“มุ้ย”มาแน่! บีจีโอเคซิวธีรศิลป์ล่าแชมป์ ค่าตัวไม่ธรรมดา-สัญญาเกิน3ปี

“มุ้ย”​ ธีรศิลป์ แดงดา หัวหอกทีมชาติไทย เตรียมหวนกลับมาค้าแข้งที่บ้านเกิดอีกครั้งในสีเสื้อ บีจี ปทุมฯ หลังมีรายงานว่า “เดอะ แร็บบิต”​ บรรลุข้อตกลงกับทาง ชิมิสึ เอส-พัลส์ และตัวนักเตะเรียบร้อย งานนี้เปิดค่าตัวอยู่ที่ 24 ล้านบาท พร้อมสัญญายาว 3 ปีครึ่งหรือ 42 เดือน

กลายเป็นข่าวฮือฮาวงการลูกหนังไทย เมื่อมีรายงานจากแหล่งข่าววงในว่า บีจี ปทุมฯ​ ตกลงคว้า ธีรศิลป์ กองหน้าทีมชาติไทยกลับคืนสู่แดนสยามแล้ว ด้วยค่าตัว 24 ล้านบาทแบบซื้อขาด พร้อมสัญญาระยะเวลา 3 ปีครึ่ง โดยคาดว่า “มุ้ย” จะบินมาร่วมทัพกับจ่าฝูงไทยลีกหลังจากที่สัญญาที่เซ็นไว้กับ ชิมิสึ เมื่อ 31 ม.ค. 2020 หมดอายุในวันที่ 31 ม.ค.​ 2021 หรือหลังเดือนแรกของปีหน้านั่นเอง

ขณะที่ตัวเลขค่าแรงของดาวยิงช้างศึกที่ระบุไว้ในเว็บไซต์ดังอย่าง transfermarkt ปัจจบันระบุไว้ที่ 725,000 บาทต่อเดือน ซึ่งหากย้ายสู่ถิ่น ลีโอ สเตเดี้ยม ก็คงได้รับไม่น้อยจากเดิมอย่างแน่นอน

สำหรับ “มุ้ย”​ ธีรศิลป์ ปัจจุบัน อายุ 32 เคยมีประสบการณ์การค้าแข้งในต่างแดนกับทั้ง แมนฯ ซิตี้ (อังกฤษ),​ กราสฮ็อปเปอร์ ซูริค (สวิตเซอร์แลนด์),​ อัลเมเรีย (สเปน) และในเจลีกกับ ซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิม่า รวมถึงล่าสุดกับ ชิมิสึ เอส-พัลส์

“มุ้ย” เคยได้แชมป์ไทยลีก กับ เอสซีจี เมืองทองฯ 4 สมัย, รองแชมป์ เอฟเอ คัพ 3 สมัย, แชมป์ถ้วย ก 1 สมัย, แชมป์ลีกคัพ 2 สมัย,​ แชมป์ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนคัพ 1 สมัย, แชมป์ แม่โขง คลับ 1 สมัย และรองแชมป์ เจลีก ปี 2018 กับ ซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิม่า

ในระดับชาติ ธีรศิลป์ติดทีมชาติไทยชุดเยาวชน 17 ปี เป็นหนแรก ตั้งแต่ ปี 2002 จากนั้นติด ยู-19, ยู-23 และชุดใหญ่ โดยเคยได้แชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 1 สมัย, รองแชมป์อีก 2 สมัย, แชมป์ คิงส์คัพ 1 สมัย, แชมป์ซีเกมส์ 1 สมัย ขณะที่รางวัลส่วนตัว เคยเป็นดาวซัลโว เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 3 สมัย รวมถึงติดทีม 11 ผู้เล่นยอดเยี่ยม เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ และครองตำแหน่งดาวซัลโวไทยลีกมาแล้วเมื่อปี 2012

คุยกันไว้ไม่ใช่แบบนี้ โค้ชเกาหลีไม่ปลื้มอินโดฯอย่างแรง

สมาพันธ์ฟุตบอลอินโดนีเซีย(PSSI) เซ็นสัญญาคว้าตัว ชิน แต ยัง อดีตโค้ชทีมชาติเกาหลีใต้ ชุดฟุตบอลโลก 2018 เข้ามาคุมทีมด้วยสัญญา 4 ปี เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปลายปี2019 พร้อมกับหน้าที่คุมทัพอินโดนีเซียถึง 3 ชุด ประกอบไปด้วย ชุดใหญ่,ยู-23 และ ยู-19 ที่ผ่านมาหลังรับสัญญากุนซือชาวเกาหลีใต้ได้นำทีมงานชาวเกาหลีใต้เช้ามาช่วยยกระดับทีมอินโดนีเซียพร้อมกับโค้ชอินโดนีเซีย อีกทั้งยังมีการเรียกผู้เล่นชุดใหญ่และชุด 19ปี มาทำการฝึกซ้อม แต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้กุนซือรายนี้ต้องเดินทางกลับไปใช้ชีวิตที่เกาหลีใต้

    การเดินทางกลับไปครั้งนี้ทางด้านของ ชิน แต ยัง ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีใต้อย่าง Joong Ang Ilbo ว่าทางสมาพันธ์ฟุตบอลอินโดนีเซียต้องการเพียงความสำเร็จระยะสั้นและไม่สามารถอดทนต่อการพัฒนาแบบยั่งยืนได้หากต้องการให้คุณภาพต้องค่อยเป็นค่อยไป ในความเป็นจริงสมาพันธ์ฯตั้งเป้าหมายสูงมากเกินไปไม่เหมือนวันแรกที่คุยกันไว้ให้วางแผนการทำงานระยะยาว

    โดยเป้าหมายที่สมาพันธ์ฯกำหนดคือการผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศฟุตบอลเยาวชน 19ปี ชิงแชมป์เอเชีย,เยาวชน 20ปี ชิงแชมป์โลก 2021 อินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพก็ต้องผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศเช่นกัน แต่ปัจจุบันเอาจริงๆอินโดนีเซียรั้งอันดับ 173 ของโลก  เรื่องของเก็บตัวฝึกซ้อมตอนนี้ในประเทศอินโดนีเซียเป็นเรื่องที่ยากลำบากเพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องอันตรายต่อนักเตะและเจ้าหน้าที่ทุกคน

 

    จึงได้เสนอแผนให้ทีมชาติอินโดนีเซียไปเก็บตัวฝึกซ้อมที่ต่างประเทศ 6 สัปดาห์เพื่อที่จะมีเกมอุ่นเครื่องที่ดีและได้ฝึกซ้อมต่อเนื่องรวมไปถึงจัดการเรื่องของโภชนาการของนักกีฬาให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น จึงอยากให้นักกีฬาฝึกซ้อมร่วมกันพร้อมเพรียงมากสุดและได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายโค้ชทุกคนไม่ใช่ผู้วิเศษแต่โค้ชทุกคนมีกรรมวิธีกระบวนการจัดการของตัวเอง

 

    สำหรับโปรแกรมทีมชาติชุดใหญ่อินโดนีเซีย ประกอบไปด้วยฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย 8 ต.ค.63 พบ ไทย(เยือน),13 ต.ค.63 พบ ยูเออี(เหย้า) และ 12 พ.ย.63 พบ เวียดนาม (เยือน) , เอเอฟเอฟ แชมป์เปี้ยนชิพ 2020 วันที่ 23 พ.ย.-31 ธ.ค.63  ทีมเยาวชน 19 ปี ทีมชาติอินโดนีเซีย  14-31 ต.ค.63 รายการชิงแชมป์เอเชีย ที่อุซเบกิสถาน 14 ต.ค.63 พบ กัมพูชา,17 ต.ค.63 พบ อิหร่าน และ 20 ต.ค.63 พบ อุซเบกิสถาน

เกือบไม่ติดทีมชาติ!”น้าฉ่วย”เผยเรื่องลับ”เจ”ชนาธิป

"น้าฉ่วย" สมชาย ชวยบุญชุม กุนซือหนองบัว พิชญ เอฟซี สโมสรในไทยลีก 2 ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการฟุตบอลไทยวาไรตี้ เมื่อค่ำวันที่ 20 พ.ค. ที่ผ่านมา เปิดเผยเรื่องราว สมัยที่คุมทีมชาติไทย ยู19 เมื่อปี 2011 ลุยศึกชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก
    โดยเป็นเรื่องที่แฟนบอลหลายๆ คนยังไม่เคยทราบ เกี่ยวกับกว่าที่จะได้ ตัว "เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ มาร่วมทัพช้างศึก ก่อนต่อยอดทำให้เจ้าตัว แจ้งเกิดตั้งแต่วันนั้น  อดีตเฮดโค้ชเยาวชนทีมชาติไทยเผยว่า ถึงขั้นพ่อจุ้ง ก้องภพ มาอ้อนวอน ให้ น้าฉ่วยช่วยคุยกับสโมสรของ ลูกชาย ให้ปล่อยตัวมารับใช้ทีมชาติ

    " ผมไม่ได้ปั้น "เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ , "ตั้ม" ธนบูรณ์ เกษารัตน์ , "บาส" พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา  ใครๆบอกว่าผมปั้น ผมเพียงแต่ให้โอกาสพวกเขา "

    " ในกรณีของ "เจ" จริงๆ เขาไม่ได้มีโอกาสมาเล่นทีมชาติแล้ว ผมไปตามตื้อ มาเล่น รายการชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก เพราะต้นสังกัดไม่ยอมปล่อยตัวมาให้ คุณพ่อจุ้ง ก้องภพ สรงกระสินธ์ อยากให้ลูกชายติดทีมชาติ เลยให้ผมไปคุย สุดท้ายต้นสังกัดเขาปล่อยให้ "เจ" มาร่วมทีมชาติ นั่นละ ทำให้เขาแจ้งเกิดกับทีมชุดนั้น"

    สำหรับรายการแจ้งเกิดในวันนั้น เป็นศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย ยู-19 รอบคัดเลือก ปี 2011 ไทย เป็นเจ้าภาพในรอบคัดเลือก อยู่สายอี  เป็นกรุ๊ปออฟเดธ มีทั้ง เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน ,กวม, ฮ่องกง

    เอาแชมป์กลุ่ม ไปเล่น ชิงแชมป์เอเชีย ยู-19 รอบสุดท้าย ในปี 2012 ที่ยูเออี ปรากฏว่า ไทย สร้างปรากฏการณ์คว้าแชมป์กลุ่ม ชนะ 3 เสมอ 1 ไม่แพ้ใคร เก็บได้ 10 คะแนน สร้างชื่อสุดๆ ด้วยการ จัดการโค่น เกาหลีใต้ 1-0 และ ยันเสมอ ญี่ปุ่น 0-0

ฮือฮา!แข้งยู-19เตรียมเรียกลูกครึ่งไทย-เยอรมัน​รับใช้ชาติ

ทีมลูกหนังชาติไทย ยู 19 มีแผนที่จะเรียกตัว "มาร์เซล ซีกฮาร์ท" กองหน้าลูกครึ่งไทย-เยอรมัน ของทีม "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค มารับใช้ทัพช้างศึก

    ข่าวฮือฮา เมื่อทีมชาติไทย ชุดอายุไม่เกิน 19 ปี กำลังจับตามอง มาร์เซล ซีกฮาร์ท กองหน้าลูกครึ่งไทย-เยอรมัน วัย 18 ปี ของทีม บาเยิร์น มิวนิค อยู่อย่างใกล้ชิด โดยทัพช้างศึก ยู-19 มีแผนที่จะเรียกตัว มาร์เซล ซีกฮาร์ท มารับใช้ทีมชาติไทยในอนาคต ซึ่งหากทำสำเร็จ อาจผลักดันขึ้นสู่ ทีมชาติไทยชุดใหญ่ต่อไป

    มาร์เซล ซีกฮาร์ท เป็นน้องชายแท้ๆของ อเล็กซานเดอร์ ซีกฮาร์ท กองกลางของทีม ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด

    ปัจจุบัน มาร์เซล ซีกฮาร์ท เป็นนักเตะในสังกัดของ บาเยิร์น มิวนิค ทีมดังของลีกเมืองเบียร์ แต่เวลานี้ถูกปล่อยยืมตัวไปอยู่กับทีม อุนเตอร์ฮัคคิ้ง ในบุนเดสลีก้า 3 เยอรมัน และลงเล่นในทีมชุด ยู-19 อยู่ในขณะนี้

สไตล์คล้าย “ฟานไดค์”! ทำความรู้จักแข้งเป้าหมายแมนยู “อิบราฮิมา โคนาเต้”

 เป็นที่ทราบกันดีว่า "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีข่าวเกี่ยวโยงกับนักเตะชื่อดังมากมาย สำหรับแผนการที่จะเสริมความแข็งแกร่งหลังจบฤดูกาลนี้ แต่มีอยู่ชื่อหนึ่งที่ไม่ค่อยดังมากโผล่ขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือ อิบราฮิมา โคนาเต้ เซนเตอร์แบ็กดาวรุ่งของ แอร์เบ ไลป์ซิก โดยถึงแม้ฤดูกาลนี้ โคนาเต้ เจอปัญหาบาดเจ็บเล่นงาน จนต้องพักแข้งยาวมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนตุลาคมปีก่อน แต่ว่ากันว่าเจ้าตัวยังคงเป็นที่หมายปองของ แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ ว่าแล้วเราไปทำความรู้จักกับ ปราการหลังร่างโย่งวัย 20 ปีรายนี้กันสักหน่อยดีกว่า

 – เป็นใครมาจากไหน?
    โคนาเต้ เกิดที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ปี 1999 เป็นเด็กปั้นของ ปารีส เอฟซี จากนั้นก็ย้ายไปฝึกต่อกับ โซโชซ์ และก้าวขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่ได้แค่ฤดูกาลเดียว (ลีก เดอซ์ ฤดูกาล 2016/17 โดยเจ้าตัวลงเล่นนัดแรกตั้งแต่อายุ 17 ปี) ก่อนย้ายมาร่วมก๊วน ไลป์ซิก ช่วงซัมเมอร์ปี 2017 และปิดฉากฤดูกาลแรกกับทีม "ตรากระทิงแดง" ด้วยการลงเล่น 20 นัด ก่อนยกระดับขึ้นมาได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2018/19 ที่เจ้าตัวได้รับโอกาสลงเล่นรวมทุกรายการถึง 43 นัด ทำได้ 3 ประตู ทว่าฤดูกาลนี้เพิ่งลงเล่นไปแค่ 8 นัด หลังได้รับบาดเจ็บตั้งแต่ช่วงต้นเดือนตุลาคม

 – สัดส่วน
     โคนาเต้ ถือเป็นนักเตะที่เหมาะสมอย่างมาก สำหรับการเล่นเป็นกองหลัง เพราะสูงถึง 193 เซนติเมตร และหนัก 84 กิโลกรัม เรียกได้ว่าใหญ่ยักษ์เลยทีเดียว

 – เล่นตำแหน่งอะไร?
    แน่นอนว่า เซนเตอร์แบ็กเป็นตำแหน่งที่ โคนาเต้ เล่นได้โดดเด่นและถนัดที่สุด แต่หากจำเป็นก็สามารถโยกไปเล่นเป็นฟูลแบ็กได้เช่นกัน ถึงแม้มีรูปร่างที่ใหญ่โตก็ตาม

 – ระดับทีมชาติ
    ยังคงไม่ถึงขั้นทีมชาติฝรั่งเศสชุดใหญ่ แต่ตอนนี้ โคนาเต้ ลงเล่นให้ทัพ "ตราไก่" ยู-21 ไปแล้ว 9 นัด ซึ่งก่อนหน้านั้นเจ้าตัวก็เล่นมาแทบทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็น ยู-16, ยู-17, ยู-19 และ ยู-20

 – จุดเด่น
     แข็งแกร่ง, เร็ว, ครองบอลดี, แท็กเกิ้ลเก่ง และเด่นลูกกลางอากาศ โดยจากสถิติฤดูกาลนี้ (นับเฉพาะเกม บุนเดสฯ และ แชมเปี้ยนส์ ลีก) ระบุว่า โคนาเต้ ชนะการแท็กเกิ้ล 66% และมีเปอร์เซนต์ชนะในการดวลลูกกลางอากาศสูงถึง 81% เลยทีเดียว

 – จุดด้อย
     เรื่องทำประตู โดยเฉพาะการยิงจากระยะไกล

 – สไตล์คล้าย ฟาน ไดค์
    โคนาเต้ มีร่างกายที่ใหญ่โต แต่กลับมีความเร็วที่สามารถดวลกับกองหน้าทีมคู่แข่งฝีเท้าจัดได้ นอกจากนี้ยังโดดเด่นในเรื่องการแท็กเกิ้ลและเล่นลูกกลางอากาศ, สามารถวางบอลยาวได้ และเล่นกับบอลได้อย่างเยือกเย็น ซึ่งจุดนี้หลายๆ คนมองว่า เจ้าตัวมีสไตล์การเล่นใกล้เคียงกับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ยอดเซนเตอร์แบ็กชาวดัตช์ของ ลิเวอร์พูล

 – ค่าตัว
  ปัจจุบัน โคนาเต้ เหลือสัญญากับ ไลป์ซิก ยาวๆ ถึงปี 2023 โดยเว็บไซต์ transfermarkt.com ประเมินว่า ค่าตัวของ โคนาเต้ ตอนนี้อยู่ที่่ราว 40.5 ล้านยูโร (ประมาณ 1,417.5 ล้านบาท)

 – จำเป็นแค่ไหนสำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด?
  ชั่วโมงนี้คงยากที่จะสอดแทรกคู่เซนเตอร์แบ็กตัวจริงอย่าง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ แต่คงเวิร์คสำหรับ โคนาเต้ หากกุนซือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา หันมาใช้แผนการเล่นแบบกองหลังสามตัว เมื่อพิจารณาดูจากสถานการณ์ของ คริส สมอลลิ่ง, ฟิล โจนส์ และ มาร์กอส โรโฮ ที่ไม่น่าจะได้อยู่กับทีมต่อในฤดูกาลหน้า ดังนั้นด้วยค่าตัวที่ไม่สูงมาก โคนาเต้ ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับ "ปีศาจแดง" เพราะเหมือนเป็นการลงทุนซื้อเพื่ออนาคตด้วย 

คุณภาพ(ยิ่งกว่า)คุ้มค่าตัว! 5 เหตุผลที่ลิเวอร์พูลต้องรีบเซ็น”ติโม่ แวร์เนอร์”

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ติโม่ แวร์เนอร์ หัวหอกตัวเก่งของ แอร์เบ ไลป์ซิก ถือเป็นนักเตะที่เนื้อหอมที่สุดคนหนึ่งในเวลานี้ เพราะมีข่าวเกี่ยวโยงกับหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, บาร์เซโลน่า รวมถึงสโมสรคู่แข่งร่วมลีกอย่าง บาเยิร์น มิวนิค แต่หลายๆ ฝ่ายมองว่า "หงส์แดง" เป็นสโมสรที่มีโอกาสมากที่สุด ซึ่งถึงแม้ก่อนหน้านี้ ดีทมาร์ ฮามันน์ อดีตมิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล ฟันธงว่า แวร์เนอร์ ไม่เหมาะกับทีมของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่นั่นก็แค่มุมมองของ ฮามันน์ เพราะจริงๆ แล้ว แวร์เนอร์ ถือเป็นผู้เล่นแนวรุกศักยภาพสูงที่น่าจับตาคนหนึ่ง แถมเล่นได้หลากหลายบทบาท และนี่คือ 5 เหตุผลที่ "หงส

 – ไม่ได้มีดีแค่เป็นตัวจบสกอร์
     ฤดูกาลนี้ถือเป็นฤดูกาลที่ แวร์เนอร์ ท็อปฟอร์มมากๆ เพราะนอกจากทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำถึง 27 ลูกแล้ว (จากการลงเล่นรวมทุกรายการ 36 นัด) เจ้าตัวยังเก่งในการสร้างโอกาสให้เพื่อนจบสกอร์ด้วย เพราะแอสซิสต์ไปแล้วถึง 9 ครั้ง ซึ่งถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเก่งรอบด้านของเจ้าตัว โดยเฉพาะในเกมลีกนัดที่ ไลป์ซิก เปิดบ้านยำใหญ่ ไมนซ์ 05 8-0 เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้วนั้น เจ้าตัวกด 3 ตุง กับ 3 แอสซิสต์ เรียกได้ว่าทำ "ดับเบิ้ลแฮตทริก" เลยทีเดียว

 

 – เล่นได้หลายบทบาท
     จุดนี้น่าจะเป็นที่โดนใจของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ซึ่งเป็นคนที่ชื่นชอบนักเตะที่มีความยืดหยุ่น เล่นได้หลายตำแหน่ง และ แวร์เนอร์ คือหนึ่งในนั้น เพราะเจ้าตัวเล่นได้หมดในแนวรุก ทั้งตัวริมเส้น, หัวหอกตัวเป้า รวมถึงบทบาทกองหน้าตัวหลอกที่เรียกกันว่า "false 9" อย่างที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กำลังเล่นอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นการได้ แวร์เนอร์ มาก จะช่วยยกระดับคุณภาพแนวรุกของ "หงส์แดง" ได้แน่นอน

 

 – อายุน้อย
     ด้วยวัยแค่ 24 ปี แน่นอนว่า แวร์เนอร์ เหลืออายุใช้งานอีกเพียบ แถมยังเหลือพื้นที่อีกเยอะในการพัฒนาฝีเท้า ซึ่งถือว่าน่าสนใจเหลือเกินว่า เจ้าตัวจะเก่งขึ้นไปถึงระดับไหน หากได้ร่วมงานกับกุนซือจอมปั้นอย่าง คล็อปป์

 

 – ประสบการณ์สูง
     แม้อายุ 24 ปี แต่ แวร์เนอร์ มีประสบการณ์ไม่น้อยทั้งระดับสโมสรและทีมชาติ ซึ่งหลายๆ คนอาจไม่รู้ว่า นี่คือฤดูกาลที่ 7 ของเจ้าตัวในเวที บุนเดสลีกา แล้ว (เปิดซิงในซีซั่น 2013/14 สมัยอยู่กับ เฟาเอฟเบ สตุ๊ตการ์ท) แถมผ่านการเล่นในระดับสโมสรไปแล้วมากกว่า 250 นัด ส่วนกับทีมชาติเยอรมนีนั้น เจ้าตัวก็ลงเล่นไปแล้ว 29 นัด ทำได้ 11 ประตู แถมก่อนหน้านี้รับใช้ทัพ "อินทรีเหล็ก" ชุดเล็กมาแล้วทุกรุ่น ทั้ง ยู-15, ยู-16, ยู-17, ยู-19 และ ยู-21

 

 – ราคาไม่แพง
     ถือเป็นประเด็นสำคัญเลย เพราะนักเตะฟอร์มดีๆ ยุคสมัยนี้ สามารถมีค่าตัวทะลุหลัก 100 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,100 ล้านบาท) ได้ง่ายๆ แต่นั่นไม่ใช่สำหรับ แวร์เนอร์ เพราะว่ากันว่าเขามีค่าฉีกสัญญาอยู่ที่ราว 51 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,091 ล้านบาท) เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่า ด้วยเรตค่าตัวระดับนี้ เป็นอะไรที่น่าเสี่ยงมาก เมื่อเทียบกับ เจดอน ซานโช ปีกดาวรุ่ง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ตอนนี้ค่าหัวไม่ต่ำกว่า 100 ล้านปอนด์ แน่นอน