คุยกันไว้ไม่ใช่แบบนี้ โค้ชเกาหลีไม่ปลื้มอินโดฯอย่างแรง

สมาพันธ์ฟุตบอลอินโดนีเซีย(PSSI) เซ็นสัญญาคว้าตัว ชิน แต ยัง อดีตโค้ชทีมชาติเกาหลีใต้ ชุดฟุตบอลโลก 2018 เข้ามาคุมทีมด้วยสัญญา 4 ปี เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปลายปี2019 พร้อมกับหน้าที่คุมทัพอินโดนีเซียถึง 3 ชุด ประกอบไปด้วย ชุดใหญ่,ยู-23 และ ยู-19 ที่ผ่านมาหลังรับสัญญากุนซือชาวเกาหลีใต้ได้นำทีมงานชาวเกาหลีใต้เช้ามาช่วยยกระดับทีมอินโดนีเซียพร้อมกับโค้ชอินโดนีเซีย อีกทั้งยังมีการเรียกผู้เล่นชุดใหญ่และชุด 19ปี มาทำการฝึกซ้อม แต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้กุนซือรายนี้ต้องเดินทางกลับไปใช้ชีวิตที่เกาหลีใต้

    การเดินทางกลับไปครั้งนี้ทางด้านของ ชิน แต ยัง ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีใต้อย่าง Joong Ang Ilbo ว่าทางสมาพันธ์ฟุตบอลอินโดนีเซียต้องการเพียงความสำเร็จระยะสั้นและไม่สามารถอดทนต่อการพัฒนาแบบยั่งยืนได้หากต้องการให้คุณภาพต้องค่อยเป็นค่อยไป ในความเป็นจริงสมาพันธ์ฯตั้งเป้าหมายสูงมากเกินไปไม่เหมือนวันแรกที่คุยกันไว้ให้วางแผนการทำงานระยะยาว

    โดยเป้าหมายที่สมาพันธ์ฯกำหนดคือการผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศฟุตบอลเยาวชน 19ปี ชิงแชมป์เอเชีย,เยาวชน 20ปี ชิงแชมป์โลก 2021 อินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพก็ต้องผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศเช่นกัน แต่ปัจจุบันเอาจริงๆอินโดนีเซียรั้งอันดับ 173 ของโลก  เรื่องของเก็บตัวฝึกซ้อมตอนนี้ในประเทศอินโดนีเซียเป็นเรื่องที่ยากลำบากเพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องอันตรายต่อนักเตะและเจ้าหน้าที่ทุกคน

 

    จึงได้เสนอแผนให้ทีมชาติอินโดนีเซียไปเก็บตัวฝึกซ้อมที่ต่างประเทศ 6 สัปดาห์เพื่อที่จะมีเกมอุ่นเครื่องที่ดีและได้ฝึกซ้อมต่อเนื่องรวมไปถึงจัดการเรื่องของโภชนาการของนักกีฬาให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น จึงอยากให้นักกีฬาฝึกซ้อมร่วมกันพร้อมเพรียงมากสุดและได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายโค้ชทุกคนไม่ใช่ผู้วิเศษแต่โค้ชทุกคนมีกรรมวิธีกระบวนการจัดการของตัวเอง

 

    สำหรับโปรแกรมทีมชาติชุดใหญ่อินโดนีเซีย ประกอบไปด้วยฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย 8 ต.ค.63 พบ ไทย(เยือน),13 ต.ค.63 พบ ยูเออี(เหย้า) และ 12 พ.ย.63 พบ เวียดนาม (เยือน) , เอเอฟเอฟ แชมป์เปี้ยนชิพ 2020 วันที่ 23 พ.ย.-31 ธ.ค.63  ทีมเยาวชน 19 ปี ทีมชาติอินโดนีเซีย  14-31 ต.ค.63 รายการชิงแชมป์เอเชีย ที่อุซเบกิสถาน 14 ต.ค.63 พบ กัมพูชา,17 ต.ค.63 พบ อิหร่าน และ 20 ต.ค.63 พบ อุซเบกิสถาน

เกือบไม่ติดทีมชาติ!”น้าฉ่วย”เผยเรื่องลับ”เจ”ชนาธิป

"น้าฉ่วย" สมชาย ชวยบุญชุม กุนซือหนองบัว พิชญ เอฟซี สโมสรในไทยลีก 2 ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการฟุตบอลไทยวาไรตี้ เมื่อค่ำวันที่ 20 พ.ค. ที่ผ่านมา เปิดเผยเรื่องราว สมัยที่คุมทีมชาติไทย ยู19 เมื่อปี 2011 ลุยศึกชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก
    โดยเป็นเรื่องที่แฟนบอลหลายๆ คนยังไม่เคยทราบ เกี่ยวกับกว่าที่จะได้ ตัว "เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ มาร่วมทัพช้างศึก ก่อนต่อยอดทำให้เจ้าตัว แจ้งเกิดตั้งแต่วันนั้น  อดีตเฮดโค้ชเยาวชนทีมชาติไทยเผยว่า ถึงขั้นพ่อจุ้ง ก้องภพ มาอ้อนวอน ให้ น้าฉ่วยช่วยคุยกับสโมสรของ ลูกชาย ให้ปล่อยตัวมารับใช้ทีมชาติ

    " ผมไม่ได้ปั้น "เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ , "ตั้ม" ธนบูรณ์ เกษารัตน์ , "บาส" พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา  ใครๆบอกว่าผมปั้น ผมเพียงแต่ให้โอกาสพวกเขา "

    " ในกรณีของ "เจ" จริงๆ เขาไม่ได้มีโอกาสมาเล่นทีมชาติแล้ว ผมไปตามตื้อ มาเล่น รายการชิงแชมป์เอเชีย รอบคัดเลือก เพราะต้นสังกัดไม่ยอมปล่อยตัวมาให้ คุณพ่อจุ้ง ก้องภพ สรงกระสินธ์ อยากให้ลูกชายติดทีมชาติ เลยให้ผมไปคุย สุดท้ายต้นสังกัดเขาปล่อยให้ "เจ" มาร่วมทีมชาติ นั่นละ ทำให้เขาแจ้งเกิดกับทีมชุดนั้น"

    สำหรับรายการแจ้งเกิดในวันนั้น เป็นศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย ยู-19 รอบคัดเลือก ปี 2011 ไทย เป็นเจ้าภาพในรอบคัดเลือก อยู่สายอี  เป็นกรุ๊ปออฟเดธ มีทั้ง เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน ,กวม, ฮ่องกง

    เอาแชมป์กลุ่ม ไปเล่น ชิงแชมป์เอเชีย ยู-19 รอบสุดท้าย ในปี 2012 ที่ยูเออี ปรากฏว่า ไทย สร้างปรากฏการณ์คว้าแชมป์กลุ่ม ชนะ 3 เสมอ 1 ไม่แพ้ใคร เก็บได้ 10 คะแนน สร้างชื่อสุดๆ ด้วยการ จัดการโค่น เกาหลีใต้ 1-0 และ ยันเสมอ ญี่ปุ่น 0-0

ตกงานถือว่าโชคดี แข้งโอนสัญชาติยูเออี รับทรัพย์อื้อซ่า

 สโมสรอัลนาสเซอร์ ในศึกฟุตบอลยูเออี โปรลีกประกาศคว้าตัว เซบาสเตียน ตาเกียบัว ดาวยิงเชื้อสายอาร์เจนไตน์ วัย 35 ปี  ที่เพิ่งโอนสัญชาติมาเป็นชาวยูเออี ด้วยสัญญา 2 ปี หลังแยกทางกับสโมสรอัลวาดาห์ ที่เคยร่วมงานกันมาถึง 7 ปี
   ตาเกียบัว ลงรับใช้อัลวาดาห์ ถึง 157 นัด ยิงไป 152 ประตู ค่าเฉลี่ย 1.03 ประตูต่อเกม ซึ่งสโมสรให้เหตุผลว่าค่าเหนื่อยสูงเกินไปในการจะขยายสัญญาออกไป โดยสัญญาของแข้งรายนี้จะหมดลงในช่วงวันที่ 30 มิ.ย.63 แต่หลังข่าวดังกล่าวถูกนำเสนอไปมีถึง 5 สโมสรในลีกยูเออี ที่ยืนข้อเสนอให้กับแข้งรายนี้

    ดาวยิงวัย 35 ปีไม่ต้องรอถึงเดือน มิ.ย.63 ในเรื่องของการหาทีมใหม่ พร้อมกับเตรียมตัวร่วมทัพกับอัลนาสเซอร์ได้ทันที โดยเซบาสเตียน ตาเกียบัว เซ็นสัญญาร่วมทัพด้วยสัญญา 2 ปี โดยคาดการณ์กันว่าสัญญาของแข้งรายนี้มีมูลค่าสูงถึง 1.6 ล้านยูโรฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 55.6 ล้านบาท

    การย้ายทีมครั้งนี้แตกต่างกว่าทุกครั้งเนื่องจากแข้งรายนี้จะได้สิทธิ์ลงสนามในฐานะแข้งสัญชาติยูเออี สโมสรอัลนาสเซอร์จะไม่เสียโควตาต่างชาติเนื่องจากเพิ่งโอนสัญชาติมาเพื่อเล่นให้กับทีมชาติยูเออีในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย กลุ่ม จี ซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกับ ไทย,เวียดนาม,มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย

    สำหรับ เซบาสเตียน ตาเกียบัว ฤดูกาลนี้ยิงไป 15 ประตูจากการลงสนาม 19 แมตช์ให้กับสโมสรอัลวาดาห์ ในศึกฟุตบอลยูเออี โปรลีก ฤดูกาล 2019-2020 ซึ่งดาวยิงอาร์เจนไตน์รายนี้เป็น 1 ใน 3 นักเตะโอนสัญชาติที่ยูเออีคาดหวังจะใช้ในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย กลุ่ม จี  

    โดย 4 เกมที่ผ่านมาสถานการณ์ยูเออีไม่ดีเท่าที่ควรเก็บมาได้เพียง 6 แต้มจากผลงาน ชนะ มาเลเซีย 2-1,ชนะอินโดนีเซีย 5-0,แพ้ ไทย 1-2 และ แพ้ เวียดนาม 0-1 โดยโปรแกรมที่เหลือ 4 เกม พบ มาเลเซีย(เหย้า), พบ อินโดนีเซีย (เยือน), พบ ไทย (เหย้า) และ พบ เวียดนาม (เหย้า)

 

 

ไม่มีนักเตะคนนี้ “จ่าเย็น”ก็ไม่มีช็อตดราม่า “ผมรักประเทศไทย”

แม้เวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ช็อตที่แฟนบอลทีมชาติไทยยังจำกันได้แม่น กับเกมฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก 12 ทีมสุดท้าย เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.60 หรือเกือบ 3 ปีที่แล้ว จังหวะที่ “จ่าเย็น”มงคล ทศไกร ซัดนำร่องให้ไทยออกนำยูเออี 1-0 และเจ้าตัวเดินมาที่กล้องพร้อมตะโกนใส่กล้องว่า “ผมรักประเทศไทย”
   ช็อตดราม่าในครั้งนั้น “จ่าเย็น”มงคล ทศไกล ย้อนความหลังว่า มันปลดปล่อยทุกอย่างที่อัดอั้น เพราะโดนวิพากษ์วิจารณ์จากทุกสารทิศทั้งแฟนบอล สื่อมวลชน กันเยอะมาก ถึงฟอร์มการเล่นที่ตกฮวบลงไป และไม่สมควรจะติดทีมชาติไทย ทำให้สภาพจิตใจตอนนั้นมันย่ำแย่ไปหมด

  “ตอนที่ผมยิงประตูยูเออีได้ ผมสะใจมาก วิ่งไปดีใจตรงมุมธงมีเพื่อนเข้ามาร่วมด้วย ตอนที่ผมกำลังหันหลังกลับเพื่อมาเล่นต่อ “เก่ง”อดิศร พรหมรักษ์ ที่ตอนนั้นเล่นในทีมเอสซีจี เมืองทอง กับผม เขารู้ดีกว่าผมสภาพจิตใจก่อนหน้านี้ย่ำแย่จากฟอร์มตก ก็เลยบอกผมว่า จ่าเย็นๆ ข้างหลังมีกล้อง ไปดีใจกับกล้องเลย”

  “ผมเลยหันหลังกลับไป กล้องตัวนั้นเป็นกล้องที่เคลื่อนที่มาจับ ผมเลยเดินเข้าไป ตอนนั้นไม่รู้จะพูดอะไร รู้แค่ว่าเราทำประตูให้ทีมชาติไทยที่ทุกคนรักได้ ผมก้โพล่งออกไปเลยว่า “ผมรักประเทศไทย” กระแสหลังจากนั้นจากลบกลายเป็นบวกขึ้นมาบ้าง ผมก็ต้องขอบคุณ “เก่ง”อดิศร ที่ช่วยเตือนเรื่องกล้องกับผมในวันนั้น” จ่าเย็น กล่าวอย่างอารมณ์ดี

เป็นจ้าวอาเซียนก่อนเถอะ เสียงเตือนจากจอมหนึบลีกผู้ดี

ESPN ออกมาเผยบทสัมภาษณ์ของทีมชาติฟิลิปปินส์กับการวางเป้าหมายหลังจากนี้ไป ในการลงแข่งขันฟุตบอลรายการต่างๆที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ทั้งการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง กลุ่ม เอ ซึ่ง ฟิลิปปินส์ อยู่ร่วมกลุ่มกับ จีน,ซีเรีย,กวม และ มัลดิฟส์ ปัจุบันรั้งอันดับ 3 ของตารางลงสนาม 5 นัด มี 7 แต้ม เท่ากับทีมชาติจีนแต่แข่งมากกว่า 1 นัด ตามหลังจ่าฝูงซีเรีย ที่มี 11 แต้ม นอกจากนั้นยังต้องลงแข่งขันฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 ซึ่งจะทำการแข่งขันระหว่างวันที่ 25 พ.ย.-31 ธ.ค.63
    สก็อต คูเปอร์  กุนซือทีมชาติฟิลิปปินส์ที่เคยทำงานในลีกฟุตบอลเมืองไทย เผยว่า ก่อนหน้านี้ทีมขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน) ทีมได้ผ่านเข้าไปสู่เอเซียน คัพ 2019 ซึ่งผลงานในชิงแชมป์เอเชียไม่ดีกว่าเวียดนาม,ไทย ที่ผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ แต่ทีมกำลังสร้างแนวทางการเล่นใหม่ซึ่งตอนนี้ก็ได้ปรัชญาในการเล่นแล้วตามวิธีการ แน่นอนว่าต้องการเข้าสู่รอบต่อไปของการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกเอเชียและจะพยายามทำผลงานให้ดีที่สุด

    ขณะเดียวกัน นีล เอเธอริดจ์ ผู้รักษาประตูทีมชาติฟิลิปปินส์สโมสรฟุตบอลคาร์ดิฟ ซิตี้ ในศึกแชมป์เปี้ยนชิพของอังกฤษ รวมไปถึงยังมีประสบการณ์ในการเล่นฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เผยว่า เป้าหมายระยะสั้นที่ต้องทำสำหรับฟิลิปปินส์คือการเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลซูซูกิ คัพ  หลังจากนั้นต้องทำให้เห็นชัยชนะเกิดขึ้นแบบยั่งยืนเหนือทีมจากอาเซียนด้วยกันและจากนั้นจะเห็นมาตรฐานตัวเองรวมไปถึงจะเป็นการสร้างความมั่นใจสู่เอเชียนคัพอีกครั้งและออกไปต่อสู้กับทีมต่างๆในเอเชีย

    สำหรับทีมชาติฟิลิปปินส์  ผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติทวีปเอเชียเพียงครั้งเดียว ปี 2019 ที่ประเทศ ยูเออี เป็นเจ้าภาพ ส่วนการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ หรือรายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่การผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ 4 ครั้ง จาก 12 ครั้ง ปี 2010,2012,2014,2018   โดยฟิลิปปินส์มี โปรแกรมฟุตบอลโลก  2022 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย ที่เหลือ 3 เกม พบ  กวม(เหย้า), พบ จีน(เยือน),พบ มัลดิฟส์(เหย้า)

“ดานโญ่”เลี้ยงพี่น้องด้วยลำแข้งทุ่มเงินเก็บสร้างอพาร์ทเมนต์



สุดยอดตำนานแข้งต่างชาติไทยลีกจากทวีปแอฟริกาที่ปัจจุบันจะรีไทร์การเป็นพ่อค้าแข้งไปแล้วสำหรับ ดานโญ่ เซียก้า นักเตะจากไอวอร์รี่โคส หรือ โกตดิวัวร์ แข้งรายนี้ใช้เวลาค้าแข้งอยู่ในลีกไทยถึง 10 ปี โดยเฉพาะกับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เจ้าตัวประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากด้วยการคว้าแชมป์ระดับดิวิชั่น 1 ตั้งแต่ปีแรก(2008) พร้อมกับเลื่อนชั้นสู่ไทยลีกและพาทีมคว้าแชมป์ไทยลีก 3 สมัย 2009,2010,2012 ก่อนที่จะโยกไปค้าแข้งกับ เพื่อนตำรวจ,ขอนแก่น ยูไนเต็ด และ บางกอก เอฟซี

10 ปี ที่ค้าแข้ง ดานโญ่ มีความผูกพันกับประเทศไทยเป็นอย่ามากเพราะชื่นชอบวัฒนธรรมความมีน้ำใจของคนไทย จึงเลือกที่จะทำงานฟุตบอลในเมืองไทยต่อไปด้วยการเป็นผู้ฝึกสอนฟุตบอลระดับเยาวชนให้กับสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด พร้อมกับรับงานเป็นสต๊าฟโค้ชให้กับอุดรธานี เอฟซี ในศึกฟุตบอลไทยลีก 2 ตลอดเวลาการค้าแข้งสำหรับนักฟุตบอลอาชีพมันคือช่วงเวลาที่ไม่ยาวนักหลายคนต้องเริ่มต้นตัวเองจากการฝึกฝนตั้งแต่เด็กแต่ห้วงระยะเวลาฟุตบอลอาชีพสั้นเพราะไม่สามารถยกระดับตัวเองให้อยู่ต่อหรือเส้นทางการใช้ชีวิตแตกไปจากเกมลูกหนังโดยไม่รู้ตัว

แต่ ดานโญ่ เซียก้า อดีตเยาวชน 20 ปี ทีมชาติไอเวอร์รี่โคส ชุดปี 2006 เติบโตด้วยความสามารถอันมั่นคงต่อยอดการพัฒนาฝีเท้าตัวเองสู่เส้นทางของฟุตบอลอาชีพยืนระยะการเล่นได้อย่างยาวนานตั้งแต่เริ่มต้นกับ สปอร์ตเดซานเปรโด ในบ้านเกิดก่อนที่จะตัดสินใจย้ายมาเล่นที่ประเทศไทยในปี 2008 กับเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด  ซึ่งก่อนมาค้าแข้งที่ไทยเจ้าตัวยอมรับว่าไม่เคยรู้จักประเทศไทยมาก่อนอีกทั้งยังไม่ค่อยมีข้อมูลฟุตบอลไทยมากนัก  แต่การตัดสินใจมาครั้งนี้ก็เพื่อต้องการแสวงหาเส้นทางฟุตบอลอาชีพนอกประเทศเพื่อจะเลียงดูตัวเองและครอบครัวที่มีพี่น้องรวมกันถึง 7 คน

ในครอบครัวของ ดานโญ่ พี่น้อง 7 คน มีผู้ชาย 4 คน และ ผู้หญิง 3 คน ฟุตบอลอาชีพมีเพียงเขากับพี่ชายคนโตเท่านั้นที่มีโอกาสได้โลดแล่นอย่างเต็มตัวพี่ชายของดานโญ่ออกไปค้าแข้งที่แอลจีเรียและยูเออี  เจ้าตัวเล่าย้อนความหลังว่าสมัยเด็กๆทุกคนต้องต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้นต้องไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระหว่างทาง ซึ่งที่ไอเวอร์รี่โคสทุกครอบครัวมักถูกสอนว่าจะต้องต่อสู้เพื่อชัยชนะ  หากไม่สู้ชีวิตในอนาคตจะเต็มไปด้วยความลำบาก

ตลอดระยะเวลาการค้าแข้งในเมืองไทย  ดานโญ่ เซียก้า นอกจากประสบความสำเร็จทั้งฟอร์มการเล่นของตัวเองและการพาทีมคว้าแชมป์แล้ว เรื่องนอกสนามที่น่าสนใจคือแข้งรายนี้คือจอมมัธยัสถ์เก็บหอมรอมริบเงินต่อเนื่องจนมีเงินเป็นกอบเป็นกำ พร้อมกับวางอนาคตตัวเองสำหรับเรื่องของค่าใช้จ่ายและรายได้หลังจากการเป็นนักฟุตบอล เพราะมีภาระหลายอย่างต้องดูแล ดานโญ่  ใช้เงินเก็บหลายสิบล้านบาท ทุ่มซื้อที่และสร้างอพาร์ทเมนต์ในเมืองอาบีจาน ประเทศไอวอรี่โคสต์ บ้านเกิดของเขา เมื่อ 4-5  ปีที่ผ่านมา

งบประมาณระดับมหาศาลเกือบในการลงทุนต่อยอดชีวิต ดานโญ่ เล่าให้ฟังถึงยอดเงินจำนวนนี้ว่า ส่วนใหญ่แล้วเป็นเงินทีได้จากการเป็นนักฟุตบอลอาชีพตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำไมยอดมันไปแตะที่เกือบๆร้อยล้าน สาเหตุจริงๆแม้ว่าราคาสร้างอพาร์ทเมนต์จะไม่สูงแต่มูลค่าที่ดินในย่านนั้นซึ่งอาบีจาน เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงเก่าของอวอรีโคสต์ เป็นศูนย์กลางทางการเงิน,ธนาคารของประเทศ แม้ปัจจุบันกรุงยามูซูโกรจะเป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการก็ตามแต่มูลค่าที่ดินตรงนี้ยังสูงลิบลิ่ว นอกจากนั้นเมืองนี้ยัง มีอุตสาหกรรมชั้นนำมากมายเป็นสินค้าส่งออก มีท่าเรือที่ องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้เงินก้อนดังกล่าวหมดไปกับค่าที่  อพาร์ทเมนต์ที่สร้างขึ้นมามี 4 ชั้น รายได้ก็ถือว่ามีผลตอบแทนที่ใช้ได้ดีเลยทีเดียว

ซึ่งเงินก้อนนี้นอกจากจะเป็นรายได้ของดานโญ่ เซียก้า ในทุกๆเดือน แล้ว  ณ ปัจจุบันอดีตแข้งกิเลนยังต้องนำรายได้ส่วนหนึ่งไปเลี้ยงดูพี่น้องทั้งหมดที่ช่วยกันดูแลกิจการ โดยจะเป็นคนจัดการเรื่องรายได้ให้กับพี่น้องอีก 6 คน เพราะ ดานโญ่  อยากดูแลพี่ๆน้องๆ ให้มีรายได้จากการช่วยดูแลอพาร์ทเมนต์ ซึ่งมันคือความสุขที่ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และภูมิใจที่ได้ดูแลพี่น้องหลังจากทั้งคุณพ่อและคุณแม่เสียชีวิต อีกทั้งยังต้องดูแลคุณตาและคุณยายจากเงินรายได้ก้อนนี้

สำหรับ ดานโญ่ เซียก้า เคยเป็นอดีตเยาวชนทีมชาติไอเวอร์รี่โคส ชุด 20 ปี ผ่านการเล่นให้กับสโมสร สปอร์ต เดซานเปรโด ในบ้านเกิดก่อนที่ปี 2008 จะโยกมาเล่นในเมืองไทยกับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ยาวจนถึงปี 2014 ก่อนที่จะย้ายไปเล่นให้ โปลิศ ยูไนเต็ด, ขอนแก่น ยูไนเต็ด และ บางกอก เอฟซี นอกจากนั้น ดานโญ่ เซียก้า ยังเคยทำมูลนิธิฟุตบอลที่บ้านเกิดไอวอรี่โคสต์ให้กับเด็กๆเพื่อเป็นการสร้างโอกาสฟุตบอล

มู-เป๊ป-คล็อปป์ รวมกัน ยังไม่เท่าโค้ชระยอง เอฟซี คนนี้



ศึกไทยลีก 1 ฤดูกาล 2020 ฟาดแข้งมา 4 เกม ต้องหยุดการแข่งขันชั่วคราวเนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ลุกลามสร้างปัญหาไปทั่วโลก สโมสรฟุตบอล “ม้านิลมังกร” ระยอง เอฟซี ทีมน้องใหม่ ในลีกสูงสุดของเมืองไทยที่ก้าวขึ้นมาเล่นท็อปลีกครั้งแรก ยังต้องเดินหน้าต่อสู้เต็มที่ต่อไป หลัง 4 เกมที่ผ่านมายังไม่สามารถเก็บแต้มได้พ่ายรวด 4 เกม จากผลงาน แพ้ ชลบุรี 0-2 ,แพ้ นครราชสีมา 1-2,แพ้ เมืองทอง ฯ 0-3 และ แพ้ สุพรรณบุรี 0-1

ระยอง เอฟซี เดินหน้าปรับเปลี่ยนสถานการณ์ด้วยการเดินหน้าแต่งตั้งโค้ชใหม่ชาวบราซิลอย่าง อาร์เธอร์ เบอร์นาเดส  วัย 64 ปี เข้ามาทำงานแทน “โค้ชชู”ชูศักดิ์  ศรีภูมิ เพื่อพาทีมลงแข่งขันในช่วงโปรแกรมที่เหลืออยู่ ช่วงภาวะสถานการณ์โควิด-19 อาละวาด กุนซือใหม่ชาวบราซิลต้องใช้เวลาในการจูนทีมให้ลงตัวเพื่อรอให้สถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายและกลับมาแข่งขันต่อหลังจากนี้   โดยก่อนหน้านี้กุนซือรายนี้ผ่านการทำงานการเป็นเฮดโค้ชมาแล้วถึง 30 สัญญาว่างจ้าง และ การรับงานคุมทัพ ระยอง เอฟซี เป็นสัญญาที่ 31 ในตลอดชีวิตการเป็นโค้ช 32 ปี สโมสรฟุตบอลส่วนใหญ่ในประเทศบราซิลและในเอเชียจะเป็นทีมในซาอุดิอาระเบีย,ยูเออี,เกาหลีใต้และ คูเวต

สถิติที่น่าสนใจในการคุมทีมนอกจากมีสัญญาการคุมทีมถึง 31 สัญญาแล้ว อาร์เธอร์ เบอร์นาเดส   มักจะไม่คุมทีมที่เคยผ่านการทำงานมาก่อนหน้านี้มีเพียง 3 สโมสรเท่านั้นที่ย้อนกลับไป ประกอบไปด้วย  มาริเลีย(บราซิล),อัลวัสเซิล(ยูเออี),ดูไบ ซีเอสซี(ยูเออี) นอกจากนั้นอีก 25 สัญญากุนซือรายนี้พเนจรไปทำคุมทัพในสโมสรต่างๆ ถึง 25 สโมสร โดยการเดินทางมาคุมทัพ “ม้านิลมังกร”ระยอง เอฟซี ทำให้เกิดสถิติใหม่ตลอดกาลของฟุตบอลไทยลีก อาร์เธอร์ เบอร์นาเดส   กลายเป็นกุนซือที่มีสัญญาการคุมทีมสูงสุดถึง 31 สัญญาก่อนรับงานคุมสโมสรลีกสูงสุดของเมืองไทย ซึ่งก่อนหน้านี้กุนซือต่างชาติก่อนเข้ามารับงานสูงสุดในลีกไทยที่มีสัญญาการคุมทีมมากที่สุดคือรายของ มานูเอล คาซูดา กุนซือชาวโปรตุเกส ก่อนรับงานคุมเทโรฯ ปี 2015 เคยได้รับสัญญาโค้ชอาชีพมาถึง 23 สัญญา 

ประวัติการคุมทีมของ  “อาร์เธอร์ เบอร์นาเดส”

    ระยอง เอฟซี(ไทย) 2020

    นาซิอองนาล(บราซิล) 2017-2018                364 วัน                                 

    อัล มอซเซล(ซาอุดิอาระเบีย) 2016-2017        49 วัน

    SG กามา(บราซิล)                2015-2016        78 วัน

    กังวอน เอฟซี(เกาหลีใต้)       2014-2015        269 วัน

    ยู 23 แอตเลติโก พาราเนนเซ่ (บราซิล)    2013                                     

    กอร์ แฟคคาน(ยูเออี)               2012-2013    364 วัน

    ฟอร์ตาเลซ่า(บราซิล)              2010-2011    90 วัน

    ดูคัว เด ซาเซียส(บราซิล)        2010-2011      68 วัน

    อเมริกา อาร์เจ(บราซิล)           2010-2011     116 วัน

    อัลคูเวต(คูเวต)                       2009-2010    180 วัน

    เจจู ยูไนเต็ด(เกาหลีใต้)           2008-2010    650 วัน

    ยูเวนตุด(บราซิล)                    2007-2008    364 วัน

    มาริเลีย(บราซิล)                    2006-2007    364 วัน

    เปโตร ลูอันดรา(อังโกลา)       2005-2006    364 วัน

    อัลวัสเซิล(ยูเออี)                   2003-2004    365 วัน

    ดูไบ ซีเอสซี(ยูเออี)               2002-2003     180 วัน

    โบตาโฟโก(บราซิล)              2002-2003    183 วัน 

    อัลชาบับ(ซาอุดิอาระเบีย)      2001-2002    364 วัน

    อเลียซา ลิมา(เปรู)                2000-2001    365 วัน

    ดูไบ ซีเอสซี(ยูเออี)              1999-2000     365 วัน

    อัลวาสเซิล(ยูเออี)                1996-1998     729 วัน

    อัล ริอัด(ซาอุดิอาระเบีย)       1995-1996    181 วัน

    ยู-20 ฟลาเมงโก(บราซิล)     1995                                     

    ยูนิอา มาเดียรา(โปรตุเกส)    1994-1995     212 วัน

    อีซี บาเฮีย(บราซิล)              1993-1994    180 วัน

    มาริเลีย(บราซิล)                  1992-1994    364 วัน

    ฟลูมิเนเซ่(บราซิล)               1992-1993    365 วัน

    สปอร์ต เรซิเฟ่(บราซิล)        1991-1992    364 วัน

    แอตเลติโก เอ็มจี(บราซิล)    1989-1990    364 วัน

    มาดูริอา อาเจ(บราซิล)        1988-1989     365 วัน