อัดอั้นมานาน!ชไนเดอร์ลินจวกฟานกัลยับเยิน

หลังจากกลั้นความรู้สึกมานานหลายปี ล่าสุด มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน ก็ออกมาจวก หลุยส์ ฟาน กัล อดีตกุนซือที่ร่วมงานกันตอนอยู่ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แบบยับเยิน โดยบอกว่าอีกฝ่ายจำกัดกรอบการเล่นมากเกินไปจนทำให้นักเตะไม่มีอิสระในการเล่น แถมยังเข้มงวดเกินกว่าเหตุ พร้อมรับ ตอนนั้นน่าจะไปอยู่กับ สเปอร์ส น่าจะเหมาะกว่า
   
มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน มิดฟิลด์ นีซ สโมสรในศึก ลีก เอิง ฝรั่งเศส ตำหนิ หลุยส์ ฟาน กัล ว่าทำทีมโดยที่ใช้มาตรการเข้มงวดกับเรื่องต่างๆ มากเกินไป อย่างเช่นการจำกัดรูปแบบการเล่น จนส่งผลให้ตนกับคนอื่นๆ ในทีมไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งออกมาได้ตามไปด้วย

ตอนช่วงซัมเมอร์ ปี 2015 ชไนเดอร์ลิน ตกเป็นข่าวกับหลายทีม อย่างเช่น แมนฯ ยูไนเต็ด และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เป็นต้น หลังจากช่วงนั้นเขาทำผลงานได้โดดเด่นกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ก่อนที่สุดท้ายเจ้าตัวจะเลือก "ปีศาจแดง" แต่เขาก็ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งกับที่นั่นได้จนโดนปล่อยไปให้ เอฟเวอร์ตัน ในเดือนมกราคม ปี 2017

ดาวเตะชาวฝรั่งเศสให้สัมภาษณ์กับ ดิ แอธเลติก สื่อกีฬาชื่อดังว่า "เราโดนสั่งว่า -เมื่อไหร่ก็ตามที่แกได้จับบอลน่ะ แกต้องทำอย่างนี้นะ- ทั้งที่ผมควรจะได้เล่นด้วยความกล้าของผมเหมือนอย่างที่ทำได้ตอนเล่นให้ (เมาริซิโอ) โปเช็ตติโน่ และ (โรนัลด์) คูมัน (ชไนเดอร์ลิน เคยร่วมงานกับทั้งคู่ที่ เซาธ์แฮมป์ตัน) สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของนักฟุตบอลก็คือเมื่อมันเกิดเวลาที่คุณคิดมากเกินไป ผมเริ่มคิดว่า -อา ผู้จัดการทีมอยากให้ฉันทำอย่างนี้- ซั่งนั่นทำให้คุณเสียสัญชาตญาณของตัวเอง คุณจะเริ่มถูกบีบให้ต้องทำบางอย่างจนสุดท้ายก็จ่ายพลาด, เข้าสกัดช้าเกินไป ฯลฯ มันทำให้ความมั่นใจของคุณหายไป"

"มันทำให้ผมมีทั้งเกมที่เล่นได้ดีมากๆ แล้วก็เกมที่เล่นได้ห่วยแตกสุดๆ ตอนนั้นผมไม่มีความมั่นใจมากนัก ผมถึงขั้นเริ่มบ่นกับภรรยาของผมด้วยซ้ำ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกเจ็บใจที่ไม่สามารถเล่นอย่างมีอิสระที่ ยูไนเต็ด ได้ ไอ้เรื่องความกดดันจากสถานะของสโมสรน่ะมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเลย ผมชอบรับมือกับความกดดันอยู่แล้ว ผมอยากเจอกับความกดดันและอยากมีอะดรีนาลีนที่ดี ส่วนแฟนบอลก็ปฏิบัติกับผมดีมากๆ ตอนที่เจอกันบนท้องถนน"

"ปัญหามันมาจากตัวผมเอง เพราะผมรู้ว่าผมสามารถทำหลายอย่างให้กับทีมได้ แต่กลับทำไม่สำเร็จเพราะผมรู้สึกว่าตัวเองโดนจำกัดให้อยู่ในกรอบมากเกินไป ตอนนี้ผมอาจจะไม่ได้รู้สึกโมโหมากนัก แต่สมัยนั้นผมโกรธสุดๆ คุณไม่สามารถกินข้าวได้เลยจนกว่าผู้จัดการทีมจะอนุญาตให้คุณทำอย่างนั้นได้ จริงอยู่ว่าแนวทางแบบนี้มันได้ผลดีกับนักเตะทีอายุ 19 และ 20 ปี แต่ไม่ใช่กับนักเตะที่อายุเยอะกว่านั้น แน่นอนว่า ฟาน กัล พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นกุนซือชั้นยอด แต่ผมไม่คิดว่าเราควรจะต้องมีไอเดียแบบนั้นในตอนนั้น"

ชไนเดอร์ลิน ยอมรับด้วยว่าที่จริงตอนนั้นตนน่าจะย้ายไปอยู่กับ สเปอร์ส ดีกว่า โดยตอนนั้น โปเช็ตติโน่ ที่เคยร่วมงานกับเขาที่ เซาธ์แฮมป์ตัน ก็เป็นกุนซือของ "ไก่เดือยทอง" อยู่พอดีด้วย "มี 2 ทีมที่ติดต่อหาเอเยนต์ของผม แต่พอ แมนฯ ยูไนเต็ด ให้ความสนใจในตัวคุณแล้วน่ะ คุณก็ไม่มีทางเลือกอื่นหรอก เพราะว่า แมนฯ ยูไนเต็ด กับ เรอัล มาดริด คือ 2 ทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก คุณไม่สามารถปฏิเสธ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ แต่ถ้าผมทำตามหัวใจของตัวเองแล้วล่ะก็ ผมก็น่าจะเซ็นสัญญากับ สเปอร์ส ดีกว่า"

"ผมรู้จักผู้จัดการทีม (โปเช็ตติโน่) เป็นอย่างดี ผมรู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผม และรู้ว่าสไตล์การนำซ้อมของเขาเป็นยังไง เขาติดต่อมาขอให้ผมไปเล่นที่ สเปอร์ส เขาอยากได้ผมไปร่วมทีมแบบจริงจังระดับ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม จริงอยู่ว่าเขา (ฟาน กัล) อยากได้ผมเหมือนกัน แต่เราแค่คุยทางโทรศัพท์กันนิดหน่อยเท่านั้น ดังนั้นมันก็เหมือนกับว่าผมเซ็นสัญญาเพื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฐานะสโมสรฟุตบอลมากกว่าการเซ็นสัญญาเพื่อผู้จัดการทีม"

 

ชไนเดอร์ลินโทษตัวเองล้มเหลวกับแมนยู

มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน มิดฟิลด์สโมสรนีซ ยันตนทำผิดพลาดที่ไม่รู้จักอดทนช่วงที่เล่นให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ระบุไม่เคยเสียใจที่ย้ายไปร่วมชุด "เร้ด เดวิลส์" เพราะได้รับประสบการณ์ที่แสนวิเศษมากมาย

    มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน กองกลางเลือดเฟร้นช์ของ นีซ สโมสรดังแห่งศึกลีก เอิง ฝรั่งเศส ไม่โทษใครนอกจากตัวเองกับความล้มเหลวตอนที่ย้ายไปเล่นให้กับ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมระบุไม่เสียใจที่ย้ายไปที่นั่น เพราะได้รับประสบการณ์ที่ดีๆ มากมาย

    หลุยส์ ฟาน กัล ที่ในเวลานั้นยังนั่งกุมบังเหียน "เร้ด เดวิลส์" จัดการดึงตัว ดาวเตะดีกรีทีมชาติฝรั่งเศส มาจาก "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ (ราว 950 ล้านบาท) เมื่อปี 2015 แต่ตลอดช่วง 2 ฤดูกาลในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เขาไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลย จนสุดท้ายโดน โชเซ่ มูรินโญ่ ขายทิ้งไปให้กับ เอฟเวอร์ตัน

    แม้ว่าจะล้มเหลวในฐานะนักเตะ "ผีแดง" ก็ตาม แต่ ชไนเดอร์ลิน ยืนยันว่าไม่มีอะไรต้องเสียใจที่ย้ายไปเล่นให้สโมสรเจ้าของแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี 20 สมัย ที่สำคัญยังรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เล่นให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด "มันเป็นความภาคภูมิใจสำหรับผม (ที่ได้เล่นกับแมนฯ ยูฯ) มันเป็นเกียรติอย่างยิ่ง"

        "ผมอยากมีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานๆ ซึ่งมันคงทำให้เส้นทางของผมแตกต่างไปจากนี้ แต่แน่นอนว่าผมต้องตำหนิตัวเอง ผมควรจะมีความอดทนมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามผมไม่เคยเสียใจอะไรทั้งนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่แสนวิเศษสำหรับผม" ชไนเดอร์ลิน ระบุ

เบอร์14-15มาด้วย!6นักเตะแมนยูต้องพิสูจน์ตัวเอง

แมนเชสเตอร์ อีฟนิ่ง นิวส์ สื่ออังกฤษ เปิดชื่อ 6 นักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ยังต้องพิสูจน์ตัวเอง หลังทำผลงานได้ไม่ดี มิเช่นนั้นอาจไม่มีอนาคตในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อีกต่อไป
    สำหรับนักเตะทั้ง 6 คนเป็นใครบ้างไปดูกันได้เลย

    1. ฟิล โจนส์

    กองหลังวัย 28 ปี ดวงแตกในฤดูกาลนี้ หลังโดนทั้งอาการบาดเจ็บเล่นงาน และเมื่อได้โอกาสจาก โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ส่งลงสนามก็ทำผลงานไม่ได้เรื่อง ส่งผลให้อาจโดนขายทิ้ง

     โจนส์ ได้ลงเล่นในเกมลีกซีซั่นนี้เพียง 2 นัดเท่านั้น รวมทั้งเกมเสมอ เชฟฯ ยูไนเต็ด 3-3 เมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งเจ้าตัวเล่นโฉ่งฉ่าง และเคลียร์บอลไม่ดีจนเสียประตู

    กองหลังวัย 28 ปี ไม่มีชื่อนัดบุกไปเสมอ สเปอร์ส 1-1 เพราะมีอาการบาดเจ็บรบกวน แต่ถ้าฟิตก็เป็นตัวเลือกรองจาก แฮร์รี่ แม็กไกวร์, วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ และ เอริก ไบยี่ ส่งผลให้เจ้าตัวต้องพยายามเค้นฟอร์มอย่างหนัก

    2. ดีโอโก้ ดาโลต์

    ฟูลแบ็กโปรตุกีส วัย 21 ปี ไม่ได้มีพัฒนาการอย่างที่แฟนบอลคาดหวัง หลังย้ายจาก ปอร์โต้ มาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2018 ในสมัยที่ โชเซ่ มูรินโญ่ กุมบังเหียน

    เวลานี้ ดาโลต์ เป็นเพียงตัวเลือกรองในตำแหน่งแบ็กขวา หลัง อารอน วาน-บิสซาก้า ยึดตำแหน่งได้อย่างเหนียวแน่น ส่งผลให้แข้งฝอยทองเพิ่งได้ลงเล่นในลีกซีซั่นนี้ไปแค่ 67 นาทีเท่านั้น

    จริงๆ แล้ว ดาโลต์ มีจุดเด่นอยู่ที่ความเร็ว แต่ยังต้องพัฒนาเรื่องเกมรับอีกมากถ้ายังต้องการอยู่ค้าแข้งในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต่อไป

    3. ทิโมธี โฟซู-เมนซาห์

    แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าตัว โฟซู-เมนซาห์ มาจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ตั้งแต่ยังเป็นนักเตะเยาวชน ก่อนได้โอกาสลงประเดิมสนามนัดแรกในเกมพบ อาร์เซน่อล เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016 ในสมัยที่ หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือชาวดัตช์ กุมบังเหียนในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

    อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลัง โฟซู-เมนซาห์ วัย 22 ปี ต้องโดนส่งไปให้ทีมอื่นยืมตัวทั้งกับ คริสตัล พาเลซ เมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน และ ฟูแล่ม เมื่อซีซั่นที่แล้ว ก่อนกลับมาอยู่กับ "ปีศาจแดง" ในฤดูกาลนี้ แต่ยังไม่ได้ลงเล่นเลย เพราะบาดเจ็บหนักที่หัวเข่า

    แมนฯ ยูไนเต็ด ตัดสินใจใช้เงื่อนไขที่สามารถต่อสัญญากองหลังดัตช์ออกไปอีก 1 ปี เมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา และเจ้าตัวก็ต้องพยายามเร่งฟอร์มเมื่อหายเจ็บกลับมาเพื่อซื้อใจ โซลชา ให้ได้

    4. อักเซล ตวนเซเบ้

    ตวนเซเบ้ ดูมีพัฒนาการขึ้นมากหลังย้ายไปเล่นให้ แอสตัน วิลล่า แบบยืมตัวเมื่อฤดูกาลที่แล้ว  โดยลงเล่นให้ "สิงห์ผงาด" ไป 25 เกมและช่วยทีมเลื่อนชั้นได้สำเร็จ

    อย่างไรก็ตาม หลังกลับมาอยู่กับ "ปีศาจแดง" ดาวเตะวัย 22 ปีก็มีอาการบาดเจ็บรบกวน ทำให้ฤดูกาลนี้เพิ่งได้ลงเล่นในลีกไปแค่ 189 นาทีเท่านั้น

    ตวนเซเบ้ น่าจะได้โอกาสในเกม เอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มีโปรแกรมเจอ นอริช ซิตี้ วันเสาร์ที่ 27 มิ.ย.นี้

    5. เจสซี่ ลินการ์ด

    จากอนาคตที่เคยคาดว่าจะรุ่งแต่ตอนนี้คงร่วงเสียแล้วสำหรับ ลินการ์ด หลังฟอร์มย่ำแย่จนหลุดเป็นแค่ตัวสำรองเท่านั้น จนมีข่าวว่าอาจจะโดนขายทิ้งหลังจบซีซั่น

    ลินการ์ด วัย 27 ปี กำลังเผชิญกับช่วงเวลาสำคัญในอาชีพค้าแข้ง โดยเจ้าตัวหวังที่จะเค้นฟอร์มออกมาให้ได้ และฟิตหนักจนหุ่นสุดเฟิร์ม

    6. อันเดรียส เปเรยร่า

    เปเรยร่า วัย 24 ปี เป็นนักเตะอีกรายที่โดนแฟนบอล "ปีศาจแดง" วิจารณ์หนัก หลังทำผลงานย่ำแย่เวลาที่ได้รับโอกาสให้ลงสนาม ทั้งๆ ที่ โซลชา พยายามให้ความเชื่อมั่นมาตลอด

     นอกจากนั้น การย้ายเข้ามาของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส เมื่อเดือนมกราคม ก็ยิ่งทำให้ เปเรยร่า มีโอกาสได้โชว์ฝีเท้าน้อยลงด้วย แต่ก็น่าสนใจว่า เจ้าตัวจะพิสูจน์ตัวเองได้แค่ไหน หลังตั้งเป้าขออยู่ค้าแข้งในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต่อไป

กิ๊กส์เผยได้ประสบการณ์เพียบจากฟานกัล

ไรอัน กิ๊กส์ ผู้จัดการทีมชาติเวลส์เผยได้ประสบการณ์เพียบในการทำงานร่วมกับ หลุยส์ ฟาน กัล ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 ปีกพ่อมดก้าวขึ้นมาคุมทีม "ปีศาจแดง" ชั่วคราวหลัง เดวิด มอยส์ โดนปลดจากตำแหน่ง ก่อนที่ หลุยส์ ฟาน กัล จะเข้ามาทำหน้าที่นายใหญ่ของทีมและได้ตั้ง กิ๊กส์ เป็นมือขวา

 เมื่อถูกถามถึงการร่วมงานกับผู้จัดการคนอื่นนอกเหนือจาก เฟอร์กูสัน เป็นอย่างไร, กิ๊กส์ ตอบว่า "แนวทางที่แตกต่างกัน, บุคลิกที่แตกต่างกัน"

 "เห็นได้ชัดว่าผมพบผู้จัดการทีมชาติ แต่มันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น, นั่นเป็นเหตุผลที่ผมพูดถึง หลุยส์ เกี่ยวกับงานโค้ชของผม เพราะผมใช้เวลา 2 ปีในการประชุมและทำหน้าที่รับผิดชอบ"

 "ผมพูดด้วยความรักที่มีต่อเขาเพราะนั่นมันเป็นงานโค้ชแรกของผม ขณะที่ตอนคุณเป็นนักเตะคุณไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร, คุณไม่รู้ว่าผู้จัดการทีมเห็นอะไรในวีดีโอ"

 "นักเตะใช้เวลา 7-8 นาทีในการดูคู่แข่ง แต่ทีมโค้ชจะต้องดูมันเป็นชั่วโมง, ดังนั้นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง, แม้ว่าคุณจะทำงานกับผู้จัดการทีมมานาน"

 "มันเป็นเรื่องของการบริหารและสิ่งต่างๆที่ เซอร์ อเล็กซ์ ทำคือสิ่งที่ผมหยิบยกขึ้นมา, ในขณะที่ หลุยส์ ชัดเจนว่าผมได้เห็นว่าทำไมคุณถึงเล่นในระบบที่แตกต่าง เหตุผลสำหรับเรื่องนี้และเรื่องนั้น, มันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากจริงๆ"

ยังเคืองอยู่ !! หลุยส์ ฟาน กัล จวก แมนยู ซื้อแต่นักเตะเกรดสำรองมาให้ใช้

หลุยส์ ฟาน กัล อดีตผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรชั้นนำของ พรีเมียร์ลีก ยังไม่หายแค้นออกมาจวกอดีตต้นสังกัดว่า ไม่เคยซื้อนักเตะระดับท็อปที่เป็นเป้าหมายของตนมาให้ใช้เลย และที่ได้มาก็มีแต่ผู้เล่นที่เป็นระดับตัวเลือกสำรองเท่านั้น จากรายงานของ mirror.co.uk เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2563

        ฟาน กัล เข้ามาคุม แมนยู ในช่วงปี 2014-2016  ซึ่งตลอด 2 ปี เขาได้ใช้เงินไปถึง 276.4 ล้านปอนด์ ในการซื้อนักเตะใหม่ ซึ่งฤดูกาลแรกประกอบไปด้วย อังเดร์ เอร์เรร่า, ลุค ชอว์, มาร์กอส โรโฮ, ราดาเมล ฟัลเกา, ดาลี่ย์ บลินด์ และ อังเคล ดิ มาเรีย

        ส่วนซีซั่นที่ 2 กุนซือชาวดัตช์ ก็คว้าตัว เมมฟิส เดปาย, อองโตนี่ มาร์กซิยาล, มอร์แกน ชไนเดอร์ลิน, มัตเตโอ ดาร์เมี่ยน, เซร์คิโอ โรเมโร่, บิคตอร์ บัลเดส และ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ซึ่งก็สามารถพา ปีศาจแดง ได้แชมป์ เอฟเอ คัพ ไปครองได้ในท้ายที่สุด ทว่าหลังจากนั้นเจ้าตัวก็ต้องโดนปลดออกไป

        ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ ฟาน กัล เคืองไม่น้อยทีเดียว และมักจะออกมาโจมตี แมนยู อยู่บ่อย ๆ ล่าสุด กุนซือจอมปรัชญา ได้ออกมาวิจารณ์การทำงานการซื้อ-ขายนักเตะของอดีตต้นสังกัดว่า "แมนยู ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นแชมป์ และมีตัวเลือกที่ล้าสมัยพร้อมผู้เล่นนับสิบคนที่อายุมากกว่า 30 ปี และ 5 คนก็อายุเกิน 35 ปี"

        "ดังนั้น ผมจึงบอกพวกเขาว่า ผมจะทำการสร้างทีมใหม่ และผู้เล่นคนไหนคู่ควรให้เราดึงมาร่วมทีม แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ตามที่ต้องการเลย"

        "มันทำให้คุณต้องทำงานไปแบบเท่าที่มี และในฐานะโค้ชคุณต้องก้าวข้ามข้อกำจัดที่ว่านี้ให้ได้ คุณคงไม่คาดหวังว่าจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้กับสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในโลกหรอกนะ"

"มีงบสูงถึง 600 ล้านปอนด์ แต่กลับไม่สามารถซื้อผู้เล่นที่คุณต้องการได้เลย คุณควรจะซื้อตัวนักเตะที่เป็นระดับตัวเลือกอันดับ 1 ไม่ใช่อันดับ 7"

        "แน่นอนว่า สโมสรที่ขายนักเตะให้เราก็คงคิดว่า ‘ในเมื่อคุณรวย คุณก็ต้องจ่ายเงินจำนวนสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับผู้เล่นใหม่’ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับการซื้อ-ขายนักเตะ"

        "เมื่อเรื่องนี้ไปเกิดกับผู้เล่นที่เป็นเป้าหมายในลำดับที่ 7 หรือ 8 ของคุณ มันทำให้คุณต้องจ่ายเงินมากเกินความจำเป็น ซึ่งโค้ชก็เป็นคนที่ถูกตัดสิน และกลายเป็นคนที่ถูกลงโทษ"

 

เจ้านายคนไหน?แรชฟอร์ดเผยช่วงที่อยู่กับใครทำให้ตนพัฒนามากสุด

หลังจากได้ร่วมงานกับกุนซือของ แมนฯ ยูไนเต็ด มาแล้ว 3 คน ล่าสุด มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็บอกเองว่าตอนอยู่กับ โชเซ่ มูรินโญ่ คือช่วงที่ทำให้ตนพัฒนาฝีเท้าได้มากที่สุด แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากก็ตาม
    มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดสโมสรแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กล่าวว่าช่วงเวลาที่ได้ทำงานร่วมกับ โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ตนพัฒนาฝีเท้าได้ดีที่สุด

    แรชฟอร์ด ขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2015-16 โดยที่ตอนนั้น หลุยส์ ฟาน กัล เป็นผู้จัดการทีมของ "ปีศาจแดง" ก่อนที่จะได้ร่วมงานกับ มูรินโญ่ ในฤดูกาล 2016-17 ซึ่งเขาก็ได้รับโอกาสลงเล่นเยอะพอตัว ขณะที่ซีซั่นนี้ถือเป็นซีซั่นที่เขาได้เล่นให้กับ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา แบบตั้งแต่เริ่มฤดูกาลเป็นหนแรก และมันก็ถือเป็นฤดูกาลที่เขาทำผลงานได้ดีที่สุดในอาชีพการค้าแข้งไปแล้วแม้ว่าจะยังเตะกันไม่จบซีซั่นก็ตาม หลังจากทำได้ 19 ประตู จากการลงเล่น 31 นัดในทุกรายการ

    แรชฟอร์ด ให้สัมภาษณ์กับช่วงพ็อดแคสต์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ว่า "มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากๆ แต่ผมคิดว่าถ้าในอีก 5 หรือ 6 ปีหลังจากนี้ผมได้มองย้อนกลับมาแล้วน่ะ มันก็จะเห็นว่ายนั่นเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คุณมีจิตใจที่แข็งแกร่ง ผมพัฒนาตัวเองได้เยอะมากๆ ในฐานะนักเตะที่เล่นได้ทุกแบบ (หมายถึงเล่นได้ทั้งตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า และตัวริมเส้น) และส่วนใหญ่ที่ผมทำอย่างนั้นได้มันก็เป็นเพราะช่วง 2 ปีที่อยู่กับ โชเซ่ เรามีทั้งช่วงที่ยอดเยี่ยมและเลวร้าย จริงอยู่ว่าพอผมมองย้อนกลับไปแล้วมันก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่แน่นอนว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมเป็นนักเตะที่เก่งขึ้นด้วย"