“อิมโมบิเล่” นำทัพลาซิโอรับมือดอร์ทมุนด์ที่มี “ฮาแลนด์” ตะบัน ศึกชปล.

 "อินทรีฟ้า-ขาว" ลาซิโอ แม้ผลงานในลีกจะไม่ดีเท่าไหร่นักแต่เกมแรกในการคัมแบ็กเวที แชมเปี้ยนส์ ลีก ไม่ยอมแน่แม้จะเจอกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ สามแต้มประเดิมสนามจะเป็นของฝั่งไหน ติดตามได้ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอฟ นัดแรก คืนวันอังคารนี้

ปรีวิวยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กลุ่ม เอฟ
ลาซิโอ (อิตาลี) – ดอร์ทมุนด์ (เยอรมัน)
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม  2563  เวลา : 02.00 น.
สนาม : โอลิมปิโก 

สภาพทีมโดยทั่วไป 

    ลาซิโอ

    ซิโมเน่ อินซากี้ เทรนเนอร์ลาซิโอ พาทีมแพ้ซามพ์โดเรียยับ 0-3 ในเกมลีกล่าสุด ทำให้ไม่ชนะมา 3 เกมแล้ว 

    ความพร้อมเกมนี้ อินซากี้ จะไม่มีทั้ง เซนัด ลูลิช, อันเดรียส เปเรยร่า, ซิลวิโอ โปรโต้ และ สเตฟาน ราดู ที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนทั้งหมด 

    ส่วน บาสโตส, ลุยซ์ เฟลิเป้ และ มานูเอล ลาซซารี่ ที่ไม่สมบูรณ์ ยังต้องรอทดสอบความฟิต แต่ข่าวดีคือจะได้ ชิโร่ อิมโมบิเล่ ดาวยิงกัปตันทีมคนสำคัญ พ้นโทษแบนในลีกกลับมา 

    ขณะที่แกนหลักรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้, เวสลี่ย์ ฮูดท์, เซอร์เกจ์ มิลินโควิช-ซาวิช, ลูคัส เลวา, หลุยส์ อัลเบร์โต้ และ ฮัวกิน กอร์เรอา ต่างพร้อมช่วยทีมเหมือนเดิม 

    ดอร์ทมุนด์   

    ลูเซียง ฟาฟร์ เทรนเนอร์ดอร์ทมุนด์ พาทีมชนะฮอฟเฟ่นไฮม์ 1-0 ในเกมลีกล่าสุด เป็นการคว้าชัย 2 นัดติด 

    สภาพทีมล่าสุด ฟาฟร์ ยังไม่มี มาร์เซล ชเมลเซอร์, นิโก้ ชูลซ์ และ ดาน-อักเซล ซากาดู ที่เดี้ยงอยู่ก่อนแล้วทั้งหมด

    ส่วน ลูคัสซ์ พิซเซ็ค ที่เดี้ยงเพิ่มมาจากเกมล่าสุด ต้องรอทดสอบความฟิต เช่นเดียวกับ ธอร์กกาน อาซาร์ ที่มีอาการเจ็บกล้ามเนื้อรบกวน 

    บรรดาแกนหลักหลายรายที่ได้พักเมื่อสุดสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นโรมัน บือร์กี้, มานูเอล อคานจี, จู๊ด เบลลิงแฮม, ราฟาแอล เกร์เรยโร่ และ เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์ ก็พร้อมคัมแบ็กทั้งหมด

นักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม    

    ลาซิโอ (3-5-2) : โธมัส สตราโคช่า – ปาตริก, ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้, เวสลี่ย์ ฮูดท์ – มาร์โก ปาโรโล่, เซอร์เกจ์ มิลินโควิช-ซาวิช, ลูคัส เลวา, หลุยส์ อัลเบร์โต้, อดัม มูราซิช – ชิโร่ อิมโมบิเล่, ฮัวกิน กอร์เรอา

    เทรนเนอร์ : ซิโมเน่ อิซากี้ 

    ดอร์ทมุนด์ (3-4-2-1) : โรมัน บือร์กี้ – เอ็มเร่ ชาน, มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์, มานูเอล อคานจี – โธมัส เมอนิเย่ร์, จู๊ด เบลลิงแฮม, อักเซล วิตเซล, ราฟาแอล เกร์เรยโร่ – เจดอน ซานโช่, โจวานนี่ เรย์น่า – เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์

    เทรนเนอร์ : ลูเซียง ฟาฟร์     

    ผู้ตัดสิน : กเลมงต์ ตูร์กแป็ง (ฝรั่งเศส) 

ผลการพบกันที่ผ่านมา 
วันเดือน/ปี รายการ ผลการแข่งขัน

12/08/18    กระชับมิตร (สนามกลาง)     ดอร์ทมุนด์ 1-0 ลาซิโอ 

ผลงาน 5 นัดหลังสุด
ลาซิโอ

17/10/20 แพ้ ซามพ์โดเรีย 0-3 (เยือน) เซเรีย อา 
04/10/20 เสมอ อินเตอร์ มิลาน 1-1 (เหย้า) เซเรีย อา
01/10/20 แพ้ อตาลันต้า 1-4 (เหย้า) เซเรีย อา
26/09/20 ชนะ กายารี่ 2-0 (เยือน) เซเรีย อา
19/09/20 เสมอ เบเนเวนโต้ 0-0 (เหย้า) กระชับมิตร


    ดอร์ทมุนด์
17/10/20 ชนะ ฮอฟเฟ่นไฮม์ 1-0 (เยือน) บุนเดสลีกา
03/10/20    ชนะ ไฟร์บวร์ก 4-0 (เหย้า) บุนเดสลีกา
01/10/20    แพ้ บาเยิร์น 2-3 (เยือน) ซูเปอร์ คัพ
26/09/20    แพ้ เอาก์สบวร์ก 0-2 (เยือน) บุนเดสลีกา
19/09/20    ชนะ มึนเช่นกลัดบัค 3-0 (เหย้า) บุนเดสลีกา

บาเยิร์นยิ้ม! “ซาเน่” สลัดเดี้ยงคืนสนามซ้อม

ถือเป็นข่าวดีสำหรับสาวก "เสือใต้" เพราะล่าสุด ลีรอย ซาเน่ ปีกจรวด บาเยิร์น มิวนิค กลับมาลงซ้อมได้เรียบร้อย และน่าจะช่วยทีมได้ทันทีในเกมสุดสัปดาห์นี้

ลีรอย ซาเน่ ปีกความเร็วสูงคนใหม่ของ บาเยิร์น มิวนิค ยอดสโมสรลูกหนังแห่งเวที บุนเดสลีกา เยอรมัน หายเจ็บที่หัวเข่าและกลับมาลงซ้อมกับทีมได้เรียบร้อย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมา

ซาเน่ ได้รับบาดเจ็บจากเกมลีกนัดที่ บาเยิร์น บุกไปพ่าย ฮอฟเฟ่นไฮม์ 1-4 เมื่อวันช่วงปลายเดือนกันยายน และคาดว่าต้องพักแข้งราว 3-4 สัปดาห์ ซึ่งล่าสุดก็เป็นไปตามคาด เพราะ ดาวเตะทีมชาติเยอรมนีวัย 24 ปี ลงซ้อมได้แล้ว โดยเป็นการลงซ้อมกับกลุ่มนักเตะ "เสือใต้" ที่ไม่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่เปิดบ้านถล่ม แอตเลติโก มาดริด 4-0 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

คาดกันว่า ซาเน่ น่าจะกลับมามีชื่อช่วยทีมในเกม บุนเดสลีกา นัดที่ บาเยิร์น มีคิวเปิดรัง อัลลิอันซ์ อารีน่า ดวลกับ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคมนี้ แต่ก็ต้องรอดูการซ้อมครั้งสุดท้ายในวันศุกร์ว่า เจ้าตัวฟิตพอเป็นตัวจริงหรือไม่

แมนยูเสริมอย่างโหด!สรุปดีลการโยกย้ายทีมวันปิดตลาดนักเตะ

เห็นเงียบๆ แต่สอยเพียบนะครัช!!!… "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปิดดีลแข้งใหม่ถึง 5 ราย ชนิดจุใจสาวก "เร้ด อาร์มี่" ในวันปิดตลาดนักเตะเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ อาร์เซน่อล ก็ได้ตัว โธมัส ปาร์เตย์ สมใจอยาก หลังจากที่ไล่ล่าตัวมานาน ส่วนทางฝั่งทีมแชมป์ยุโรปอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ก็เร่งเครื่องในวันสุดท้ายเช่นกัน โดยเซ็นเข้ามาเพิ่มถึง 3 คน และนี่คือบทสรุปดีลเด่นๆ ในรอบวันปิดตลาด 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา (อัพเดตล่าสุดถึงเวลา 06.00 น. เช้าวันอังคารที่ 6 ต.ค. ตามเวลาประเทศไทย)

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
 – แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้า อเล็กซ์ เตลเลส แบ็กซ้ายชาวบราซิเลียน มาจาก ปอร์โต้ ด้วยสัญญา 4 ปี (มีออปชั่นเซ็นเพิ่มอีก 1 ปี) ส่วนค่าตัวเบื้องต้นอยู่ที่ 15 ล้านยูโร (ประมาณ 555 ล้านบาท) + ออปชั่น 3 ล้านยูโร (ประมาณ 111 ล้านบาท)
  – แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศปิดดีลคว้าตัว อาหมัด ดิยัลโล่ ตราโอเร่ ปีกดาวรุ่ง อตาลันต้า มาร่วมทัพ โดย ดาวเตะวัย 18 ปี จะย้ายมาร่วมทัพ "ปีศาจแดง" ช่วงเดือนมกราคมปีหน้า ค่าตัว 21 ล้านยูโร (ประมาณ 777 ล้านบาท) + ออปชั่น 20 ล้านยูโร (ประมาณ 740 ล้านบาท)

– แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้า เอดินสัน คาวานี่ กองหน้าดาวดังทีมชาติอุรุกวัย มาร่วมทัพแบบไม่มีค่าตัว (หมดสัญญากับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง) ด้วยสัญญา 1 ปี + ออปชั่นเซ็นเพิ่มอีก 1 ปี
 – แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้า ฟากุนโด้ เปยิสตรี้ ปีกดาวรุ่งชาวอุรุกวัย มาจาก เปนญารอล ด้วยสัญญา 5 ปี ค่าตัว 10 ล้านยูโร (ประมาณ 370 ล้านบาท)

– แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้า เอดินสัน คาวานี่ กองหน้าดาวดังทีมชาติอุรุกวัย มาร่วมทัพแบบไม่มีค่าตัว (หมดสัญญากับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง) ด้วยสัญญา 1 ปี + ออปชั่นเซ็นเพิ่มอีก 1 ปี
 – แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้า ฟากุนโด้ เปยิสตรี้ ปีกดาวรุ่งชาวอุรุกวัย มาจาก เปนญารอล ด้วยสัญญา 5 ปี ค่าตัว 10 ล้านยูโร (ประมาณ 370 ล้านบาท)

– ลีดส์ ยูไนเต็ด คว้า ราฟินญ่า ปีกเลือดแซมบ้า มาจาก แรนส์ ด้วยสัญญา 4 ปี ค่าตัว 17 ล้านยูโร (ประมาณ 629 ล้านบาท) + ออปชั่นอีก 6 ล้านยูโร (ประมาณ 222 ล้านบาท)
 – ฟูแล่ม เซ็นสัญญายืมตัว โยอาคิม อันเดอร์เซ่น เซนเตอร์แบ็กร่างยักษ์เลือดโคนมของ โอลิมปิก ลียง มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล 
 – ฟูแล่ม คว้า โทซิน อดาราบิโอโย่ เซนเตอร์แบ็กร่างโย่งเลือดผู้ดี มาจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสัญญา 3 ปี
 – ฟูแล่ม เซ็นสัญญายืมตัว รูเบน ลอฟตัส-ชีค กองกลางร่างใหญ่ของ เชลซี มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล แต่ไม่มีออปชั่นซื้อขาด

 – เอฟเวอร์ตัน คว้า เบน ก็อดฟรีย์ เซนเตอร์แบ็กเลือดผู้ดี มาจาก นอริช ซิตี้ ด้วยสัญญา 5 ปี ค่าตัว 25 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,025 ล้านบาท) + ออปชั่น 5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 205 ล้านบาท)
 – เอฟเวอร์ตัน เซ็นสัญญายืมตัว โรบิน โอลเซ่น ผู้รักษาประตูทีมชาติสวีเดนของ อาแอส โรม่า มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล
 – เซาธ์แฮมป์ตัน เซ็นสัญญายืมตัว ธีโอ วัลค็อตต์ กองหน้าฝีเท้าจรวดของ เอฟเวอร์ตัน มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล

 ลา ลีกา สเปน

 – เซบีย่า คว้า อุสซามา อิดริสซี่ ปีกทีมชาติโมร็อกโก มาจาก อาแซด อัล์คมาร์ ด้วยสัญญา 5 ปี ค่าตัว 12 ล้านยูโร (ประมาณ 444 ล้านบาท)
 – เซบีย่า คว้า คาริม เรกิก กองหลังชาวดัตช์ มาจาก แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ด้วยสัญญา 5 ปี ค่าตัว 4 ล้านยูโร (ประมาณ 148 ล้านบาท)

 – แอตเลติโก มาดริด เซ็นสัญญายืมตัว ลูคัส ตอร์เรร่า กองกลางทีมชาติอุรุกวัยของ อาร์เซน่อล มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล

 กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี
 – ยูเวนตุส เซ็นสัญญายืมตัว เฟเดริโก้ เคียซ่า ปีกทีมชาติอิตาลีของ ฟิออเรนติน่า มาใช้งานเป็นเวลา 2 ฤดูกาล โดยที่มีเงื่อนไขบังคับซื้อขาดที่ราคา 40 ล้านยูโร (ประมาณ 1,480 ล้านบาท) + ออปชั่น 10 ล้านยูโร (ประมาณ 370 ล้านบาท) หากนักเตะทำผลงานได้ตามเงื่อนไขต่างๆ ที่ตกลงกันไว้

 – อินเตอร์ มิลาน เซ็นสัญญายืมตัว มัตเตโอ ดาร์เมียน ฟูลแบ็ก ปาร์ม่า มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล พร้อมถือออปชั่นซื้อขาดช่วงซัมเมอร์ปีหน้า
 – นาโปลี เซ็นสัญญายืมตัว ตีเอมูเอ้ บากาโยโก้ กองกลางเฟร้นช์แมนของ เชลซี มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล
 – ฟิออเรนติน่า คว้า โฆเซ่ มาเรีย กาเยฆ่อน ปีกชาวสแปนิช มาร่วมทีมแบบไร้ค่าตัว (นักเตะหมดสัญญากับ นาโปลี)
 – ฟิออเรนติน่า เซ็นสัญญายืมตัว อันโตนิโอ บาเร็กก้า ฟูลแบ็กชาวอิตาเลียนของ อาแอส โมนาโก มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล

 – อาแอส โรม่า คว้า คริส สมอลลิ่ง เซนเตอร์แบ็กร่างยักษ์เลือดผู้ดี มาจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสัญญา 3 ปี ค่าตัว 15 ล้านยูโร (ประมาณ 555 ล้านบาท) + ออปชั่น 5 ล้านยูโร (ประมาณ 185 ล้านบาท)
 – เฮลลาส เวโรน่า คว้า นิโกล่า คาลินิช หัวหอกชาวโครแอต มาจาก แอตเลติโก มาดริด ด้วยสัญญา 2 ปี
 – อูดิเนเซ่ เซ็นสัญญายืมตัว เคราร์ด เดวโลเฟว กองหน้าชาวสแปนิชของ วัตฟอร์ด มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล
 – อูดิเนเซ่ เซ็นสัญญายืมตัว อิ๊กนาซิโอ ปุสเซ็ตโต้ ปีกชาวอาร์เจนไตน์ของ วัตฟอร์ด มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล

 บุนเดสลีกา เยอรมัน
 – แฮร์ธ่า เบอร์ลิน เซ็นสัญญายืมตัว มัตเตโอ เกนดูซี่ กองกลางดาวรุ่ง อาร์เซน่อล มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล แต่ไม่มีออปชั่นซื้อขาด
 – แฮร์ธ่า เบอร์ลิน คว้า โอมาร์ อัลเดเรเต้ เซนเตอร์แบ็กทีมชาติปารากวัย มาจาก บาเซิ่ล ด้วยสัญญาระยะยาว แต่ค่าตัวไม่มีการเปิดเผย 

 – บาเยิร์น มิวนิค คว้า บูน่า ซาร์ แบ็กขวาชาวฝรั่งเศส มาจาก โอลิมปิก มาร์กเซย ด้วยสัญญา 4 ปี ค่าตัว 10 ล้านยูโร (ประมาณ 370 ล้านบาท)
 – บาเยิร์น มิวนิค เซ็นสัญญายืมตัว ดั๊กลาส คอสต้า ปีกจรวดชาวบราซิเลียนของ ยูเวนตุส มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล
 – บาเยิร์น มิวนิค คว้า เอริค มักซิม ชูโป-โมติง กองหน้าร่างใหญ่ทีมชาติแคเมอรูน มาร่วมทีมแบบไร้ค่าตัว (หมดสัญญากับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง) ด้วยสัญญา 1 ปี 

– แอร์เบ ไลป์ซิก เซ็นสัญญายืมตัว จัสติน ไคลเวิร์ต ปีกชาวดัตช์ของ อาแอส โรม่า มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล พร้อมถือออปชั่นซื้อขาดช่วงซัมเมอร์ปีหน้า
 – ฮอฟเฟ่นไฮม์ เซ็นสัญญายืมตัว เซบาสเตียน รูดี้ กองกลาง ชาลเก้ 04 มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล
 – ฮอฟเฟ่นไฮม์ เซ็นสัญญายืมตัว ไรอัน แซสเซอญง แบ็กซ้ายดาวรุ่ง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล

 ลีก เอิง ฝรั่งเศส
 – ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เซ็นสัญญายืมตัว มอยเซ่ คีน กองหน้าดาวรุ่งของ เอฟเวอร์ตัน มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล
 – ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เซ็นสัญญายืมตัว ดานิโล่ เปเรยร่า กองกลางทีมชาติโปรตุเกสของ ปอร์โต้ มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล พร้อมถือออปชั่นซื้อขาดช่วงซัมเมอร์ปีหน้า
 – ปารีส แซงต์-แชร์กแมง คว้า ราฟินญ่า กองกลางชาวบราซิเลียน มาจาก บาร์เซโลน่า ด้วยสัญญา 3 ปี ค่าตัว 3 ล้านยูโร (ประมาณ 111 ล้านบาท)

– โอลิมปิก มาร์กเซย เซ็นสัญญายืมตัว มิกกาแอล กุยซ็องส์ กองกลางดาวรุ่งเลือดน้ำหอมของ บาเยิร์น มิวนิค มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล
 – โอลิมปิก ลียง เซ็นสัญญายืมตัว มัตเตีย เด ชีโย่ ฟูลแบ็กดีกรีทีมชาติอิตาลีของ ยูเวนตุส มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล
 – แซงต์-เอเตียน เซ็นสัญญายืมตัว พานาจิโอติส เรตซอส กองหลังทีมชาติกรีซของ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล พร้อมถือออปชั่นซื้อขาดช่วงซัมเมอร์ที่ราคา 6.5 ล้านยูโร (ประมาณ 240.5 ล้านบาท)
 – นีซ เซ็นสัญญายืมตัว เจฟฟ์ แรน-อเดลาอิด กองกลางเลือดน้ำหอมของ โอลิมปิก ลียง มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล พร้อมถือออปชั่นซื้อขาดช่วงซัมเมอร์ปีหน้า ที่ราคา 25 ล้านยูโร (ประมาณ 925 ล้านบาท)

 ดีลอื่นๆ ที่น่าสนใจ
 – เบนฟิก้า เซ็นสัญญายืมตัว ฌอง-แคลร์ โตดิโบ เซนเตอร์แบ็กดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสของ บาร์เซโลน่า มาใช้งานเป็นเวลา 2 ฤดูกาล พร้อมถือออปชั่นซื้อขาดที่ราคา 20 ล้านยูโร (ประมาณ 740 ล้านบาท)
 – เซลติก เซ็นสัญญายืมตัว ดีเอโก้ ลาซัลต์ แบ็กซ้ายทีมชาติอุรุกวัยของ เอซี มิลาน มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล

– อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม คว้า ดาวี่ คลาสเซ่น กองกลางชาวดัตช์ มาจาก แวร์เดอร์ เบรเมน ด้วยสัญญา 4 ปี ค่าตัว 11 ล้านยูโร (ประมาณ 407 ล้านบาท) + ออปชั่น 3 ล้านยูโร (ประมาณ 111 ล้านบาท)
 – โอลิมเปียกอส เซ็นสัญญายืมตัว รูเบน วินาเกร แบ็กซ้ายดาวรุ่งชาวโปรตุกีสของ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล

 – เบซิคตัส เซ็นสัญญายืมตัว ราชิด เกซซาล ปีกทีมชาติแอลจีเรียของ เลสเตอร์ ซิตี้ มาใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล
 – เฟเนร์บาห์เช่ คว้า ดีเอโก้ เปร็อตติ ปีกชาวอาร์เจนไตน์ มาจาก โรม่า ด้วยสัญญา 2 ปี พร้อมออปชั่นเซ็นเพิ่มอีกปี 
 

ตารางบอลวันนี้! เจลีกน่าดู บอลไทยน่าเชียร์ พรีเมียร์ลีกห้ามพลาด บิ๊กแมตช์กัลโช่ เช็กโปรแกรมบอลวันนี้+ช่องถ่ายทอดสด

นอส ทำศึก ขณะที่พรีเมียร์ลีก ห้ามพลาด แมนฯ ซิตี้ พบ เลสเตอร์ นอกจากนี้ยังมีกัลโช่ เซเรีย อา มีบิ๊กแมตช์ โรม่า พบ ยูเวนตุส ส่วนลาลีกา สเปน, บุนเดสลีกา และ ลีกเอิง ฝรั่งเศส มีให้ตามเชียร์เช่นเคย เรามีโปรแกรมฟุตบอลวันนี้ พร้อมช่องถ่ายทอดสดฟุตบอลมาฝากแฟนบอลที่ต้องการดูบอลสด
 โปรแกรมเจ ลีก ญี่ปุ่น

 11:00 น. เวกัลตะ เซนได พบ เซเรโซ่ โอซาก้า
 14:00 น. ซางัน โทสุ พบ เอฟซี โตเกียว
 15:00 น. คาชิม่า แอนท์เลอร์ส พบ โออิตะ ทรินิตะ
 16:00 น. ซานเฟรซเช่ ฮิโรชิม่า พบ กัมบะ โอซาก้า >>> YouTube Siamsport
 17:00 น. คาชิว่า เรย์โซล พบ โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส >>> ช่อง 9 MCOT
 17:00 น. โชนัน เบลล์มาเร่ พบ คาวาซากิ ฟรอนตาเล่

โปรแกรมไทยลีก 1

 18:00 น. ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด พบ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด >>> True4U
 18:00 น. นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี พบ สุโขทัย เอฟซี >>> ทรูวิชั่นส์ 357
 19:00 น. พีที ประจวบ เอฟซี พบ สมุทรปราการ ซิตี้ >>> ทรูสปอร์ต เอชดี 3
 19:00 น. ระยอง เอฟซี พบ เชียงราย ยูไนเต็ด >>> ทรูสปอร์ต 2

 โปรแกรมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

 20:00 น. สเปอร์ส พบ นิวคาสเซิ่ล >>> TPF HD 1 (600)
 22:30 น. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบ เลสเตอร์ ซิตี้ >>> TPF HD 1 (600)
 01:00 น. เวสต์แฮม พบ วูล์ฟแฮมป์ตัน >>> TPF HD 1 (600)

 โปรแกรมลาลีกา สเปน

 17:00 น. โอซาซูน่า พบ เลบันเต้ >>> beIN Sports1
 19:00 น. เออิบาร์ พบ แอธเลติก บิลเบา >>> beIN Sports1
 21:00 น. แอตเลติโก มาดริด พบ กรานาด้า >>> beIN Sports1
 23:30 น. กาดิซ พบ เซบีย่า >>> beIN Sports1
 23:30 น. เรอัล บายาโดลิด พบ เซลต้า บีโก้ >>> beIN Sports1
 02:00 น. บาร์เซโลน่า พบ บียาร์เรอัล >>> beIN Sports1

 โปรแกรมกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี

 17:30 น. สเปเซีย พบ ซาสซูโอโล่ >>> beIN Sports2
 20:00 น. นาโปลี พบ เจนัว >>> beIN Sports2
 20:00 น. เฮลลาส เวโรน่า พบ อูดิเนเซ่ >>> beIN Sports1
 23:00 น. โครโตเน่ พบ เอซี มิลาน >>> beIN Sports2
 01:45 น. โรม่า พบ ยูเวนตุส >>> beIN Sports2

ปรแกรมลีก เอิง ฝรั่งเศส

 18:00 น. บอร์กโดซ์ พบ นีซ beIN Sports1
 20:00 น. นีมส์ พบ ล็องส์
 20:00 น. ดิฌง พบ มงต์เปลลิเย่ร์
 20:00 น. โมนาโก พบ สตราส์บูร์ก
 20:00 น. อองเช่ร์ พบ แบรสต์
 22:00 น. ลอริยองต์ พบ โอลิมปิก ลียง >>> beIN Sports Xtra
 02:00 น. แร็งส์ พบ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง >>> beIN SPORTS CONNECT

 โปรแกรมบุนเดสลีกา เยอรมัน

 20:30 น. ฮอฟเฟ่นไฮม์ พบ บาเยิร์น มิวนิค
 23:00 น. ไฟร์บวร์ก พบ โวล์ฟสบวร์ก

“ฟลิค” ไม่ตำหนิลูกทีมแม้แพ้ยับฮอฟเฟนไฮม์

ฮันซี่ ฟลิค กุนซือบาเยิร์น มิวนิค ยอมรับสภาพหลังทัพ "เสือใต้" โดน ฮอฟเฟ่นไฮม์ อัดยับในเกมลีกเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ระบุไม่มีอะไรต้องตำหนิลูกทีม และสิ่งสำคัญต้องลืมเกมนี้ไปซะ จากนั้นก็รวบรวมสมาธิเตรียมปะทะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในแมตช์เยอรมัน ซูเปอร์คัพ กลางสัปดาห์นี้

ฮันซี่ ฟลิค เทรนเนอร์สมองเพชรของ บาเยิร์น มิวนิค ปฏิเสธที่จะตำหนิฟอร์มการเล่นของลูกทีมในแมตช์ที่ "เสือใต้" โดน ฮอฟเฟ่นไฮม์ เผาเครื่องแพ้ยับ 1-4 ที่สนามเปรซีโร่ อารีน่า  ในศึกบุนเดสลีกา เยอรมนี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา

บาเยิร์น เพิ่งจะลงเล่น 120 นาทีในเกมเฉือน เซบีย่า 2-1 คว้าแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา แต่ในเกมลีกเยือน ฮอฟเฟ่นไฮม์ นั้นยอดทีมแห่งแคว้นบาวาเรียโดนเจ้าบ้านอัดยับไม่นับญาติ ส่งผลให้พวกเขาแพ้เป็นเกมแรกในรอบ 10 เดือน

ฟลิค ยืนยันว่าตนไม่ตำหนิผลงานของลูกทีมที่ดูเหมือนมีสภาพร่างกายอ่อนล้าในแมตช์นี้ "มันชัดเจนว่าเราพ่ายแพ้ฉะนั้นเราต้องลืมเกมนี้ไปซะ และผมก็ยังคงเชื่อมั่นว่าเราเป็นทีมที่แข็งแกร่ง ผมไม่สามารถตำหนิทีมจากการที่พวกเขามุ่งมั่นทุ่มเท และเสียสละเพื่อทีม สภาพจิตใจหลังจากลงเล่น 120 นาทีเมื่อวันพฤหัสบดี ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ เราจะลืมเกมนี้ไปซะ และเตรียมตัวเจอกับ ดอร์มทุนด์ (เยอรมัน ซูเปอร์ คัพ)" ฟลิค ระบุ

ด้าน มานูเอล นอยเออร์ ผู้รักษาประตูกัปตันทีม ปฏิเสธที่จะกล่าวโทษโปรแกรมของทีมที่แน่นเอี๊ยด พร้อมปกป้อง "เสือใต้" ที่ต้องลงสนาม 2 เกมต่อสัปดาห์ในฤดูกาลนี้ "เราไม่มองหาข้ออ้างอะไรทั้งนั้น นี่เป็นสิ่งที่รอคอยเราในปีนี้ เรามีเกมทุกๆ สองแมตช์ต่อสัปดาห์ เรารู้เรื่องนี้ และต้องยอมรับมัน"

 

โกเซนส์มาแล้ว!เลิฟแบโผ22แข้งทีมชาติเยอรมนีเตะเนชั่นส์ลีก

โยอัคคิม เลิฟ กุนซือทีมชาติเยอรมนี เปิดโผขุนพล "อินทรีเหล็ก" ที่จะใช้ลงทำศึก ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ช่วงต้นเดือนหน้าออกมาเป็นที่เรียบร้อย โดยที่ โรบิน โกเซนส์ ฟูลแบ็กดาวดัง อตาลันต้า มีชื่อติดทัพเป็นครั้งแรก

     โยอัคคิม เลิฟ เทรนเนอร์ทีมชาติเยอรมนี ประกาศรายชื่อ 22 ผู้เล่น ชุดที่จะใช้ลงเตะเกม ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก 2020/21 จำนวน 2 นัด ที่มีคิวเปิดบ้านเจอ สเปน วันที่ 3 กันยายน และบุกไปเยือน สวิตเซอร์แลนด์ วันที่ 6 กันยายน ออกมาเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันอังคารที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา

     แข้งดาวดังอย่าง โทนี่ โครส ห้องเครื่อง เรอัล มาดริด, ลีรอย ซาเน่ ปีกตัวใหม่ บาเยิร์น มิวนิค, ไค ฮาแวร์ตซ์ กองกลางดาวรุ่ง ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น และ ติโม แวร์เนอร์ หัวหอกป้ายแดง เชลซี ต่างมีชื่อติดโผกันอย่างพร้อมหน้

     อย่างไรก็ตาม บรรดาแข้งตัวหลักจากค่าย "เสือใต้" อย่าง มานูเอล นอยเออร์, โยชัว คิมมิช, แซร์จ นาบรี้ และ ลีออน โกเร็ตซ์ก้า ไม่มีชื่อติดทีม เนื่องจากได้รับอนุญาตให้พัก หลังเพิ่งช่วยต้นสังกัดพิชิต ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 1-0 ในเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม ที่ผ่านมา
 
     สำหรับนักเตะหน้าใหม่ที่ถูกเรียกตัวติดทัพ "อินทรีเหล็ก" เป็นครั้งแรกมี 3 ราย ซึ่งประกอบไปด้วย โรบิน โกเซนส์ แบ็กซ้ายตัวเก่ง อตาลันต้า, โฟลเรียน นอยเฮาส์ มิดฟิลด์ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค และ โอลิเวอร์ เบามันน์ นายทวารฝีมือดีจาก ฮอฟเฟ่นไฮม์

สรุปรายชื่อ 22 ผู้เล่นทีมชาติเยอรมนี

     ผู้รักษาประตู : เควิน ทรัปป์ (ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต), แบร์นด์ เลโน่ (อาร์เซน่อล / อังกฤษ), โอลิเวอร์ เบามันน์ (ฮอฟเฟ่นไฮม์)

     กองหลัง : ธีโล เคห์เลอร์ (ปารีส แซงต์-แชร์กแมง / ฝรั่งเศส), โรบิน โกเซนส์ (อตาลันต้า / อิตาลี), มัทธีอัส กินเทอร์ (โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค), โจนาธาน ทาห์ (ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น), นิโค่ ชูลซ์ (โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์), นิคลาส ซือเล่ (บาเยิร์น มิวนิค), อันโตนิโอ รือดิเกอร์ (เชลซี / อังกฤษ), โรบิน ค็อค (ไฟร์บวร์ก)

     กองกลาง : โฟลเรียน นอยเฮาส์ (โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค), ยูเลียน ดรักซ์เลอร์ (ปารีส แซงต์-แชร์กแมง / ฝรั่งเศส), โทนี่ โครส (เรอัล มาดริด / สเปน), ยูเลี่ยน บรันด์ท (โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์), ไค ฮาแวร์ตซ์ (ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น), ลีรอย ซาเน่ (บาเยิร์น มิวนิค), ซูอัต แซร์ดาร์ (ชาลเก้ 04), อิลคาย กุนโดกัน (แมนเชสเตอร์ ซิตี้ / อังกฤษ), เอ็มเร่ ชาน (โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์)

     กองหน้า : ติโม แวร์เนอร์ (เชลซี / อังกฤษ), ลูก้า วัลด์ชมิดท์ (เบนฟิก้า / โปรตุเกส)

เรียบร้อยแล้ว!ดาวรุ่งเยอรมันส่งสัญญาณซบลิเวอร์พูล

 

เมลคามู ฟรอนดอร์ฟ มิดฟิลด์อนาคตไกล ส่งสัญญาณว่าซบ ลิเวอร์พูล แล้ว หลังจากใส่ชื่อทีมในประวัติของตัวเอง โดยเจ้าตัวเล่นได้โดดเด่นกับทีมเยาวชนของ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ในช่วงที่ผ่านมา

เมลคามู ฟรอนดอร์ฟ กองกลางดาวรุ่งชาวเยอรมัน เหมือนกับว่าจะย้ายไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล แบบไร้ค่าตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากเจ้าตัวใส่ชื่อ "หงส์แดง" ในหน้าประวัติส่วนตัวบน อินสตาแกรม เครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดฮิตด้วย

ฟรอนดอร์ฟ เคยตกเป็นข่าวกับ ลิเวอร์พูล อย่างหนักเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากที่เขาทำผลงานได้โดดเด่นกับทีมรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปีของ ฮอฟเฟ่นไฮม์ โดยในฤดูกาล 2019-20 เขาทำได้ 5 ประตูกับ 5 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 20 นัด

จากคนที่หลายฝ่ายมองข้ามสู่กุนซือทริปเปิ้ลแชมป์ ! เรื่องน่ารู้ของ ฮันซี่ ฟลิค

ตอนที่ ฮันส์-ดีเทอร์ ฟลิค หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ฮันซี่ ฟลิค ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาเป็นเทรนเนอร์ชั่วคราวของ บาเยิร์น มิวนิค เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ปี 2019 นั้น หลายคนไม่ได้ให้ความสนใจเขามากเท่าไหร่นัก เพราะแทบทุกคนฟันธงว่าเขาจะได้คุมทีมแค่ระยะเวลาสั้นๆ เพื่อประคองทีมให้พ้นจากความเลวร้ายที่เกิดจากยุคของ นิโก้ โควัช เท่านั้น และ บาเยิร์น จะเอาคนที่โด่งดังกว่ามารับงานกุนซือของทีม ซึ่งตอนนั้นคนที่มีข่าวกับเก้าอี้นายใหญ่ของ บาเยิร์น ก็มีอย่างเช่น โชเซ่ มูรินโญ่, มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี และ อาร์แซน เวนเกอร์ เป็นต้น เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ฟลิค สามารถทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องจนทำให้บอร์ดบริหาร บาเยิร์น เชื่อใจเขา และยกระดับเขาให้เป็นกุนซือแบบถาวรในวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา ด้วยสัญญาที่มีผลจนถึงช่วงซัมเมอร์ ปี 2023 ซึ่งเขาก็ตอบแทนความไว้เนื้อเชื่อใจนั้นได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการพาทีมได้ทั้งแชมป์ บุนเดสลีกา, เดเอฟเบ-โพคาล และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ประจำฤดูกาล 2019-20 มาครองได้

ความสำเร็จของ ฟลิค ในฐานะกุนซือ บาเยิร์น ทำให้หลายคนหันมาสนใจเขามากขึ้น เพราะไม่มีใครคิดมาก่อนว่าเขาจะมาได้ไกลถึงขนาดนี้ และวันนี้เราก็มีเกร็ดบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับกุนซือวัย 55 ปีมาให้ได้รู้กัน

– เคยเล่นให้ บาเยิร์น
ก่อนจะมาเป็นกุนซือของ บาเยิร์น ฟลิค เคยรับใช้ "เสือใต้" ในฐานะนักเตะระหว่างปี 1985-90 โดยเขาย้ายมาจาก เอสเฟา ซานด์เฮาเซ่น ซึ่งสมัยที่ยังค้าแข้งอยู่นั้นเขาเล่นเป็นกองกลาง และลงเล่นให้ทีมไป 139 นัดในทุกรายการ พร้อมกับทำได้ 7 ประตู

สมัยเป็นนักเตะ ฟลิค ก็ประสบความสำเร็จกับทีมอย่างมากด้วย โดยได้แชมป์ บุนเดสลีกา 4 สมัย กับแชมป์ เดเอฟเบ-โพคาล 1 ครั้ง โดยเขายังเคยไปถึงรอบชิงชนะเลิศของศึก ยูโรเปี้ยน คัพ หรือชื่อเดิมของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ร่วมกับ บาเยิร์น ในฤดูกาล 1986-87 ด้วย แต่ตอนนั้น บาเยิร์น ก็แพ้ให้ เอฟซี ปอร์โต้ 1-2 ซึ่ง ฟลิค ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมนั้นเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเขาก็ได้สัมผัสกับถ้วย "บิ๊กเอียร์" แล้ว แม้ว่าหนนี้จะเป็นในฐานะกุนซือก็ตาม

– แขวนสตั๊ดอย่างรวดเร็ว
ฟลิค ย้ายจาก บาเยิร์น ไปอยู่กับ เอฟเซ โคโลญจน์ ในปี 1990 ซึ่งเขาก็ได้ลงเล่นให้ "แพะบ้า" พอประมาณ ด้วยการลงสนามไป 54 นัดจากทุกรายการ พร้อมกับทำได้ 3 ประตู และ 2 แอสซิสต์ โดยเขายังอยู่กับ โคโลญจน์ ชุดที่เป็นรองแชมป์ เดเอฟเบ-โพคาล ในฤดูกาล 1990-91 ด้วย

 อย่างไรก็ตาม พอถึงปี 1993 ฟลิค ก็จำเป็นต้องบอกลาการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บหลายต่อหลายครั้ง โดยตอนนั้นเขามีอายุเพียง 28 ปีเท่านั้น โดยถึงแม้ในปี 1994 เขาจะมาเล่นกับ วิคตอเรัย บามเมนทัล ทีมในบ้านเกิด แต่มันก็เป็นเพียงทีมระดับสมัครเล่นเท่านั้น และตอนนั้นเขาก็ควบตำแหน่งกุนซือของทีมตามไปด้วย

– หัวใส
สมัยนี้การจะมาเป็นกุนซือในระดับอาชีพมันไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ คนที่จะทำงานด้านนี้ได้จำเป็นต้องสอบผ่านการเป็นโค้ชตามระดับที่ถูกกำหนดเอาไว้ซะก่อน ซึ่ง ฟลิค ก็เข้าคอร์สนี้เหมือนกัน ก่อนที่จะได้รับใบอนุญาตการเป็นกุนซือระดับ เอ ไลเซนส์ หรือคอร์สขั้นสูงสุด เมื่อปี 2003

อย่างไรก็ตาม ที่น่าทึ่งก็คือในรุ่นของ ฟลิค นั้น เขาคือคนที่สอบผ่านด้วยคะแนนสูงสุดร่วมกับ โธมัส โดลล์ อดีตกุนซือ ฮัมบูร์ก เอสเฟา และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เลยทีเดียว ซึ่งในช่วงนั้นเขาก็คุม ฮอฟเฟ่นไฮม์ อยู่ด้วย โดยตอนนั้น ฮอฟเฟ่นไฮม์ ยังไม่ได้อยู่ในลีกสูงสุด ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องสอบผ่านการเป็นโค้ชระดับสูงสำหรับการเป็นกุนซือของที่นั่น

– แชมป์โลก
ในตอนที่ โยอาคิม เลิฟ ถูกแต่งตั้งให้เป็นเทรนเนอร์คนใหม่ของทีมชาติเยอรมนีแทนที่ เจอร์เก้น คลิ้นส์มันน์ เมื่อปี 2006 นั้น เลิฟ ก็ตัดสินใจเอา ฟลิค มาเป็นผู้ช่วยของเขา ทำให้นั่นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ทั้งกุนซือและผู้ช่วยกุนซือของทีมชาติเยอรมนีต่างก็ไม่เคยเล่นให้ทัพ "อินทรีเหล็ก" ชุดใหญ่มาก่อน โดย ฟลิค เคยเล่นให้ทีมรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี เป็นจำนวน 2 นัด ส่วน เลิฟ เคยเล่นให้ทีมชาติเยอรมนี ตะวันตก รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี 4 เกม

อย่างไรก็ตาม มันสมองของ ฟลิค กับ เลิฟ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ เยอรมนี พัฒนาขึ้นอย่างมาก โดยหลังจากได้เพียงรองแชมป์ ยูโร 2008, เป็นอันดับ 3 ของ ฟุตบอลโลก 2010 และไปถึงรอบรองชนะเลิศของ ยูโร 2012 แล้วนั้น เยอรมนี ก็ได้แชมป์ ฟุตบอลโลก 2014 ไปครอง โดยหลังจากประสบความสำเร็จในครั้งนั้น ฟลิค ก็บอกลาตำแหน่งมือขวาของ เลิฟ แล้วไปเป็นผู้อำนวยการกีฬาให้กับสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมนี (เดเอฟเบ)

– ได้รับการยกย่องที่บ้านเกิด
จากความสำเร็จในศึกฟุตบอลโลก 2014 ทำให้เมืองบามเมนทัลยกสถานะพิเศษประจำเมืองให้กับ ฟลิค ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2015 ซึ่งมันก็ทำให้เขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับเกียรติที่ว่าจากเมืองบามเมนทัลด้วย

 

เสือใต้ออกโรง! 5 ประเด็นฮอตก่อนจ่าฝูงบาเยิร์นบุกฟัดอูนิโอน

หลังทีมลุ้นแชมป์บุนเดสลีกาอย่าง ดอร์ทมุนด์, ไลป์ซิก และกลัดบัค ลงสนามกันไปแล้ว มาถึงคิวของจ่าฝูงอย่าง "เสือใต้" คัมแบ็กกลับมาลงสนามกันบ้างโดยคืนนี้พวกเขาจะต้องบุกไปเยือนทีม อูนิโอน เบอร์ลิน ซึ่งมีผลงานในบ้านไม่ธรรมดาทีเดียว บาเยิร์น มิวนิค จะทำแต้มหนีห่างผู้ตามได้หรือไม่ต้องติดตาม แต่ก่อนแมตช์จะเริ่มเรามาดูประเด็นร้อนที่น่าสนใจกันเลย

1.แข้งบาดเจ็บเตรียมคัมแบ็ก

 

        สิ่งเดียวที่เป็นข้อดีของการหยุดการแข่งขันคือบาเยิร์นจะได้นักเตะที่บาดเจ็บก่อนหน้านี้กลับมาฟิตอีกครั้ง พวกเขามีนักเตะบาดเจ็บอยู่บางส่วนเมื่อเดือนที่แล้ว แต่นักเตะสำคัญบางคนพ้อมสำหรับเกมคืนนี้

        ตอนแรก “เสือใต้” คงปวดหัวทีเดียวหลัง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ดาวซัลโวของทีมมีปัญหาบาดเจ็บที่หัวเข่าข้างซ้ายในนัดที่บุกไปถล่ม เชลซี 3-0 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้เขาต้องพักนาน 4 สัปดาห์ ขณะที่ เปริซิช ซึ่งปัจจุบันอยู่ในสัญญายืมตัวจาก อินเตอร์ มิลาน พักแข้งมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ก.พ. เพราะเจ็บข้อเท้า อย่างไรก็ตามทั้งสองมีโอกาสจะลงเล่นในคืนนี้

    อย่างไรก็ตามยังมีนักเตะที่ยังกลับมาไม่ได้เช่น นิคลาส ซือเล่ และลูก้าส์ แอร์กน็องเดซ ที่ต้องเรียกความฟิตหลังจากบาดเจ็บ ขณะที่ โกร็องแต็ง โตลิสโซ่ และฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ยังคงบาดเจ็บอยู่

2.เสือใต้รักษาฟอร์ม?

 

        ก่อนเบรคการแข่งขัน บาเยิร์น มิวนิค  ถือว่าฟอร์มฮอตมากทีเดียวเนื่องจากพวกเขาชนะ 10 ขาก 11 หลังสุดในบุนเดสลีกา พูดง่ายๆว่า “เสือใต้” ยังไม่แพ้ใครเลยมาตั้งแต่เปิดปี 2020 ขณะที่ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกก็ทำผลงานสวยหรูด้วยการบุกยำ เชลซี 3-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดแรก

        แต่อย่างที่เรารู้กันว่าบุนเดสฯหยุดการแข่งขันมานาน จึงเป็นคำถามว่าพวกเขาจะรักษาฟอร์มต่อเนื่องได้หรือไม่ซึ่งมันรวมถึงสภาพความฟิตของนักเตะหลังจากไม่ได้ลงแข่งขันอย่างสม่ำเสมอด้วย หากวันนี้เขาคว้าชันชนะได้จะถือเป็นการเรียกขวัญกำลังใจกลับมาและมันจะเป็นประโยชน์กับ 8 ในนัดที่เหลือของฤดูกาล

3.นัดแรกเฉือนหืด

 

        คืนนี้จะเป็นการเจอกันเพียงครั้งที่สองในลีกของทั้งสองทีมเนื่องจากอูนิโอน เบอร์ลินเลื่อนชั้นมาลีกสูงสุดเป็นครั้งแรก สำหรับนัดแรกที่เจอกันที่ อลิอันซ์ อารีน่า เมื่อเดือนตุลาคมปรากฎว่า บาเยิร์น เฉือนชนะ 2-1

        โดยประตูแรก เบนฌาแม็ง ปาวาร์ ซัดวอลเลย์สุดสวยให้ทีมขึ้นนำก่อน เลวานดอฟสกี้ จะกดประตูที่สอง พร้อมทำสถิติเป็นผู้เล่นบุนเดสลีกาคนแรกที่ยิงประตูได้ทุกนัดใน 9 เกมแรกของฤดูกาล

        ความจริงทีมเยือนเกือบตีไข่แตกหลังได้จุดโทษแต่ เซบาสเตียน อันเดอร์สสัน ยิงจุดโทษไปติดเซฟของ มานูเอล นอยเออร์ อย่างไรก็ตามท้ายเกม อูนิโอน เบอร์ลิน มายิงอีกหนึ่งจุดโทษและคราวนี้ เซบาสเตียน โพลเตอร์ สังหารไม่พลาด แต่สุดท้ายไล่ไม่ทันทำให้พ่ายแพ้ไปและชัยชนะครั้งนั้นช่วยให้ “เสือใต้” ขยับขึ้นจ่าฝูง ซึ่งตอนนั้นกุนซือ นิโก้ โควัช ยังคุมทีมอยู่

4.บทพิสูจน์ของฟลิค

 

        คืนนี้จะเป็นนัดแรกที่ ฮันส์ ดีเทอร์-ฟลิค คุม บาเยิร์น มิวนิค หลังเซ็นสัญญาถาวร ในตอนที่เจ้าตัวมากุนซือขัดตาทัพแทนที่ของ นิโก้ โควัช เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เขาช่วยให้ทีมทำผลงานได้ดีขึ้นผิดหูผิดตาโดยมีสถิติที่สุดยอดด้วยการคว้าชัย 18 จาก 21 เกม(เสมอ 1 แพ้ 2) แถม กระหน่ำคู่แข่งไปถึง 67 ลูก เฉลี่ยตกเกมละ 3.19 ลูกเลยทีเดียว

        แมตช์เปิดตัวของเขาคือศึก "แดร์ คลาสซิเคอร์" กับคู่ปรับตัวฉกาจอย่าง ดอร์ทมุนด์ ซึ่งสุดท้าย “เสือใต้” ถล่มเละเทะถึง 4-0 นอกจากนี้เขายังสร้างบารมีด้วยการพาทีมบุกชนะ สเปอร์ส และ เชลซี ใน ชปล. อีกด้วย ไม่แปลกใจที่บอดร์ดบริหารจะแต่งตั้งเขาคุมทัพถาวร แต่ต้องมาดูกันว่าเขาจะยืนระยะและคว้าแชมป์ในซีซั่นนี้ได้หรือไม่

5.เยือนถิ่นนี้ต้องระวัง!

 

        มาพูดถึงฝั่งน้องใหม่ อูนิโอน เบอร์ลิน กันบ้าง พวกเขาทำผลงานเซรอ์ไพรส์ในฤดูกาลนี้พอสมควร โดยอยู่ในอันดับที่ 12 ของตาราง หลังโดน แฮร์ธ่า เบอร์ลิน คว้าชัยชนะเหนือ ฮอฟเฟ่นไฮม์ เมื่อวานนี้แซงขึ้นมาที่ 11 ของตาราง พวกเขามีแต้มห่างจากโซนเพลย์ออฟตกชั้นถึง 8 แต้มกับ 9 เกมที่เหลือซึ่งหากเก็บแต้มได้เรื่อยๆก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับการอยู่รอดในฤดูกาลนี้

        แม้ว่า 5 นัดหลังสุดในลีกพวกเขาทำผลงานไม่คงเส้นคงวาเท่าไหร่หลังชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 2 แต่ลูกทีมของ อูร์ส ฟิชเชอร์ มีผลงานในบ้านไม่ธรรมดาทีเดียวโดยคว้าชัยในลีก 5 จาก 8 เกมหลังสุดที่เล่นในถิ่นตัวเองแถมใน 5 นัดนั้นเก็บคลีนชีททั้งหมดด้วย แสดงให้เห็นว่าคืนนี้ไม่ใช่งานง่ายของ “เสือใต้” แน่นอน มารอดูกันว่าเจ้าบ้านจะทำเซอร์ไพรส์ทีมเยือนได้หรือไม่

ซานโช่ทุบสถิติ! 5 ประเด็นร้อนหลังดอร์ทมุนด์บุกทุบโวล์ฟบวร์ก

ดอร์ทมุนด์ ไม่พลาดสามแต้มหลังบุกซิวชัยเหนือ "หมาป่าแห่งเมืองเบียร์" โวล์ฟบวร์ก 2-0 โดยคนทำประตูแรกคือ ราฟาแอล เกร์เรยโร่ ก่อนที่ อัชราฟ ฮาคิมี่ จะซัดประตูปิดกล่อง แม้สกอร์อาจจะเหมือนเป็นเกมที่ง่ายสำหรับ ดอร์ทมุนด์ แต่เจ้าบ้านก็ถือว่าทำการบ้านมาได้ดีเช่นกัน เรามาดูประเด้นที่น่าสนใจในเกมนี้กันเลย

1.ซานโช่ทำสถิติ

 

    ไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยแต่อย่างใดเมื่อ จาดอน ซานโช่ ออกสตาร์ทเป็นตัวสำรองเป็นนัดที่ 3 ติดต่อกันในลีก การขาดหายไปของเขาไม่ได้เกี่ยวกับการย้ายทีมแต่อย่างใด ลูเซียง ฟาฟร์ พยายามเรียกความฟิตเขาหลังจากได้รับบาดเจ็บที่น่อง ก่อนหน้านี้เขาโชว์ฟอร์มสุดยอดด้วยการยิง 14 ประตูและทำ 15 แอสซิสต์ซึ่งเป็นสถิติที่เจ๋งๆมาก อย่างไรก็ตาม ดอร์ทมุนด์ ไม่ห่วงเท่าไหร่เมื่อเขาไม่ได้ลงเล่นเพราะว่า ธอร์กกาน อาซาร์ ยังทำหน้าที่ดาวเด่นให้กับทีมซึ่งเกมนี้ก็จ่ายอีกหนึ่งประตูรวมเป็น 12 แอสซิสต์ในลีกแล้ว

    อย่างไรก็ตาม ซานโช่ ลงมาในช่วง 25 นาทีสุดท้ายของเกม แต่เจ้าตัวก็ยังสามารถจ่ายให้เพื่อนร่วมทีมยิงประตูทำให้เพิ่มเป็น 16 แอสซิสต์ กลายเป็นนักเตะดอร์ทมุนด์ที่ทำแอสซิสต์มากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล

2.เกร์เรยโร่ก้าวขึ้นไปอีกระดับ

 

    ราฟาแอล เกร์เรยโร่ กับระบบ 3-4-3 ของ กุนซือ ลูเซียง ฟาฟร์  ถือเป็นอะไรที่กลมกล่อมมาก เขากำลังสนุกกับการป้องกันเกมรับและการเติมเกมรุก วิงแบ็กวัย 26 ปีเคยเป็นตัวสำรองที่ไม่ได้ถูกใช้งานในเกมพ่าย ฮอฟเฟ่นไฮม์ 2-1 เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ตั้งแต่นั้นมาเขาลงเล่นทุกนัดในลีกให้กับดอร์ทมุนด์พร้อมกับทำ 6 ประตูและ 2 แอสซิสต์ซึ่งรวมถึงสองประตูจากเกมที่แล้ว และหนึ่งประตูในเกมนี้ด้วย

3.ฮาคิมี่ก็ใช่ย่อย

 

    พูดถึง ราฟาแอล เกร์เรยโร่ ทางวิงแบ็กฝั่งซ้ายแล้วก็ต้องขอชมวิงแบ็กทางฝั่งขวาที่เกมนี้ก็เล่นได้ดีเช่นเดียวกัน สตาร์โมร็อกโก จบสกอร์ลูกจ่ายของ ซานโช่ ในครึ่งหลังเป็นการปิดเกมที่ช่วยให้ ดอร์ทมุนด์ การันตีสามแต้ม เขาได้รับ แมน ออฟ เดอะ แมตช์ จากเว็บไซต์ whoscored หลังใช้โอกาสยิง 1 ครั้งเป็นประตู, จ่ายคีย์พาสมากที่สุดในทีม 2 ครั้ง และเป็นนักเตะที่สัมผัสมบอลมากที่สุดในทีม 115 ครั้ง ฤดูกาลนี้เขาทำไปแล้วทั้งหมด 3 ประตูกับ 10 แอสซิสต์แล้ว

4.แท็คติกหมาป่าเอาไม่อยู่

 

    ก่อนเกมนี้ โวล์ฟสบวร์ก กำลังอยู่ในฟอร์มที่ดีหลังไม่แพ้ใครมา 7 นัดติดต่อกัน แต่นัดนี้ถือเป็นความท้าทายมากๆของพวกเขา โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ กุนซือของทีมหมาป่าเมืองเบียร์ มีแผนที่จะจัดการ เออร์ลิง ฮาแลนด์ ซึ่งก็ได้ผลพอสมควร จอห์น บรู๊คส์ ทำหน้าที่ของเขาได้ดีแต่อาวุธของ “เสือเหลือง” ไม่ได้มีแค่นี้

    ไม่มีใครสร้างปัญหา โวล์ฟสบวร์ก ไปได้มากกว่า ยูเลี่ยน บรันด์ท แล้ว การขาดหายไปของกัปตัน มาร์โก รอยส์ ไม่ได้ทำให้ทีมต่ำลงกว่ามาตรฐานแต่อย่างใด หลังจากอดีตดาวเตะเลเวอร์คูเซ่น โชว์ฟอร์มน่าประทับใจ

    บรันด์ท ได้รับอิสระในการเคลื่อนที่จากกุนซือและการเคลื่อนที่ของเขาก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมยิงประตูแรกโดยเขาลากกองหลังให้เปิดช่องและจ่ายให้ ฮาคิมี่ ก่อนบอลจะถึง เกร์เรยโร่ ทำประตู ความสามารถของ บรันด์ท ช่วยทีมได้มากเชื่อว่าเมื่อมาริโอ เกิทเซ่ ออกจากทีมไป เบอร์ 10 จะตกเป็นของเขาแน่นอน

5.พร้อมสำหรับ “แดร์ คลาสสิกเคอร์”

 

    ชัยชนะเหนือ โวล์ฟสบวร์ก ทำให้ทีมไล่จี้ บาเยิร์น มิวนิค เหลือแค่แต้มเดียว แต่ทว่า “เสือใต้” ก็ไม่พลาดเปปิดรังถล่ม แฟร้งค์เฟิร์ต ขาดลอยถึง 5-2 ทำให้สัปดาห์นี้จ่าฝูงและรองจ่าฝูงยังคงห่าง 4 แต้มเท่าเดิม ทว่าอังคารนี้จะมีบิ๊กแมตช์สำคัญที่อาจหมายถึงการตัดสินแชมป์เลยก็ว่าได้

    ดอร์ทมุนด์ เตรียมเปิดรังรับการมาเยือนของ จ่าฝูง บาเยิร์น มิวนิค หาก “เสือเหลือง” คว้าสามแต้มได้การลุ้นแชมป์จะสนุกขึ้นเท่าตัว แต่ถ้าพวกเขาดันพลาดท่าแพ้ บาเยิร์น ขึ้นมาจะทำให้กลายเป็นแต้มห่าง 7 แต้มทันที ถือเป็นเกมสำคัญอย่างมากสำหรับทั้งสองทีม มาดูกันว่าการดวลกันรอบสองของกุนซือ ลูเซียง ฟาฟร์ และฮันส์ ดีเทอร์-ฟลิค จะเป็นอย่างไร