แนวรับแกร่ง,คาวานี่เกือบยิง!ตัดเกรดแข้งแมนยูเกมเจ๊าจืดเชลซี

เกมบิ๊กแมตช์ในศึก พรีเมียร์ลีก ที่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ เชลซี เมื่อคืนวันเสาร์ จบลงด้วยการเสมอกันไป 0-0 โดยที่ "ปีศาจแดง" มีโอกาสได้ลุ้นมากกว่า แต่จบกันไม่คม แถมต้องซูฮกความเหนียวหนึบของนายประตูทีมคู่แข่งด้วย ส่วนแนวรับถือว่าต้องชื่นชม เพราะทำให้ "สิงห์บลูส์" แทบไม่มีโอกาสได้ลุ้นทำประตูเลย และนี่คือผลสอบของนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ละคนในแมตช์นี้
11 ผู้เล่นตัวจริง

 – ดาบิด เด เคอา : 6
  เจองานไม่หนัก ตลอดทั้งเกมได้เซฟเบาๆ หนเดียว 


 

 – อารอน วาน-บิสซาก้า : 7
  เกมรุกอาจยังไม่มีทีเด็ด แต่เกมรับยังคงไว้ใจได้ ซึ่งถือเป็นการสานต่อผลงานอันยอดเยี่ยมจากเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก ช่วงกลางสัปดาห์

 – วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ : 7.5
  เป็นเกมที่เล่นได้แข็งแกร่ง รับมือได้ทุกรูปแบบ จัดการกับ ติโม แวร์เนอร์ ได้อย่างยอดเยี่ยม

 – แฮร์รี่ แม็กไกวร์ (C) : 7
  คุมแนวรับได้ดี เคลียร์บอลทิ้งได้ตลอด และชนะการดวลลูกกลางอากาศได้แบบ 100% (5/5)

 – ลุค ชอว์ : 6
  อาจจะไร้ข้อผิดพลาด แต่ดูเหมือนเล่นแบบกองหลังสามตัวได้ดีกว่าแบบสี่ตัว แถมมีปัญหาในการรับมือกับ รีส เจมส์ บางจังหวะ


 

 – สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ : 6.5
  ช่วยเกมรับได้ดี ทำให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เล่นด้วยความยากลำบาก แต่เสียเวลากับบอลมากไปหน่อย

 – เฟร็ด : 7
  สู้กับแดนกลาง เชลซี ได้ดี โดยเฉพาะการตัดบอล ซึ่งเจ้าตัวทำได้ 3 ครั้ง ถือว่ามากสุดในทีม "ปีศาจแดง" เท่ากับ แม็คโทมิเนย์ 


 

 – ฆวน มาต้า : 6.5
  เล่นได้โอเคเลย สร้างโอกาสสวยๆ หลายครั้ง แถมมียิงได้ลุ้น 1 หนด้วย แต่โดยรวมได้บอลน้อยไปหน่อย ก่อนถูกเปลี่ยนตัวออกช่วงครึ่งหลัง

 – บรูโน่ แฟร์นันด์ส : 7
  อาจจะดูเงียบๆ แต่สร้างโอกาสให้เพื่อนลุ้นทำประตูถึง 4 หน มากสุดเหนือทุกคนในสนามเกมนี้


 

 – แดเนี่ยล เจมส์ : 5
  เป็นอีกหนึ่งเกมที่น่าผิดหวังสำหรับปีกชาวเวลส์ ไม่แปลกใจที่ถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง

 – มาร์คัส แรชฟอร์ด : 7
  ช่วง 10 นาทีสุดท้ายครึ่งแรก มีโอกาสหลุดเข้าไปยิงเน้นๆ แต่ติดเซฟ เอดูอาร์ เมนดี้ หลังนั้นก็เล่นได้อันตรายเป็นระยะ แต่การตัดสินใจจังหวะสุดท้ายยังไม่ดี

 

สำรองที่ได้ลงเล่น

 – ปอล ป็อกบา (แทน มาต้า น. 58) : 6.5
  ช่วยยกระดับการทำเกมในแดนกลางได้ดี แต่ช่วงท้ายเกมน่าจะทำได้ดีกว่านี้กับการยิงบริเวณกรอบเขตโทษ

 

 – เอดินสัน คาวานี่ (แทน เจมส์ น. 58) : 6
  ใช้เวลาอยู่ในสนามเพียงไม่กี่วินาที ก็ได้ลุ้นทำประตูแบบเสียวๆ ทันที และช่วงท้ายเกมมีได้ลุ้นอีกครั้งด้วย แม้ไร้สกอร์ แต่ก็โชว์ให้เห็นถึงเซนส์บอลของดาวยิงระดับเวิลด์คลาส

 – เมสัน กรีนวู้ด (แทน แม็คโทมิเนย์ น. 83) : –
  ไม่สามารถให้คะแนนได้

เวรกรรมมีจริง!แฟนหงส์คอมเมนต์ไอจีลูกาส์ ดีญหลังโดนใบแดง

แฟนบอลลิเวอร์พูล ได้ทีเอาคืนหลัง ลูกาส์ ดีญ กองหลังทีม "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน โดนใบแดงในเกมพ่ายเซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังเจ้าตัวเคยโพสต์แซว ริชาร์ลิซอน ที่ถูกใบแดงเกมเมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้ กับทีม "หงส์แดง"
    แฟนๆ ลิเวอร์พูล ทีมแชมป์เก่าพรีเมียร์ลีก อังกฤษ พากันเอาคืนไปโพสต์ในอินสตราแกรมของ ลูกาส์ ดีญ กองหลังทีม "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาพที่เจ้าตัวโพสต์เหตุการณ์ที่ไปพยายามดึงใบแดงจากกระเป๋าผู้ตัดสิน ในเกมที่ ริชาร์ลิซอน ถูกไล่ออกหลังไปเสียบหนักใส่ ติอาโก้ อัลกันตาร่า ในเกมเมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้

    โดน ชาว "เดอะค็อป" ต่างพากันชอบใจ ที่ได้เห็น ลูกาส์ ดีญ โดนใบแดงไปเสียเองในเกมที่ เอฟเวอร์ตัน พ่าย เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังทีมนักบุญ ได้สองประตูจาก เจมส์ วอร์ด-เพราส์  กับ เช อดัมส์ ในช่วงครึ่งแรก ก่อนครึ่งหลังในนาทีที่ 72 "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" ต้องมาเสียเปรียบเมื่อ ลูกาส์ ดีญ ไปเข้าหนักใส่ ไคล์ วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ส ผู้ตัดสินควักใบแดงไล่ออกจากสนามทันที

 

    ลูกาส์ ดีญ ได้โพสต์ภาพของตัวเองในอินสตาแกรม ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะพยายามซ่อนใบแดงของผู้ตัดสิน หลังจากเสมอ ลิเวอร์พูล 2-2 พร้อมกับคำบรรยายว่า "ผมพยายามทำให้ดีที่สุด"

    โดยแฟนบอลลิเวอร์พูลคนหนึ่งมาตอบว่า " ลูกาส์ ดีญ สนุกกับเหตุการณ์ของ ริชาร์ลิซอน กับ ติอาโก้ อัลกันตาร่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วยรูปนี้ วันนี้เขาได้รับกรรมของเขาแล้ว"

    ส่วนอีกรายมาคอมเมนต์ว่า "กรรมมันได้ตามทันแล้ว ไม่ต้องรอนาน"

    ก่อนแฟนหงส์รายที่สามคอมเมนต์ว่า "ดีญทำเป็นเล่นกับใบแดงของ ริชาร์ลิซอน และกรรมก็ได้ตามทันเขาแล้วในสุดสัปดาห์นี้!"

 

เมนดี้ช่วยชีวิต! 5 ประเด็นร้อนหลังแมนยูแบ่งแต้มเชลซีไร้สกอร์

ศึกบิ๊กแมตช์คืนวันเสาร์ที่ผ่านมาระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี จบลงด้วยผลเสมอแบบไร้สกอร์ แม้จะไม่มีประตูเกิดขึ้นแต่รูปเกมถือว่าสู้กันสนุกทีเดียว เกมรับของทั้งสองทีมเป็นปัจจัยที่ทำให้ไม่เสียประตู โดยเฉพาะทางฝั่ง เชลซี ที่มีนายทวารเป็นด่านสุดท้ายเซฟลูกยิงไปได้หลายครั้ง เกมนี้มีประเด็นอะไรน่าสนใจบ้าง เรามาวิเคราะห์กันทีละข้อเลย
1.เมนดี้มือหนึ่งยาวไป

    หลังจากทนเห็นความผิดพลาดของ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า มาหลายต่อหลายครั้ง แฟร้งค์ แลมพาร์ด จึงตัดสินใจซื้อตัว เอดูอาร์ เมนดี้ จาก แรนส์ ด้วยค่าตัว 22 ล้านปอนด์เพื่อมากดดันมือหนึ่งของทีม

    แม้ว่ากุนซือเชลซีจะให้โอกาส เกปา ได้พิสูจน์ตัวเองต่อแต่เขายังทำผิดพลาดเหมือนเช่นเดิม เมนดี้ จึงได้ประเดิมตัวจริงนัดแรกในเกมพบ พาเลซ พร้อมกับเก็บคลีนชีทได้ด้วย ก่อนจะพลาดลงเล่นกับ เซาธ์แฮมป์ตัน เนื่องจากบาดเจ็บ และกลับมาเก็บคลีนชีทในนัดกลางสัปดาห์กับ เซบีย่า ที่เสมอ 0-0

    ก่อนเกมนี้ แลมพาร์ด คอนเฟิร์มว่า เมนดี้ ขยับขึ้นมาเป็นมือหนึ่งเรียบร้อยแล้วหลังจากทำผลงานน่าประทับใจ และในค่ำคืนที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เขาก็โชว์ให้เห็นว่าทำไมถึงสมควรเป็นมือหนึ่ง จังหวะเซฟลูกยิงของ แรชฟอร์ด และ มาต้า ในครึ่งแรกว่าสุดยอดแล้ว ช่วงท้ายเกมลูกยิง แรชฟอร์ด ที่เป็นจังหวะชี้เป็นชี้ตายก็โชว์ซูเปอร์เซฟบินปัดบอลออกไปอย่างเหลือเชื่อ ไม่แปลกใจที่เขาจะคว้า แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนี้ แลมพาร์ด คงปลื้มปริ่มไม่น้อยที่มีนายด่านไว้วางใจเสียที

    เมนดี้ กลายเป็นผู้รักษาประตูเชลซีคนแรกนับตั้งแต่ ปีเตอร์ เช็ก ที่เก็บคลีนชีทจากการลงเล่นสองนัดแรกในพรีเมียร์ลีก มากไปกว่านั้นเขายังเป็นผู้รักษาประตูเชลซีคนแรกที่เก็บคลีนชีทในเกมลีกที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด นับตั้งแต่ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ทำได้ในเดือนธันวาคมปี 2015

2.คาวานี่เริ่มต้นดี

    บอร์ดบริหารของ แมนฯ​ยูไนเต็ด โดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในตลาดนักเตะที่ผ่านมาซึ่งการเซ็นสัญญากองหน้าชาวอุรุกวัยรายนี้เข้ามาถือเป็นหนึ่งในข้อครหาจากนักวิจารณ์และแฟนบอล อย่างไรก็ตามชื่อเสียงและสถิติการถล่มตาข่ายในช่วงพีคของอาชีพค้าแข้งเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ โซลชาก็คงหวังว่าหัวหอกวัย 33 ปียังมีของหลงเหลืออยู่แม้จะฟอร์มการเล่นช่วงหลังจะโรยราลงไปตามอายุ

    คาวานี่ เข้ามาสวมเสื้อหมายเลขในตำนานของ  “ปีศาจแดง” แน่นอนว่าเสื้อเบอร์ 7 มาพร้อมกับความกดดันอันหนักอึ้ง หลายคนจึงจับตาว่าเขาจะก้าวข้ามอาถรรพ์ในช่วงหลังของเสื้อเบอร์นี้ไปได้หรือไม่ และหลังจากกักตัว 14 วันพร้อมกับเรียกความฟิต คาวานี่ ก็มีชื่อเป็นครั้งแรกในเกมพบ เชลซี โดยออกสตาร์ทที่ม้านั่งสำรอง ก่อนถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทน แดเนี่ยล เจมส์ ในนาทีที่ 57

    เขาเกือบจะออกสตาร์ทอย่างเพอร์เฟคตั้งแต่สัมผัสแรกจากการโฉบเข้ามายิงแต่บอลหลุดกรอบนิดเดียว หลังจากนั้นเจ้าตัวหายไปพักใหญ่เพราะบอลไปไม่ถึงเขาสักทีซึ่งมันสะท้อนให้เห็นคุณภาพการผ่านของทีมอย่างชัดเจน ก่อน คาวานี่ จะโผล่มายิงบอลติดบล็อก ติอาโก้ ซิลวา อีกหนึ่งครั้ง

    โดยรวมแล้วแม้ว่าจะมีโอกาสน้อยแต่เจ้าตัวแสดงให้เห็นความเป็นเพชฌฆาตในเขตโทษไม่ว่าจะเป็นการหาตำแหน่งและการหาโอกาสยิงซึ่งคงจะหาไม่ได้จาก อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล หรือ มาร์คัส แรชฟอร์ด หลังจากนี้ไปคงต้องรอดูกันว่า คาวานี่ จะเป็นพิสูจน์ตัวเองในทัพ “ปีศาจแดง” ได้หรือไม่

3.ฟาน เดอ เบ็ค ยังนั่งต่อ

    ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ย้ายมาสวมเสื้อ “ปีศาจแดง” ด้วยค่าตัวราว 45 ล้านยูโร กูรูหลายคนก็วิเคราะห์กันว่าศักยภาพของเขาน่าจะเข้ามาช่วยเพิ่มมิติให้กับกองกลางของทีมได้แน่นอน โดยเจ้าตัวได้ลงประเดิมสนามในเกมแรกของฤดูกาลในฐานะตัวสำรองพร้อมลงมายิงประตูตีไข่แตกก่อนทีมจะพ่าย คริสตัล พาเลซ คาบ้าน

    หลังจากนั้นเขาได้ออกสตาร์ทตัวจริงในเกม คาราบาว คัพ ต่อเนื่องมาด้วยการลงสำรองในช่วงท้ายเกมในเกมแมตช์พบ ไบรท์ตัน ซึ่งเขามีส่วนทำให้ทีมได้ลูกเตะมุมก่อนจะเป็นที่มาของประตูชัย เสียงเรียกร้องกับการให้ ฟาน เดอ เบ็ค ออกสตาร์ทตัวจริงเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะจากเอเจ้นท์ที่ออกมาจวกโซลชาว่าไม่ใช้งานนักเตะในสังกัดของเขาสักที

    จนแล้วจนเล่ามิดฟิลด์วัย 23 ปีก็ยังไม่ได้ประเดิมตัวจริงในลีก ส่วนใหญ่เขาจะได้รับโอกาสในช่วงท้ายเกมมากกว่าซึ่งมันคงวัดผลงานอะไรไม่ได้จากจุดนี้ ที่หนักกว่าคือในเกมกับ เชลซี เขาไม่ได้ถูกเปลี่ยนตัวลงมาด้วยซ้ำ

    ปาทริซ เอวร่า ตำนาน “ผีแดง” กล่าวหลังเกมนี้ว่า “เราสร้างโอกาสเน้นๆไม่ได้เลยในช่วง 15 นาทีสุดท้าย ทีมอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด จำเป็นต้องคุมเกมให้ได้ ไม่ใช่รอจนถึง 15 นาทีสุดท้ายแล้วค่อนเปลี่ยนตัว ผมกำลังพูดถึง ฟาน เดอ เบ็ค แล้วเราจะซื้อเขามาทำไม? เขาทำได้แค่นั่งดูจากอัฒจันทร์ทุกๆเกม”

4.แท็คติกแลมพ์ส

    แฟร้ง แลมพาร์ด ปรับเปลี่ยนแผนการเล่นในเการเยือน โอลด์ แทรฟฟอร์ด จากแผนที่คุ้นเคยอย่าง 4-2-3-1 มาเป็น 3-4-2-1 โดยแผนนี้ช่วยให้เขาได้ใช้งาน เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า พร้อมกับ รีซ เจมส์ ซึ่งปกติทั้งสองจะต้องแย่งตำแหน่งแบ็กขวากันแต่พอมีตำแหน่งวิงแบ็กเข้ามาทำให้สามารถแบ่งหน้าที่กันได้ชัดเจน

    แม้เกมนี้แนวรุกของ เชลซี อาจจะไม่ได้ไหลลื่นมากนัก แต่ต้องชมวิงแบ็กทั้งสองข้างอย่าง เบน ชิลเวลล์ และ รีซ เจมส์ ที่มีส่วนมากกับเกมรุกของ เชลซี ทั้งสองช่วยสร้างโอกาสจากการครอสบอลในแต่ละฝั่ง (ชิลเวลล์ สร้างโอกาสให้เพื่อนลุ้นทำประตู 2 ครั้งมากสุดในทีม) นอกจากนี้การวิ่งบีบเพรสซิ่งสูงของทั้งสองยังช่วยให้ ลุค ชอว์ และ อารอน วาน-บิสซาก้า เล่นยากมากขึ้น ถือว่าจำกัดเกมรุกทางริมเส้นของ”ผีแดง” ไปได้พอสมควร

    ทั้งคู่สร้างมิติเกมรุกแบบใหม่ให้กับ เชลซี และนี่อาจจะเป็นแผนที่ แกเร็ธ เซาธ์เกต อาจนำไปใช้ต่อในเกมทีมชาติอังกฤษได้ด้วย

5.สถิติผีไม่ดี

    ปิดท้ายกันด้วยสถิติน่าสนใจกัน ผลการแข่งขันนัดนี้ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด สะกด “ชัยชนะ” ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ไม่ได้ในสามเกมแรกของฤดูกาลซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1972-73 เลยทีเดียว นอกจากนี้หากนับรวมฤดูกาลที่แล้ว “ผีแดง” ไร้ชัยในเกมลีกที่บ้านของตัวเองมา 5 นัดติดต่อกัน (เสมอ 3 แพ้ 2) ซึ่งถือเป็นสถิติที่นานที่สุดนับตั้งแต่ไม่ชนะ 6 เกมติดช่วงปี 1990

    ในทางกลับกัน เชลซี มีสถิติที่ดีพอสมควรในการกลับออกไปด้วยผลเสมอแบบไร้สกอร์ โดยนี่เป็นการเก็บคลีนชีทในลีกเกมเยือนนัดแรกนับตั้งแต่เสมอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ 0-0 ในนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2018-19

เด็กเทพมะกันใฝ่ฝันอยากเล่นให้ลิเวอร์พูล

เบรนเดน อารอนสัน มิดฟิลด์อนาคตไกลของสหรัฐอเมริกา ระบุ ตนชื่นชอบ ลิเวอร์พูล มากๆ พร้อมอยากเล่นใน พรีเมียร์ลีก สุดๆ ด้วย
    เบรนเดน อารอนสัน กองกลางดาวรุ่งชาวอเมริกัน เปิดเผยว่าตนเป็นแฟนบอลตัวยงของ ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งวงการ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ

    แข้งวัย 19 ปี ถือเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามองอย่างมากของวงการลูกหนังแดนลุงแซม โดยเขาเพิ่งได้ลงเล่นให้ทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกไปเมื่อช่วงต้นปีนี้ แถมเขาก็เตรียมที่จะย้ายจาก ฟิลาเดลเฟีย ยูเนี่ยน ทีมในบ้านเกิดไปอยู่กับ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก สโมสรแกร่งของออสเตรียในชาวงเดือนมกราคมนี้ด้วย ซึ่งว่ากันว่าค่าตัวโดยรวมของเขาจะอยู่ที่ 9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 279 ล้านบาท) และจะทำให้เขาเป็นนักเตะเยาวชนชาวอเมริกันที่ได้ย้ายทีมด้วยค่าตัวสูงที่สุดเลย

    อารอนสัน เผยว่า "คุณพ่อของผมทำให้ผมรู้จักเกมฟุตบอลตั้งแต่ตอนที่ผมยังอายุน้อย เพราะท่านเคยเล่นฟุตบอลในะดับวิทยาลัยที่อเมริกามาก่อน ท่านยังพาผมมานั่งดูเกมหน้าจอทีวีในบางครั้งด้วย และผมก็ได้ดูเกมของ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เท่าที่ผมจำได้น่ะผมก็เป็นแฟนบอล ลิเวอร์พูล มาตลอดชีวิต ผมมีโปสเตอร์ของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กับ เฟร์นานโด ตอร์เรส แปะอยู่ในห้องของผม ทั้งคู่เป็นไอดอลของผม ผมยังมีรูปตอน ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก แปะอยู่เหนือเตียงของผมด้วย"

    "ตอนที่พวกเขาได้แชมป์ลีกเมื่อฤดูกาลก่อนถือเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมมากๆ สำหรับผม แน่นอนว่าถ้าลองนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่ เจอร์ราร์ด ลื่นแล้วนั้นมันก็เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด แต่การที่พวกเขาเล่นได้เหนือชั้นกว่าคนอื่นๆ ใน พรีเมียร์ลีก มันถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากๆ และผมก็ดีใจสุดๆ กับเรื่องนั้นด้วย"

    แข้งอนาคตไกลเสริมว่าตนมีความฝันที่จะได้เล่นใน พรีเมียร์ลีก เช่นกัน โดยเขาอยากเล่นในลีกนั้นมากๆ จนพร้อมเล่นให้ทุกทีมด้วย "ผมคิดว่า พรีเมียร์ลีก เป็นลีกในันของผม มันเป็นลีกที่ยอดเยี่ยมจนน่าเหลือเชื่อ และยังยกระดับตัวเองได้เรือยๆ บรรดานักเตะของที่นั่นเก่งขึ้นเรื่อยๆ เลย และสำหรับผมแล้วมันคือลีกในฝันของผม ผมอยากมีส่วนร่วมกับลีกนั้นไม่ว่าจะเล่นกับทีมไหนก็ตาม!"

ถึงเวลาโชต้า?คาดการณ์11ตัวจริงลิเวอร์พูลเกมดวลเชฟฯยูไนเต็ด

 "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ทีมแชมป์เก่า มีความมุ่งมั่นอย่างมากที่จะกลับสู่เส้นทางแห่งชัยชนะในศึก พรีเมียร์ลีก อีกครั้ง หลังแพ้ 1 เสมอ 1 ในสองเกมล่าสุด และคืนวันเสาร์นี้ พวกเขาจะได้กลับมาเล่นที่ แอนฟิลด์ โดยมีคิวดวลกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมรองบ๊วย ที่ยังไม่ชนะใครจากการลงเตะ 5 นัด (เสมอ 1 แพ้ 4) ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือ การจัดทัพของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในเกมนี้ เพราะด้วยการที่เจอกับทีมที่ไม่หนักมากอย่าง "ดาบคู่" มันก็มีความเป็นไปได้ที่ ยอดกุนซือชาวเยอรมันวัย 53 ปี อาจจะมีการปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่นในแนวรุก และนี่คือโฉมหน้า 11 ผู้เล่นตัวจริง ลิเวอร์พูล 2 รูปแบบ ที่ คล็อปป์ อาจเลือกมาใช้ดวลกับ เชฟฯ ยูไนเต็ด
– จัดเต็มเหมือนเดิม (4-3-3)
    ด้วยการที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูมือหนึ่ง ยังคงไม่ฟิต ทำให้นายทวารมือสองอย่าง อาเดรียน จะได้สตาร์ทเป็นตัวจริงต่อไป ส่วนแนวรับสี่คนยังไงก็ยังต้องยึดชุดที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ โดย เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยืนแบ็กขวา ส่วนทางซ้ายเป็น แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ขณะที่คู่เซนเตอร์แบ็กนั้น ฟาบินโญ่ จะยืนคู่กับ โจ โกเมซ แน่นอน หลังทั้งสองเล่นได้อย่างแข็งแกร่งในเกมบุกเชือด อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 1-0 เมื่อคืนวันพุธ


 

    แดนกลางสามคน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีม น่าจะได้สตาร์ทเป็นตัวจริงในบทบาทกลางรับ หลังจากที่ลงสำรองในเกมเจอกับ อาแจ็กซ์ ส่วนสองมิดฟิลด์ที่จะยืนอยู่ข้างๆ น่าจะเป็น จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม และ นาบี เกอิต้า ขณะที่แนวรุกจะเป็นสามประสาน โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เหมือนเดิม

 

– โชต้า ได้เวลาโชว์
    สำหรับทีมชุดนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับ คล็อปป์ โดยตำแหน่งผู้รักษาประตูและแผงกองหลังยังเป็นชุดเดิม แต่แดนกลางจะให้ดาวรุ่งคนเก่งของทีมอย่าง เคอร์ติส โจนส์ ลงเล่นเป็นตัวจริงร่วมกับ เฮนเดอร์สัน และ ไวจ์นัลดุม

 

    ไฮไลต์ของทีม 11 ตัวจริงชุดนี้อยู่ที่แนวรุกสามตัว เพราะระยะหลังๆ มานี้เหล่าสาวก "เดอะ ค็อป" เริ่มมีการเรียกร้องให้ คล็อปป์ ลองดร็อป ฟีร์มีโน่ เป็นตัวสำรองบ้าง หลังจากที่ กองหน้าจอมลีลาชาวบราซิเลียนวัย 29 ปี ยังทำประตูไม่ได้เลยในฤดูกาลนี้ ประกอบกับการที่ ดิโอโก้ โชต้า ปีกตัวใหม่ชาวโปรตุกีส ทำผลงานได้เข้าตาทุกครั้งที่ได้ลงเล่น ซึ่งนั่นทำให้เกมนี้ คล็อปป์ อาจจะให้โอกาส โชต้า สตาร์ทเป็นตัวจริงในแนวรุกทางฝั่งซ้ายตามถนัด โดยจะโยก มาเน่ ไปเล่นทางขวา ส่วน ซาลาห์ ยืนหน้าเป้า

แลมพ์สไม่ปลื้ม! เชลซีเหงาเปิดรังเจ๊าเซบีย่าไร้สกอร์ประเดิม ชปล.

แฟร้งค์ แลมพาร์ด นายใหญ่ "สิงโตน้ำเงินคราม" ยังต้องเรียกความมั่นใจคืนสู่ทีมหลังเปิดบ้านเจ๊า เซบีย่า 0-0 เก็บได้เพียง 1 คะแนนประเดิมถ้วยยุโรปทำให้ 5 เกมที่ผ่านมาคว้าชัยได้เพียง 1 นัด ในศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม อี) คืนวันอังคารที่ผ่านมา
สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์

    แฟร้งค์ แลมพาร์ด นายใหญ่ "สิงโตน้ำเงินคราม" เพิ่งเปิดบ้านเสมอกับเซาธ์แฮมป์ตัน 3-3 ในเกมลีกนัดล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคมทำให้ 4 นัดที่ผ่านมา สิงห์บลูส์คว้าชัยได้เพียงแค่เกมเดียว

    ทางด้าน จูเลน โลเปเตกี พึ่งพาเซบีย่าบุกไปพ่ายให้กับกรานาด้า 0-1 ในเกมลีกนัดที่ผ่านมา ทำให้ทีมเยือนไม่ชนะใครมา 2 นัดติดต่อกันแล้ว
   
    5 นาทีผ่านเป็น เชลซี ทักทายก่อนจากบอลทางขวาของ  รีซ เจมส์ สอดขึ้นมาครอสเข้าในเกือบเข้าทาง ไค ฮาแวร์ทซ์ แต่ยังไปติดบล็อคแนวรับ เซบีย่า ทิ้งตัวสกัดเอาไว้ได้นิดเดียว

    นาทีที่ 14 เจ้าถิ่น มาเสียใบเหลืองแบบไม่น่าเสียเป็น จอร์จินโญ่ จ่ายบอลไม่ดีโดน ลูคัส โอคัมโปส ดักบอลได้เกือบโดนสวนกลับต้องยอมตัดเกมโดนใบเหลืองไป

    4 นาทีต่อมา เซบีย่า เกือบทะยานขึ้นนำเป็นฟรีคิกของ ซูโซ่ วางลึกไปเสาไกลเข้าหัว เนมานย่า กูเดลจ์ โขกบอลแฉลบ คูร์ท ซูม่า เปลี่ยนทางเกือบเข้าประตูติดมือ เอดูอาร์ เมนดี้ ควักออกมาได้ทัน

    30 นาทีผ่าน เจ้าถิ่น ได้เสียวอีกครั้ง เมสัน เมาน์ท แทงช่องสุดงามให้ ติโม แวร์เนอร์ หลุดเดี่ยวเข้าไปแตะหลบ ยัสซีน บูนู แต่บอลแรงหลุดออกหลังไปและมีธงล้ำหน้าขึ้นมาก่อนแล้วด้วย

    นาทีต่อมาจากบอลทางขวาของ รีซ เจมส์ ตั้งป้อมครอสเข้าในไปติด เซร์จี้ โกเมซ เลยมาถึง ติโม แวร์เนอร์ แต่งหาช่องซัดด้วยขวาบอลไปแฉลบย้อยเข้ามือ ยัสซีน บูนู รับไว้ไม่พลาด

    ท้ายครึ่งแรก ทีมเยือน มาเสียวส่งท้ายจากความสามารถเฉพาะตัวของ มาร์กอส อากุนญ่า หมุนเอาชนะ คริสเตียน พูลิซิช ตักไปเสาไกลให้ ซูโซ่ ขึ้นเอาชนะ เบน ชิลเวลล์ โขกบอลหลุดออกไปได้ลุ้น

    ช่วงทดเจ็บ "สิงโตน้ำเงินคราม" หวิดงานเข้า คูร์ท ซูม่า สกัดบอลผิดเหลี่ยมมาเข้าทาง ลูคัส โอคัมโปส ในกรอบเขตโทษแต่งเข้าขวาปั่นโค้งไปเข้ามือ เอดูอาร์ เมนดี้ ล้มตัวรับไว้ได้

    หมดครึ่งเวลาแรก เชลซี 0  เซบีย่า 0

    ครึ่งหลังเริ่มได้เพียง 2 นาที เชลซี โหมบุกทันทีมาได้ลุ้นจากลูกเตะมุมทางซ้ายของ เบน ชิลเวลล์ โยนมาเข้าหัว คูร์ท ซูม่า โขกคนเดียวโล่งๆไปตรงตัว ยัสซีน บูนู อย่างน่าเสียดาย

    นาทีที่ 55 ติโม แวร์เนอร์ ถอยมาเก็บบอลหน้าหัวกะโหลกก่อนปั่นด้วยขวาบอลโค้งข้ามผู้เล่น เซบีย่า แต่ยังไม่ดีพอผ่านมือ ยัสซีน บูนู ล้มตัวตะปปไว้ไม่พลาด

    3 นาทีต่อมา "สิงโตน้ำเงินคราม"  เร่งเครื่องต่อ ไค ฮาแวร์ทซ์ ป้ายบอลออกขวาให้   รีซ เจมส์ สอดมาตักลึกมาให้ เบน ชิลเวลล์ ขึ้นเอาชนะแนวรับ เซบีย่า แต่ก็ยังโขกไปตรงตัว ยัสซีน บูนู

    นาทีที่ 68 เซบีย่า แลกหมัดบ้างจากลูกเตะมุมทางซ้ายของ อิวาน ราคิติช วางบอลเข้าเขตโทษย้อนให้ โจน จอร์ดาน ตวัดตามน้ำด้วยขวาตูมเดียวเฉี่ยวคานออกไปเหมือนเดิม

    หลังจากนั้นรูปเกมค่อนข้างอึดอัด ไม่กล้าเปิดแลกด้วยกันทั้งคู่ เซบีย่า มาได้ลุ้นในช่วงทดเจ็บจากบอลทางฝั่งซ้ายโยนลึกเข้ากรอบเขตโทษเลยไปถึง เอดูอาร์ เมนดี้

    จบเกม เชลซี 0  เซบีย่า 0 ลูกทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ยังเร่งไม่ขึ้นเก็บ 1 คะแนนประเดิมถ้วย ชปล. แถมคว้าชัยได้เพียง 1 เกมในรอบ 5 นัดที่ลงสนามรวมทุกรายการ

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนามตัวจริง

    เชลซี (4-2-3-1) : เอดูอาร์ เมนดี้ – รีซ เจมส์, ติอาโก้ ซิลวา, คูร์ท ซูม่า, เบน ชิลเวลล์ – เอ็นโกโล่ ก็องเต้, จอร์จินโญ่ – เมสัน เมาน์ท, ไค ฮาแวร์ทซ์, คริสเตียน พูลิซิช – ติโม แวร์เนอร์

ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด

    เซบีย่า (4-3-3) : ยัสซีน บูนู – เฆซุส นาบาส, เซร์จี้ โกเมซ, ดีเอโก้ คาร์ลอส, มาร์กอส อากุนญ่า – อิวาน ราคิติช, แฟร์นานโด, เนมานย่า กูเดลจ์ – ลูคัส โอคัมโปส, ลุค เดอ ยอง, ซูโซ่

ผู้จัดกาารทีม : จูเลน โลเปเตกี

ผู้ตัดสิน : เดวิด แมสซา

สุดปัง! โรนัลโด้อวดทรงผมใหม่ช่วงกักตัว

ซูเปอร์สตาร์โปรตุกีสของทัพเบียงโคเนรี อวดโฉมทรงผมใหม่สุดแปลกตาในช่วงที่เขากักตัวจากการติดเชื้อโควิด-19

คริสเตียโน โรนัลโด้ แนวรุกตัวเก่งของ ยูเวนตุส อวดทรงผมใหม่ลงอินสตาแกรม โดยมาในทรงสกินเฮดสุดแปลกตา

ซูเปอร์สตาร์ทัพเบียงโคเนรี อยู่ในระหว่างกักตัวหลังจากเขาถูกตรวจพบเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งทำให้เขาต้องถอนตัวจากทีมชาติโปรตุเกสชุดทำศึกยูฟ่า เนชั่นส์ ลีกกับสวีเดน โดยเขาจะพลาดการลงสนามอีกอย่างน้อยหนึ่งนัด และกำลังลุ้นจะกลับมาดวลกับ ลิโอเนล เมสซี ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์​ ลีก ที่ยูเวนตุสจะพบกับบาร์เซโลนาวันที่ 28 ตุลาคมนี้

โดยระหว่างช่วงกักตัว CR7 สร้างเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ ให้แฟนบอล หลังอัพรูปลงอินสตาแกรมส่วนตัวของเขา เผยโฉมทรงผมใหม่ในทรงสกินเฮดสุดแปลกตา

"ความสำเร็จในชีวิตไม่ใช่เครื่องวัดสิ่งที่คุณไขว่คว้ามาได้ แต่เป็นสิ่งกีดขวางที่คุณก้าวข้ามผ่านมาได้ต่างหาก" โรนัลโด้ โพสต์อินสตาแกรม

อัดอั้นมานาน!ชไนเดอร์ลินจวกฟานกัลยับเยิน

หลังจากกลั้นความรู้สึกมานานหลายปี ล่าสุด มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน ก็ออกมาจวก หลุยส์ ฟาน กัล อดีตกุนซือที่ร่วมงานกันตอนอยู่ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แบบยับเยิน โดยบอกว่าอีกฝ่ายจำกัดกรอบการเล่นมากเกินไปจนทำให้นักเตะไม่มีอิสระในการเล่น แถมยังเข้มงวดเกินกว่าเหตุ พร้อมรับ ตอนนั้นน่าจะไปอยู่กับ สเปอร์ส น่าจะเหมาะกว่า
   
มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน มิดฟิลด์ นีซ สโมสรในศึก ลีก เอิง ฝรั่งเศส ตำหนิ หลุยส์ ฟาน กัล ว่าทำทีมโดยที่ใช้มาตรการเข้มงวดกับเรื่องต่างๆ มากเกินไป อย่างเช่นการจำกัดรูปแบบการเล่น จนส่งผลให้ตนกับคนอื่นๆ ในทีมไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งออกมาได้ตามไปด้วย

ตอนช่วงซัมเมอร์ ปี 2015 ชไนเดอร์ลิน ตกเป็นข่าวกับหลายทีม อย่างเช่น แมนฯ ยูไนเต็ด และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เป็นต้น หลังจากช่วงนั้นเขาทำผลงานได้โดดเด่นกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ก่อนที่สุดท้ายเจ้าตัวจะเลือก "ปีศาจแดง" แต่เขาก็ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งกับที่นั่นได้จนโดนปล่อยไปให้ เอฟเวอร์ตัน ในเดือนมกราคม ปี 2017

ดาวเตะชาวฝรั่งเศสให้สัมภาษณ์กับ ดิ แอธเลติก สื่อกีฬาชื่อดังว่า "เราโดนสั่งว่า -เมื่อไหร่ก็ตามที่แกได้จับบอลน่ะ แกต้องทำอย่างนี้นะ- ทั้งที่ผมควรจะได้เล่นด้วยความกล้าของผมเหมือนอย่างที่ทำได้ตอนเล่นให้ (เมาริซิโอ) โปเช็ตติโน่ และ (โรนัลด์) คูมัน (ชไนเดอร์ลิน เคยร่วมงานกับทั้งคู่ที่ เซาธ์แฮมป์ตัน) สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของนักฟุตบอลก็คือเมื่อมันเกิดเวลาที่คุณคิดมากเกินไป ผมเริ่มคิดว่า -อา ผู้จัดการทีมอยากให้ฉันทำอย่างนี้- ซั่งนั่นทำให้คุณเสียสัญชาตญาณของตัวเอง คุณจะเริ่มถูกบีบให้ต้องทำบางอย่างจนสุดท้ายก็จ่ายพลาด, เข้าสกัดช้าเกินไป ฯลฯ มันทำให้ความมั่นใจของคุณหายไป"

"มันทำให้ผมมีทั้งเกมที่เล่นได้ดีมากๆ แล้วก็เกมที่เล่นได้ห่วยแตกสุดๆ ตอนนั้นผมไม่มีความมั่นใจมากนัก ผมถึงขั้นเริ่มบ่นกับภรรยาของผมด้วยซ้ำ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกเจ็บใจที่ไม่สามารถเล่นอย่างมีอิสระที่ ยูไนเต็ด ได้ ไอ้เรื่องความกดดันจากสถานะของสโมสรน่ะมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเลย ผมชอบรับมือกับความกดดันอยู่แล้ว ผมอยากเจอกับความกดดันและอยากมีอะดรีนาลีนที่ดี ส่วนแฟนบอลก็ปฏิบัติกับผมดีมากๆ ตอนที่เจอกันบนท้องถนน"

"ปัญหามันมาจากตัวผมเอง เพราะผมรู้ว่าผมสามารถทำหลายอย่างให้กับทีมได้ แต่กลับทำไม่สำเร็จเพราะผมรู้สึกว่าตัวเองโดนจำกัดให้อยู่ในกรอบมากเกินไป ตอนนี้ผมอาจจะไม่ได้รู้สึกโมโหมากนัก แต่สมัยนั้นผมโกรธสุดๆ คุณไม่สามารถกินข้าวได้เลยจนกว่าผู้จัดการทีมจะอนุญาตให้คุณทำอย่างนั้นได้ จริงอยู่ว่าแนวทางแบบนี้มันได้ผลดีกับนักเตะทีอายุ 19 และ 20 ปี แต่ไม่ใช่กับนักเตะที่อายุเยอะกว่านั้น แน่นอนว่า ฟาน กัล พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นกุนซือชั้นยอด แต่ผมไม่คิดว่าเราควรจะต้องมีไอเดียแบบนั้นในตอนนั้น"

ชไนเดอร์ลิน ยอมรับด้วยว่าที่จริงตอนนั้นตนน่าจะย้ายไปอยู่กับ สเปอร์ส ดีกว่า โดยตอนนั้น โปเช็ตติโน่ ที่เคยร่วมงานกับเขาที่ เซาธ์แฮมป์ตัน ก็เป็นกุนซือของ "ไก่เดือยทอง" อยู่พอดีด้วย "มี 2 ทีมที่ติดต่อหาเอเยนต์ของผม แต่พอ แมนฯ ยูไนเต็ด ให้ความสนใจในตัวคุณแล้วน่ะ คุณก็ไม่มีทางเลือกอื่นหรอก เพราะว่า แมนฯ ยูไนเต็ด กับ เรอัล มาดริด คือ 2 ทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก คุณไม่สามารถปฏิเสธ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ แต่ถ้าผมทำตามหัวใจของตัวเองแล้วล่ะก็ ผมก็น่าจะเซ็นสัญญากับ สเปอร์ส ดีกว่า"

"ผมรู้จักผู้จัดการทีม (โปเช็ตติโน่) เป็นอย่างดี ผมรู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผม และรู้ว่าสไตล์การนำซ้อมของเขาเป็นยังไง เขาติดต่อมาขอให้ผมไปเล่นที่ สเปอร์ส เขาอยากได้ผมไปร่วมทีมแบบจริงจังระดับ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม จริงอยู่ว่าเขา (ฟาน กัล) อยากได้ผมเหมือนกัน แต่เราแค่คุยทางโทรศัพท์กันนิดหน่อยเท่านั้น ดังนั้นมันก็เหมือนกับว่าผมเซ็นสัญญาเพื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฐานะสโมสรฟุตบอลมากกว่าการเซ็นสัญญาเพื่อผู้จัดการทีม"

 

ใครดี? 4แข้งเหมาะย้ายมาเป็นตัวแทนฟานไดค์ตลาดหน้าหนาว

สืบเนื่องจากการที่ ลิเวอร์พูล กำลงประสบปัญหาในแนวรับ หลังจากต้องเสีย เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังตัวเก่งที่มีอาการบาดเจ็บหนักจากเกม เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ แมตช์ กับ เอฟเวอร์ตัน
    ฟาน ไดค์ วัย 29 ปี ได้รับบาดเจ็บดังกล่าวจากชอตที่โดน จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตู เอฟเวอร์ตัน พุ่งเข้าชนในนัดล่าสุดที่ "หงส์แดง" ออกไปเสมอกับ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" 2-2 ในเกม พรีเมียร์ลีก นัดเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ เมื่อวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยเขาจำเป็นต้องรับการผ่าตัด และเชื่อกันว่าในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดนั้นแข้งวัย 29 ปีก็อาจจะต้องพักทั้งฤดูกาลนี้เลย

    ส่งผลให้เวลานี้ ลิเวอร์พูล จะเหลือเพียง โจ โกเมซ และ โฌแอล มาติป ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ที่เชื่อใจได้เท่านั้น แต่ก็สามารถจับ ฟาบินโญ่ ถอยไปเล่นเป็นเซ็นเตอร์จำเป็น ซึ่งเขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทำผลงานได้ดี

    อย่างไรก็ตามช่วงตลาดซื้อ-ขายนักเตะเดือนมกราคมนี้ก็เป็นโอกาสที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะได้เสริมผู้เล่นเข้ามาใหม่ นี่คือ 4 นักเตะที่เหมาะย้ายมาเป็นตัวแทน ฟาน ไดค์

ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ – ไลป์ซิก

    ปรากาหลังทีมชาติฝรั่งเศกลายเป็นหนึ่งในแนวรับที่เนื้อหอมมากที่สุดคนหนึ่งในยุโรปในช่วงตลาดนักเตะเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา หลังจากโชว์ผลงานสุดแจ่มให้ ไลป์ซิก ซึ่ง ลิเวอร์พูล ก็เคยมีข่าวให้ความสนใจมาแล้วด้วย

    อูปาเมกาโน่ เป็นกองหลังที่มีรูปร่างสูงใหญ่ทำให้เขามีสไตล์การเล่นที่แข็งแกร่งดุดัน และเล่นลูกกลางอากาศได้ดี โดยดาวเตะวัย 21 ปี เพิ่งจะจรดน้ำหมึกต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไปถึงปี 2023 จนทำให้ค่าตัวของเขาน่าจะสูงพอตัว อย่างไรก็ตามในรายละเอียดสัญญาฉบับล่าสุดนั้นเจ้าตัวจะสามารถย้ายออกไปได้ในราคาเพียง 38 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,537 ล้านบาท) แต่จะสามารถใช้ได้เมื่อถึงตลาดซัมเมอร์ปีหน้าเท่านั้น 

คอเนอร์ เคาดี้ – วูล์ฟแฮมป์ตัน

    เคาดี้ เคยอยู่กับทีมชุดเยาวชนของ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ปี 2005 ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2011 แต่ได้ลงเล่นเพียงเกมเดียวในพรีเมียร์ลีกเท่านั้น ก่อนจะย้ายออกไปอยู่กับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (ยืมตัว), ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ก่อนจะมาเป็นกำลังสำคัญให้ วูล์ฟแฮมป์ตัน จนถึงปัจจุบัน

    ผลงานของดาวเตะวัย 27 ปี พัฒนาขึ้นตามลำดับช่วยให้แนวรับของทีม "หมาป่า" แข็งแกร่งสุดๆ จนกลายเป็นกัปตันทีมในเวลานี้ พร้อมกับถูก แกเร็ธ เซาธ์เกต เรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่โดยลงเล่นไปแล้ว 3 เกม ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย แต่คงเนอีกดีลที่เกิดขึ้นได้ยาก เพราะ วูล์ฟส ก็ไม่ต้องการจะปล่อยตัวออกไปเช่นกัน    

โอซาน คาบัค – ชาลเก้

    ชื่อของ โอซาน คาบัค ปราการหลังดาวรุ่งจาก ชาลเก้ เคยโผล่เข้ามาเป็นเป้าหมายรายใหม่ของ ลิเวอร์พูล ในการดึงมาเสริมแกร่งแนวรับในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา หลังจากพวกเขาเสีย เดยัน ลอฟเรน กองหลังประสบการณ์สูงให้กับ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก โดยคาดว่าเขาจะมีค่าตัว 40 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,630 ล้านบาท)

    ด้วยสไตล์การเล่นที่มีความดุดัน มีทั้งความแข็งแกร่ง รวดเร็ว และเล่นลูกกลางอากาศได้ดี ทำให้เขาถูกสื่อต่างประเทศนำไปเปรียบเทียบกับ เซร์คิโอ รามอส ปราการหลังจาก เรอัล มาดริด นอกจากนี้ คาบัค ยังเป็นนักเตะที่มีความกล้าลุยกล้าแลก ชนไม่ถอยจนถึงกับเคยจมูกหัก หน้าแตกมาแล้วในเกมเพลย์ออฟหนีตกชั้นกับยูเนียน เบอร์ลิน

เบน ไวท์ – ไบรท์ตัน

    ลิเวอร์พูล ตกเป็นข่าวตามให้ความสนใจ ไวท์ วัย 22 ปี มาได้สักระยะแล้ว และล่าสุดมีรายงานด้วยว่าพวกเขาอาจเดินหน้าดึงมาเสริมทัพในตลาดหน้าหนาวนี้ แต่ "หงส์แดง" อาจต้องจ่ายเงินมากกว่า 50 ล้านปอนด์ (ราว 1,900 ล้านบาท)  ไม่งั้นต้นสังกัดของนักเตะไม่ปล่อยตัวแน่นอน

    แม้ว่าดาวเตะวัย 22 ปี จะไม่ได้เป็นกำลังหลักของ ไบรท์ตัน ในซีซั่นนี้แต่เมื่อมีโอกาสลงสนามเจ้าตัวก็ทำผลงานได้ดีระดับหนึ่ง โดยย้อนไปในฤดูกาล 2019-20 เขาเป็นกำลังสำคัญในระหว่างเล่นให้ ลีดส์ ยูไนเต็ด ด้วยสัญญายืมตัว ได้แชมป์ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ พร้อมกับได้เลื่อนชั้นไปเล่นใน พรีเมียร์ลีก ในซีซั่นนี้

ศูนย์หน้าต่างชาติยิงกระจาย-ทีมยอดเยี่ยมไทยลีกนัดที่9

โฉมหน้าทีมยอดเยี่ยมไทยลีกประจำสัปดาห์ที่ 9 มีแข้งคนไหนโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นเข้าตากันบ้าง มาดูกัน

 ผู้รักษาประตู : ธณชัย หนูราช (นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี)
ธณชัย มีปฏิกิริยาที่ยอดเยี่ยม โชว์ช็อตเซฟยากๆ ไว้หลายครั้ง ช่วยสวาดแคทสร้างประวัติศาสตร์บุกชนะบุรีรัมย์ครั้งแรกในการเล่นไทยลีก

กองหลัง :  อมานี่ อากีนัลโด้ (ตราด เอฟซี)
เล่นเกมรับได้แข็งแกร่งมากสำหรับปราการหลังทีมชาติฟิลิปปินส์ เก็บกวาดหน้าประตูให้ทีมได้ตลอดทั้งเกม ก่อนพาทีมเก็บคลีนชีตในเกมที่ ตราด บุกเอาชนะ เมืองทองฯ 1-0

กองหลัง : วสันต์ ฮมแสน (สุพรรณบุรี เอฟซี)
เป็นอีกหนึ่งกองหลังที่โชว์ผลงานได้เข้าตามากๆ จังหวะสู้กับ แฮร์ลิสัน ไคออน ดาวยิงตัวเก่งของ ชลบุรี ก็ทำได้ดี พร้อมช่วย ช้างศึกยุทธหัตถี เก็บคลีนชีตได้ในเกมนี้

กองหลัง : เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว (นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี)
ปราการหลังกัปตันทีมสวาดแคทสู้กับเกมรุกของบุรีรัมย์ได้อย่างสนุกไม่ว่าจะเป็นลูกกลางอากาศหรือทางพื้นดินงานนี้ เฉลิมพงษ์ เก็บกวาดได้หมด

กองกลาง : เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ (สมุทรปราการ ซิตี้)
ผลงาน 2 แอสซิสต์ของเจ้าเต้ช่วยเขี้ยวสมุทรบุกมาแบ่งแต้มทีมฟอร์มแรงอย่างจ่าฝูงบีจีปทุมได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งจังหวะพาบอลไปกับตัวก็ยังทำได้ดีผลงานไม่มีตก

กองกลาง : โก ซุล กิ (การท่าเรือ เอฟซี)
เกมรุกดีไม่มีตก โก ซุล กิ มีส่วนร่วมช่วยการท่าเรือได้ 2 ประตู โดยหนึ่งในนั้นคือการเรียกจุดโทษ ในเกมที่ สิงห์เจ้าท่า เอาชนะ ระยอง เอฟซี 7-2

 กองกลาง : จุง เมียง โอ (สุโขทัย เอฟซี)
ในรูปเกมที่สุโขทัยเล่นเกมสวนกลับสู้กับแบงค็อก จุง เมียง โอ กองกลางชาวเกาหลีใต้ถือได้ว่าทำผลงานออกมาได้โดดเด่นมาก ทั้งจังหวะการจ่ายบอลทะลุช่องสวยๆให้เพื่อนลุ้นทำประตูก็มีให้เห็นหลายครั้ง แถมนัดนี้ยังมีชื่อเป็นผู้ทำประตูอีกด้วย

กองกลาง : จอห์น บาจโจ้ (สุโขทัย เอฟซี)
ป่วนแนวรับแข้งเทพชนิดที่เรียกว่าไปไม่เป็น โดยเฉพาะการโต้กลับที่เล่นร่วมกับ อิบสัน เมโล่ ทำให้ทุกอย่างลงตัวมากๆ แถมเกมนี้ บาจโจ้ ยังทำได้ 1 สกอร์ พร้อมกับ 2 แอสซิสต์อีกด้วย

กองหน้า : อิบสัน เมโล่ (สุโขทัย เอฟซี)
การเล่นเกมรุกของ อิบสัน เมโล่ สามารถโจมตีแนวรับ แข้งเทพ ได้ทุกจังหวะ รวมไปถึงการประสานงานกับบาจโจ้ที่ช่วยเพิ่มความอันตรายให้คู่แข่งขึ้นเป็นหลายเท่า ก่อนที่เกมนี้จบด้วยการที่ อิบสัน เมโล่ ทำ 2 ประตูช่วยให้ค้างคาวไฟยืดสถิติไร้พ่ายเป็นนัดที่ 6

กองหน้า : เซร์คิโอ ซัวเรส (การท่าเรือ เอฟซี)
ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมสำหรับ เซร์คิโอ ซัวเรส มีโอกาสลุ้นทำประตูหลายครั้ง ก่อนที่เกมนี้สามารถทำประตูได้ 2 ลูก พาพสิงห์เจ้าท่าบุกถล่ม ระยอง เอฟซี 7-2

กองหน้า : เลอันโดร อัสซัมเซา (นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี)
ด้วยฟอร์มอันยอดเยี่ยมยิง 1 และจ่าย 1 ของ อัสซัมเซา ช่วยทัพสวาดแคทบุกกำชัยเหนือบุรีรัมย์ พร้อมสร้างประวัติศาสตร์ให้โคราชบุกมาเก็บชัยชนะถึงถิ่นปราสาทสายฟ้าเป็นครั้งแรกในการเล่นไทยลีกอีกด้วย