหวะที่เรียกใบเหลืองจาก คีน แม้จะดูมีส่วนร่วมกับเกมและความกระตือรือร้นแต่ถือเป็นเกมที่ค่อนข้างเงียบสำหรับเขา

ผู้เล่นสำรองที่ลงสนาม

โจ โกเมซ 7 (ลงมาแทน เจมส์ มิลเนอร์ น.43)

    ลงมาเล่นในตำแหน่งแบ็กซ้ายซึ่งไม่ค่อยถนัดนัก แต่ค่อนข้างทำได้ดี มีบล็อกลูกยิงของเดวิสทำให้ทีมไม่เสียประตูแบบเหลือเชื่อ

อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน 5 (ลงมาแทน ทาคุมิ มินามิโนะ  น.46)

    ไม่ได้ต่างกับตอน มินามิโนะ ในสนามเท่าไหร่ มีบทบาทน้อยเพราะทีมเน้นขึ้นฝั่งซ้ายมากกว่า

ดิว็อก โอริกี้ 5 (ลงมาแทน โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ น.65)

    เล่นทางฝั่งซ้ายแต่ยังลงมาเปลี่ยนเกมไม่ได้

จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม 6 (ลงมาแทน นาบี เกอิต้า น.65)

    บทบาทน้อยแต่ลูกจ่าย 10 ครั้งของเขาเข้าเป้าหมด

เดยัน ลอฟเรน 4 (ลงมาแทน โฌแอล มาติป น.73)

    ลงมาแล้วสร้างความปั่นป่วนในกองหลัง เจอ ริชาร์ลิซอน เบียดจนล้มแถมต่อมายังโดนล็อกหลอกจนลื่นล้มไปอีกหนึ่งที

ลิเวอร์พูลได้2เสีย2นักเตะเกมพบพาเลซ

ลิเวอร์พูล จะอดใช้งาน 2 นักเตะในเกมพบ คริสตัล พาเลซ แต่จะได้ 2 สตาร์คืนทัพ หลังลงซ้อมได้ตามปกติแล้ว
     เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ยืนยันว่า โฌแอล มาติป และ เจมส์ มิลเนอร์ หมดสิทธิ์ลงเจอ คริสตัล พาเลซ ในเกม พรีเมียร์ลีก ที่สนาม แอนฟิลด์ วันพุธที่ 24 มิถุนายนนี้ ขณะที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน พร้อมกลับมาช่วยทีมแล้ว

    มาติป และ มิลเนอร์ บาดเจ็บนิ้วหัวแม่แท้า และเอ็นหลังหัวเข่าตามลำดับ จากเกมบุกไปเสมอ เอฟเวอร์ตัน 0-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้จะไม่ได้ลงเจอ พาเลซ แต่เชื่อว่า น่าจะหายทันเกมออกไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคมนี้

    คล็อปป์ เผยในการแถลงข่าวเมื่อวันอังคารที่ 23 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า "ทั้ง มิลเนอร์ และ โฌแอล ไม่พร้อมลงสนามในวันพรุ่งนี้ เราต้องประเมินว่าจะพักนานแค่ไหน มิลเนอร์ เจ็บเอ็นหลังหัวเข่า แต่มันไม่ได้รุนแรง ขณะที่ โฌแอล ผมคิดว่า เขาปะทะกับ ริชาร์ลิซอน หรือ โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน ทำให้บาดเจ็บเท้า แต่ไม่ได้รุนแรงเช่นกัน"

    "ส่วน โม ลงซ้อมเมื่อวานนี้ได้อย่างปกติ เขาจะซ้อมต่อในวันนี้ ผมคิดว่า เขาจะพร้อมลงเล่น คุณต้องรอวันพรุ่งนี้ถึงจะรู้ว่า 11 ตัวจริงที่ผมเลือกเป็นใครบ้าง ขณะที่ โรเบิร์ตสัน ก็ลงซ้อมได้อย่างปกติเมื่อวานนี้เช่นกัน" นายใหญ่ "หงส์แดง" ทิ้งท้าย

ฟาบินโญ่กินขาดแดนกลาง! ตัดเกรดแข้งลิเวอร์พูลเกมยำพาเลซ

ใกล้ตำแหน่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก เข้าไปทุกทีแล้วสำหรับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ที่ล่าสุดเก็บสามแต้มเพิ่มได้ตามคาด หลังเปิดรัง แอนฟิลด์ ไล่ถล่ม คริสตัล พาเลซ 4-0 เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเกมนี้ลูกทีมของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ สามารถยกระดับฟอร์มการเล่นขึ้นมาได้อย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับเกมก่อนที่บุกไปเจ๊า เอฟเวอร์ตัน 0-0 และนี่คือผลสอบของนักเตะ ลิเวอร์พูล แต่ละคนในแมตช์นี้
11 ผู้เล่นตัวจริง
       
– อลีสซง เบ็คเกอร์ : 6

        ไม่ต้องออกแรงเซฟแม้แต่ครั้งเดียว

– เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ : 8

        เป็นคนช่วยคลายความกดดันให้กับทีม ด้วยลูกยิงฟรีคิกสุดสวยในประตูขึ้นนำ 1-0 แถมเกมนี้ยังขึ้นเติมเกมรุกได้อย่างอิสระด้วย

    – โจ โกเมซ : 6.5

        จริงๆ แล้วเกมนี้จัดการกับลูกโด่งได้ดี แต่มีพลาดหนึ่งครั้งช่วงครึ่งแรก ซึ่งทำให้ทีมเกือบเสียประตูเหมือนกัน

    – เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ : 7.5

        คุมแนวรับได้ดีตามมาตรฐาน ตัดบอลสวยๆ ให้เห็นหลายครั้ง แถมช่วงครึ่งแรกมีลุ้นทำประตูด้วย

    – แอนดี้ โรเบิร์ตสัน : 7.5

        ฟิตกลับมาลงสนามได้ และไม่ทำให้ใครผิดหวัง เกมรับอาจจะเจอบททดสอบไม่มาก แต่ช่วยได้มากในเกมรุก โดยเฉพาะการประสานงานกับ มาเน่ และสุดท้ายก็มีหนึ่งแอสซิสต์ จากจังหวะที่ผ่านบอลให้ ฟาบินโญ่ ส่องไกลเป็นประตู 3-0

    – ฟาบินโญ่ : 9

        ถือเป็นวันของ ฟาบินโญ่ อย่างแท้จริง เพราะนอกจากแอสซิสต์สุดแม่นให้ ซาลาห์ ยิงประตู 2-0 แถมยังซัดไกลเองอย่างสุดสวยเป็นประตู 3-0 แล้ว เกมนี้เจ้าตัวยังคุมแดนกลางได้อย่างสุดยอด ด้วยสถิติแท็กเกิ้ลชนะถึง 6 ครั้ง ซึ่งมากสุดในสนาม

    – จอร์แดน เฮนเดอร์สัน : 7

        ช่วยแดนกลางได้ดี แถมช่วงครึ่งแรกเกือบทำประตูได้ด้วย (ยิงชนเสา) แต่ด้วยการที่กล้ามเนื้อเริ่มล้า ทำให้ถูกเปลี่ยนตัวออกช่วงกลางครึ่งหลัง

    – จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม : 7

        หากตัดเรื่องยิงทิ้งยิงขว้างทิ้งไป ถือเป็นเกมที่เล่นได้โอเคเลย

    – โมฮาเหม็ด ซาลาห์ : 8.5

        เป็นเกมที่น่าประทับใจสำหรับ ซาลาห์ เพราะนอกจากยิงประตูขึ้นนำ 2-0 ได้อย่างเฉียบขาดแล้ว ยังเป็นคนผ่านบอลสุดคมให้ มาเน่ หลุดเข้าไปยิงประตูปิดท้ายด้วย และเกมนี้ดูเหมือนเจ้าตัวเล่นได้อย่างมั่นใจทีเดียว

    – ซาดิโอ มาเน่ : 8

        ฟอร์มยังคงน่าประทับใจ สร้างความปั่นป่วนให้แนวรับทีมเยือนได้ตลอด และสุดท้ายมีชื่อเป็นคนทำประตู 4-0

    – โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ : 6.5

        จังหวะการเล่นยังไม่ค่อยได้ แต่อย่างน้อยมีส่วนขึ้นเกมในจังหวะได้ประตู 4-0   

สำรองที่ได้ลงเล่น

    – อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน (แทน เฮนเดอร์สัน น. 64) : 6

        ไม่มีอะไรโดดเด่น

    – เนโก วิลเลี่ยมส์ (แทน อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ น. 74) : 7.5

        แม้มีเวลาอยู่ในสนามไม่มาก แต่ผลงานโดดเด่นเหลือเกิน ขยัน ทุ่มเท แถมมีโอกาสลุ้นทำประตูถึงสองครั้ง

    – ทาคูมิ มินามิโนะ (แทน ฟีร์มีโน่ น. 74) : 6

        ทำอะไรไม่ได้มาก แต่เกือบมีลุ้นทำประตูช่วงทดเจ็บ หากลูกเปิดของ ซาลาห์ มาถึง

    – ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ (แทน โรเบิร์ตสัน น. 84) : –

        ไม่สามารถให้คะแนนได้

    – นาบี เกอิต้า (แทน มาเน่ น. 84) : –

        ไม่สามารถให้คะแนนได้

ใครว่าบ้าก็ไม่แคร์!คล็อปป์พร้อมแห่ฉลองแชมป์ซีซั่นหน้า

เจอร์เก้น คล็อปป์ เผยว่า ลิเวอร์พูล อาจต้องรอฉลองพาเหรดแชมป์ พรีเมียร์ลีก ไปจนถึงซีซั่นหน้า หลังโดนข้อจำกัดจากวิกฤติโคโรน่าไวรัสระบาดในช่วงนี้

    ลิเวอร์พูล ใกล้ยุติการรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดในรอบ 30 ปี โดยทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ขอชัยชนะอีกเพียง 2 เกมจาก 9 นัดที่เหลือในฤดูกาลนี้ ก็จะการันตีโทรฟี่ทันที

    โดยเกมพรีเมียร์ลีกที่จะกลับมาแข่งใหม่นั้น จะเล่นแบบปิดสนามเริ่มวันที่ 17 มิถุนายน นั่นหมายความว่าบรรดาแฟนบอล’หงส์แดง’ จะไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาร่วมฉลองใน แอนฟิลด์ อีกทั้งอาจยังโดนห้ามไม่ให้ร่วมฉลองความสำเร็จในตัวเมือง

    นายใหญ่เลือดด๊อยช์ท เผยถึงเรื่องนี้ยอมรับว่าถ้าจะให้รอฉลองกับแฟน ๆ ซีซั่นหน้าตนก็ยอมรับได้ไม่มีปัญหา "คุณไม่สามารถฉลองได้ในแบบที่คุณฝันมาตลอด มันดูไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ซึ่งผมก็เข้าใจเรื่องนั้นได้ดีนะ" คล็อปป์ เผยกับ สกาย เยอรมนี

    "ผมก็รู้สึกเหมือนกันแหละ การฉลองแชมป์แบบเหงา ๆ ในสนามแล้วก็กลับบ้านมันไม่ใช่เรื่องในอุดมคติเลย"

    "เมื่อคุณคิดแบบนั้นมันไม่ใช่เลยจริง ๆ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ แล้วทำไมเราจะต้องนำเรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้มาให้เป็นเรื่องทำไมกันล่ะ?"

    "เมื่อถึงวันหนึ่งที่เรากลับมาใช้ชีวิตแบบปกติได้ เมื่อใครสักคนคิดค้นวัคซีนได้ขึ้นมา ตอนที่ใครสักคนเจอทางแก้ปัญหาได้ หรือเมื่อไหร่ที่อัตราการระบาดมันเป็นศูนย์หรือต่ำลง วันนั้นแหละมันก็จะมาถึง แล้วเราก็จะได้ฉลองในแบบที่เราต้องการ"

    "หากมันจะเกิดขึ้นในช่วง 12 หรือ 13 นัดแรกของฤดูกาลหน้า แล้วเรายังอยากจะฉลอง ถามหน่อยใครกันจะมาหยุดพวกเราได้ล่ะ? ตอนนั้นเราก็มีถ้วยแชมป์แล้ว ซึ่งเราก็จะยืนอยู่บนรถบัสแห่ชูโทรฟี่ไปทั่วเมือง ใครจะหาว่าบ้าก็ตามเถอะ เอาจริง ๆ ผมไม่แคร์เลย"

    "ไม่ต้องถามหรอกว่า พอถึงตอนนั้นจะยังเป็นการฉลองที่พิเศษไหม? มันแปลกก็จริงอยู่ แต่มันเป็นความแปลกที่ยอดเยี่ยมที่สุด"