แมนฯ ซิตี้ งานเข้า! “เดอ บรอยน์” เดี้ยงจากทีมชาติ ส่อชวดดวลปืนใหญ่

เควิน เดอ บรอยน์ เพลย์เมกเกอร์ของแมนฯซิตี้ ถอนตัวจากทีมชาติเบลเยียมแล้ว หลังฟิตไม่พอสำหรับเกม ยูฟ่า เนชันส์ ลีก กับ ไอซ์แลนด์ ในวันพุธนี้

กองกลางวัย 29 มีปัญหาบาดเจ็บเล็กน้อยจากเกมแพ้อังกฤษ 1-2 ทำให้ถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามในนาทีที่ 72

โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ กุนซือทีมชาติเบลเยียมบอกว่าที่ เดอ บรอยน์ ถอนตัวก็เพื่อป้องกันไว้ก่อนและเขาไม่ได้อยู่ในสภาพเต็มร้อย

รายงานจาก เดอะ มิร์เรอร์ ระบุว่าแม้อาการเจ็บของเขาจะไม่รุนแรงนัก แต่ก็น่าจะทำให้พลาดเกมเจอกับ อาร์เซน่อล ไป

ทาง “เรือใบสีฟ้า” เองก็ไม่อยากเสี่ยงส่งนักเตะลงสนาม เพราะอาจกลายเป็นผลร้ายและทำให้เขาต้องพักยาวนานกว่านี้

นั่นหมายความว่า เดอ บรอยน์ ไม่น่าจะได้มีส่วนร่วมและปล่อยให้พักเต็มๆ ก่อนถึงเกมแชมเปี้ยนส์ลีกนัดแรกที่จะพบกับ ปอร์โต้ ในวันพุธหน้า

แมนฯ ซิตี้ จะลงสนามพบกับ อาร์เซน่อล โดยที่ผ่านการเก็บไปได้ 4 แต้มใน 3 เกมแรกของฤดูกาล

‘ซาก้า’ควง’เปเป้’ซัด! อาร์เซน่อลเปิดรังเฉือนเชฟฟิลด์หวิว-แซงขึ้นท็อปโฟร์

บูกาโย่ ซาก้า และ นิโกล่าส์ เปเป้ กดคนละตุง พา อาร์เซน่อล เปิดรังเฉือน เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-1 แซง เชลซี ขึ้นไปรั้งที่ 4 ของตาราง ขณะที่ทีม "ดาบคู่" อาการโคม่าแพ้ 4 นัดรวดหล่นไปรั้งรองบ๊วยของตาราง ในศึกพรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา

    ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563 ที่สนาม เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ระหว่าง อาร์เซน่อล ทีมอันดับ 9 ของตาราง พบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 18

    อาร์เซน่อล ของ มิเกล อาร์เตต้า เกมนี้มีการเปลี่ยน 11 ตัวจริงบางตำแหน่งส่ง กาเบรียล มากัลเญส ลงก่อน ร็อบ โฮลดิ้ง ในแนวรับ ขณะที่แนวรุกส่ง เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ยืนเป็นหน้าเป้าก่อน อเล็กซ็องด์ ลากาแซตต์ ประสานงานร่วมกับ วิลเลียน และ ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง

    ด้าน เชฟฯ ยูไนเต็ด ของ คริส ไวล์เดอร์ ที่พาทีมแพ้มา 4 นัดติดต่อกัน เกมนี้ได้ จอห์น เอแกน กองหลังตัวหลัก พ้นโทษแบนกลับมา ส่วนคู่หน้าใช้ โอลิเวอร์ เบิร์ค และ เดวิด แม็คโกรดิค ล่าตาข่าย

    ครึ่งแรกเปิดฉากมา 20 นาที แม้ อาร์เซน่อล จะครองเกมได้เหนือกว่าชัดเจน แต่ยังเจาะเกมรับ เชฟฟิลด์ ไม่เข้า เกมส่วนใหญ่ยังอยู่บริเวณกลางสนามทำให้ทั้งสองทีมยังเสมอกันอยู่ 0-0

    ทีม "ปืนใหญ่" ขึงบุกใส่อยู่ฝ่ายเดียวต่อบอลอยู่หน้าเขตโทษ เชฟฟิลด์ และมาได้ลุ้นจบสกอร์ครั้งแรก ในนาที 28 เมื่อ บูกาโย่ ซาก้า เปิดจากริมเส้นฝั่งซ้ายให้ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ขึ้นโขกแต่บอลไม่มีน้ำหนักทำให้ อารอน แรมส์เดล ล้มตัวรับไว้ไม่ยาก

    จากนั้น อาร์เซน่อล เกือบได้ประตูขึ้นนำ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ปั่นด้วยขวาหน้าเขตโทษบอลกำลังจะเสียบใต้คานแต่ อารอน แรมส์เดล พุ่งปัดปลายมือบอลออกหลังไปหวุดหวิด ในนาที 37

    ท้ายครึ่งแรก นาที 44 เจ้าถิ่นได้ลุ้นส่งท้ายครึ่งแรกจากจังหวะตวัดยิงในเขตโทษของ โอบาเมย็อง แต่บอลไปตรงตัวของ แรมส์เดล รับได้ไม่ยาก

    ช่วงที่เหลือทั้งสองทีมยังทำอะไรกันไม่ได้ ทำให้จบครึ่งแรกยังเสมอกัน 0-0

    ครึ่งหลังเริ่มมาถึง นาที 52 อาร์เซน่อล ชวดได้ประตูขึ้นนำอย่างน่าเสียดาย จากจังหวะที่ ดานี่ เซบายอส แทงบอลทะลุช่องให้ โอบาเมย็อง หลุดเข้าไปชาร์จจ่อๆหน้าปากประตูแต่ไม่โดนบอลออกหลังไป

    จนกระทั่ง นาที 60 ความพยายามของ อาร์เซน่อล มาประสบผลสำเร็จจากจังหวะการทำชิ่งหน้าปากประตูบอลไปถึง เอคตอร์ เบเยริน หลุดไปถึงสุดเส้นหลัง ก่อนจะชิพไปเสาไกลให้ บูกาโย่ ซาก้า ได้โหม่งโล่งๆเข้าประตูไป

    เท่านั้นไม่พอ นาที 64 "ปืนใหญ่" ได้ประตูนำห่าง 2-0 เบเยริน จ่ายบอลให้ นิโกล่าส์ เปเป้ ที่ลงมาเป็นตัวสำรองในครึ่งหลังกระชากเข้าไปซัดด้วยซ้ายข้างถนัดส่งบอลเสียบเสาไกลเข้าไปอย่างสวยงาม

    อย่างไรก็ตาม นาที 83 เชฟฟิลด์ ไม่ยอมง่ายๆ ได้ประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-2 เดวิด แม็คโกรดิค ปั่นโค้งๆหน้าเขตโทษบอลพุ่งเสียบเสาเข้าไป แบรนด์ เลโน่ หมดสิทธิ์เซฟ

    เวลาที่เหลือ เชฟฟิลด์ ไล่ไม่ทัน จบเกม อาร์เซน่อล เอาชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-1 ขยับขึ้นไปรั้งที่ 4 ของตาราง ขณะที่ทีม "ดาบคู่" อาการโคม่าแพ้ 4 นัดรวดแถมยังยิงใครไม่ได้หล่นไปรั้งรองบ๊วยของตาราง

รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม

อาร์เซน่อล (3-4-2-1) : แบร์นด์ เลโน่ – กาเบรียล มากัลเญส, ดาวิด ลุยซ์, คีแรน เทียร์นี่ย์ – เอคตอร์ เบเยริน, โมฮาเหม็ด เอลเนนี่, ดานี่ เซบายอส (กรานิต ชาคา น.81), บูกาโย่ ซาก้า (เอนส์ลี่ย์ เมตแลนด์-ไนล์ส น.87) – วิลเลี่ยน, ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง – เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ (นิโกล่าส์ เปเป้ น.58)
 
เชฟฯ ยูไนเต็ด (3-5-2) : อารอน แรมส์เดล – คริส บาแชม (บิลลี่ ชาร์ป น.76), จอห์น เอแกน, แจ็ค โรบินสัน – จอร์จ บัลด็อค, จอห์น ลุนด์สแตรม, ซานเดอร์ เบิร์ก, เบน ออสบอร์น (จอห์น เฟล็ค น.63), เอ็นดา สตีเว่นส์ – เดวิด แม็คโกรดิค, โอลิเวอร์ เบิร์ค (โอลิเวอร์ แม็คเบอร์นีย์ น.56)  

เวนเกอร์ยัน!แมนยูเคยทาบทามตนเป็นกุนซือ

อาร์แซน เวนเกอร์ ขงเบ้งลูกหนังเลือดเฟร้นช์ เปิดเผยความจริงว่าสมัยที่ยังทำงานเคยได้รับการทาบทามจากสโมสรชั้นนำในลีกยุโรปมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่อยากได้ตนไปทำหน้าที่วางหมากด้วย

อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตผู้จัดการทีม "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล สโมสรดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ออกโรงเปิดเผยความจริงว่าตนเคยได้รับข้อเสนอจาก "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้เข้ามาทำหน้าที่เป็นกุนซือในช่วงระหว่างที่ยังทำงานอยู่

กุนซือชาวฝรั่งเศส ตัดสินใจอำลา อาร์เซน่อล เมื่อปี 2018 หลังจากนั่งกุมบังเหียนมาอย่างยาวนานถึง 22 ปี โดยปัจจุบันเขายังไม่หวนกลับมารับงานคุมทีมไหนทั้งนั้น และในสมัยที่ยังโลดแล่นอยู่ในวงการลูกหนัง เวนเกอร์ ได้ชื่อว่าเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในการนำสโมสรแย่งชิงความยิ่งใหญ่ในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี

เวนเกอร์ ซึ่งปัจจุบันอายุ 70 ปีแล้ว เผยว่าเคยมีโอกาสได้รับข้อเสนอให้คุมสโมสรใหญ่ๆ มากมายรวมไปถึง แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วย พร้อมกันนี้เจ้าตัวยังระบุว่าตอนนี้กำลังพิจารณาเรื่องอนาคตว่าจะหวนกลับมาสู่วงการฟุตบอลหรือไม่ หลังจากที่ปฏิเสธงานไปหลายครั้ง

จากการให้สัมภาษณ์กับ "เดอะ ไทม์ส" สื่อดังระดับโลกว่าเคยได้รับข้อเสนอจาก ปารีส แซงต์-แชร์กแมง หรือไม่ โดย เวนเกอร์ ตอบว่า "ผมเคยรับข้อเสนอให้ทำงานนั้น 2-3 ครั้ง" นอกจากนี้เจ้าตัวยังยืนยัน บาเยิร์น มิวนิค, เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, ยูเวนตุส รวมทั้งทีมชาติฝรั่งเศส ก็เคยยืนข้อเสนอเช่นกัน

ส่วนคำถามที่ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อให้ทำงานที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หรือไม่ เรื่องนี้ ตำนานนายใหญ่ "เดอะ กันเนอร์ส" ตอบชัดเจนว่า "ใช่" ส่วนคำถามต่อไปว่ามีข้อเสนอยื่นเข้ามาตอนไหน เวนเกอร์ เผยว่า "ผมไม่บอกคุณเรื่องนั้นหรอก แต่ผมบอกได้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ยื่นข้อเสนอให้ผมรับงานจริง"

เสร็จแมนยู!เวนเกอร์เผยแห้วใครทำเสียดายสุด

อาร์แซน เวนเกอร์ เปิดอก คนที่ตนเสียดายมากที่สุดที่ดึงมาร่วมทัพไม่สำเร็จตอนคุม อาร์เซน่อล ก็คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โดยบอกว่าตอนนั้น โรนัลโด้ ถึงขั้นได้เสื้อ "ไอ้ปืนใหญ่" ไปแล้วด้วย
    อาร์แซน เวนเกอร์ ตำนานผู้จัดการทีมของ อาร์เซน่อล ยอดสโมสรแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เปิดเผยว่าการอดได้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มาร่วมทัพในตอนที่ โรนัลโด้ ยังอยู่กับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน คือการชวดแข้งเป้าหมายที่ทำให้ตนรู้สึกเสียดายมากที่สุดจนถึงตอนนี้

    โรนัลโด้ เป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองตอนอยู่กับ สปอร์ติ้ง ก่อนที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะดึงตัวเขาไปร่วมทัพในปี 2003 ซึ่งหลังจากใช้เวลาปรับตัวอยู่พักหนึ่งแข้งวัย 35 ปีก็ระเบิดฟอร์มอันสุดยอดกับ "ปีศาจแดง" ได้ ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด และ ยูเวนตุส ตามลำดับ แถมตอนนี้ถึงขั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดตลอดกาลของโลกด้วย โดยก่อนหน้านี้เคยมีการเปิดเผยว่าก่อนที่ โรนัลโด้ จะไปอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด นั้น เวนเกอร์ ก็เคยคิดที่จะเอาแข้งชาวโปรตุกีสไปร่วมงานด้วยกันที่ อาร์เซน่อล เหมือนกัน

    ทั้งนี้ ล่าสุด เวนเกอร์ ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องต่างๆ กับ เดอะ การ์เดี้ยน สื่อชื่อดังของอังกฤษ โดยช่วงหนึ่งเขาโดนถามว่านักเตะคนไหนที่เขารู้สึกเสียดายมากที่สุดที่คว้ามาร่วมทัพไม่สำเร็จ ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบว่า "อุ๊ฟ! ผมคงไม่บอกว่ามันมีคนที่เข้าข่ายนั้นแค่คนเดียวหรอกนะ เพราะมันมีตั้ง 50 คนที่ผมรู้สึกเสียดาย! แต่อีกมุมหนึ่งนั้นคนที่อาจจะใกล้เคียงกับคำว่าเสียดายมากที่สุดก็คงจะเป็นการอดได้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในตอนที่เขาเซ็นสัญญากับ แมนฯ ยูไนเต็ด"

    "ตอนนั้นเราทำข้อตกลงกับ สปอร์ติ้ง ได้แล้ว แต่ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เอา คาร์ลอส เคยรอซ ไปเป็นผู้ช่วยโค้ชของพวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะให้ข้อเสนอสูงกว่าเราแล้วได้ โรนัลโด้ ไปร่วมทัพ ที่จริงเราบรรลุข้อตกลงเรื่องหลักๆ กับเขาได้แล้ว เขาได้เสื้อของ อาร์เซน่อล ไปรอใส่แล้วด้วยซ้ำ แถมเรายังเคยกินมื้อเที่ยงกับเขาและคุณแม่ของเขาที่สนามซ้อมอีกต่างหาก! นั่นเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง แต่ที่จริงมีหลายคนที่ผมเสียดาย สโมสรใหญ่ๆ น่ะจะพลาดนักเตะชั้นยอดไปหลายคนได้เป็นธรรมดา!"

ไม่ท้อ!เกนดูซี่เชื่อยังมีอนาคตกับอาร์เซน่อล

มัตเตโอ เกนดูซี่ มิดฟิลด์สัญญาเช่า แฮร์ธ่า เบอร์ลิน มั่นใจ ตนยังไม่หมดอนาคตกับ อาร์เซน่อล พร้อมแจงสาเหตุที่เลือกย้ายออกจากทัพ "ไอ้ปืนใหญ่" ชั่วคราว

มัตเตโอ เกนดูซี่ กองกลางดาวรุ่งเลือดเฟร้นช์ของ อาร์เซน่อล สโมสรยักษ์ใหญ่ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ปัจจุบันถูก แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ยืมตัวไปใช้งาน แสดงความมั่นใจว่า ตนยังคงมีอนาคตที่สดใสกับการค้าแข้งในถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม

เกนดูซี่ ถูกกุนซือ มิเกล อาร์เตต้า จับดองยาวมาตลอด นับตั้งแต่ไปมีเรื่องกับ นีล โมเปย์ หัวหอก ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน หลังจบเกมลีกนัดที่ "ไอ้ปืนใหญ่" บุกไปแพ้ "เดอะ ซีกัลล์ส" 1-2 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน แถมล่าสุดในวันปิดตลาด เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา เจ้าตัวถูกส่งไปให้ แฮร์ธ่า ยืมใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล ทำให้หลายๆ ฝ่ายมองว่า ดาวเตะวัย 21 ปี ไม่น่าจะอยู่ในแผนการทำทีมระยะยาวของ อาร์เตต้า แล้ว

อย่างไรก็ตาม เกนดูซี่ เชื่อว่า ตนยังคงมีอนาคตกับ "ไอ้ปืนใหญ่" อยู่ พร้อมแจงถึงเหตุผลที่ตนถูกปล่อยตัวให้ "หญิงชรา" ยืมใช้งานในฤดูกาลนี้

"มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย (เรื่องหมดอนาคตที่ อาร์เซน่อล) ผมแค่จำเป็นต้องได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอในฤดูกาลนี้ และก็อยากเจอความท้าทายใหม่ๆ ด้วย นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผม ผมอายุยังน้อย เพิ่ง 21 ปีเท่านั้น ดังนั้นการมีโอกาสได้ลงเล่น จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผม และกับ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ผมรู้ว่า นี่คือที่ที่ผมสามารถแสดงผลงานของตัวเองในลีกที่ยอดเยี่ยม"

"นี่คือสโมสรที่มีความทะเยอทะยาน ผมถูกปล่อยออกมาแบบยืมตัวหนึ่งปี ดังนั้นผมจะทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อสโมสรแห่งนี้ ผมต้องการเวลาลงเล่น, ผมต้องการเล่น, ผมอยากจะสนุกกับการเล่นของตัวเองในสนาม นั่นแหละคือสิ่งที่ผมอยากทำในฤดูกาลนี้" เกนดูซี่ เปิดใจ หลังช่วยทีมชาติฝรั่งเศส ยู-21 ไล่ยำ ลิกเตนสไตน์ ยู-21 5-0 เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

ชิลเวลล์ประเดิมยิง1จ่าย1! เชลซีถล่มพาเลซยับแซงขึ้นท็อปโฟร์-จอร์จินโญ่เบิ้ลโทษ

เบน ชิลเวลล์ แบ๊กซ้ายป้ายแดงประเดิมเกมลีกนัดแรกด้วยฟอร์มสุดฮอตทำ 1 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ ส่วน จอร์จินโญ่ ซัด 2 จุดโทษ ช่วยให้ เชลซี เปิดรังถล่ม คริสตัล พาเลซ 4-0 ขยับขึ้นไปรั้งที่ 4 ชั่วคราว ส่วน "ปราสาทเรือนแก้ว" แพ้ 2 นัดรวดหล่นมารั้งที่ 8 ของตาราง ในศึกพรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คู่แรกประจำวันเสาร์ที่ 3 กันยายน 2563 ที่สนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป้นการพบกันระหว่าง เชลซี พบ คริสตัล พาเลซ

    เชลซี ของกุนซือ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เกมนี้ส่ง เอดูอาร์ เมนดี้ ผู้รักษาประตูรายใหม่ลงประเดิมเฝ้าเสาเป็นตัวจริงนัดแรกในเกมลีก เช่นเดียวกับ เบน ชิลเวลล์ แบ๊กซ้ายรายใหม่ได้ลงเป็นตัวจริงเช่นกัน ขณะที่แนวรุกดร็อป เมสัน เมาท์น เป็นเพียงสำรองแล้วส่ง ไค ฮาแวร์ทซ์ คอนทำเกมรุกสนับสนุนคู่หน้าอย่าง ติโม แวร์เนอร์ และ แทมมี่ อบราฮัม

   ส่วน คริสตัล พาเลซ ของกุนซือ รอย ฮ็อดจ์สัน จัพทัพเต็มสูบนำโดย แอนดรอส ทาวน์เซนด์ คอยทำเกมสนับสนุนคู่หน้าอย่าง จอร์แดน อายิว และ วิลฟรีด ซาฮา

    ครึ่งแรกเกมดำเนินมาถึง นาที 14 เชลซี มีโอกาสลุ้นประตูก่อนจากจังหวะที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ รับบอลจาก ไค ฮาแวร์ทซ์ แล้วปั่นด้วยขวาหน้าเขตโทษแต่บอลเหินข้ามคานไปไกล

    จากนั้นยังเป็นโอกาสของเจ้าถิ่น ใน นาที 19 จากจังหวะสวนกลับ ไค ฮาแวร์ทซ์ จ่ายบอลมาทางซ้ายให้ ติโม แวร์เนอร์ หลุดเข้าเขตโทษแล้วเอี้ยวตัวยิงด้วยขวา แต่บอลยังไปตรงตัวของ บิเซนเต้ ไกวต้า รับเข้าซองสบาย

    พาเลซ ยังเน้นเล่นเกมรับตามสไตล์และหวังใช้จังหวะสวนกลับเล่นงาน เชลซี จน นาที 42 แอนดรอส ทาวน์เซนด์ เปิดโค้งด้วยซ้ายจากริมเส้นฝัางขวาบอลไปเข้าหัวของ มามาดู ซาโก้ ที่เติมขึ้นมาขึ้นโขกแต่บอลไม่ตรงกรอบ

    ช่วงที่เหลือแม้ เชลซี จะเป็นขึงเกมบุกใส่มากกว่าแต่จังหวะสุดท้ายยังไม่เฉียบคมพอ ทำให้จบครึ่งแรกยังเสมอกันอยู่ 0-0

    ครึ่งหลังเล่นมาได้เพียง 5 นาที เชลซี ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะชุลมุนหน้าปากประตู ชีกู กูยาเต้ โหม่งสกัดไม่ขาดบอลมาเข้าทางปืนของ เบล ชิลเวลล์ เติมขึ้นมาหวดเต็มข้อด้วยซ้ายส่งบอลตุงตาข่าย

    พาเลซ มีโอกาสเปิดเกมบุกใส่บ้าง นาที 63 จอร์แดน อายิว หลุดมาซัดด้วยขวาในเขตโทษคราวนี้ไปติดเซฟของ เอดูอาร์ เมนดี้ พุ่งปัดไว้ได้

    อย่างไรก็ตามการบุกของ เชลซี ได้น้ำได้เนื้อมากกว่า และมาได้ประตูนำห่าง 2-0 จากจังหวะต่อเนื่องจากลูกเตะมุม เบน ชิลเวลล์ เปิดบอลจากซ้ายให้ เคิร์ท ซูม่า ขึ้นโขกเน้นๆไม่เหลือ

    หลังจากนั้น นาที 75 "สิงห์บลูส์" เกือบได้ประตูที่สาม คัลลั่ม ฮัดสัน โอดอย เปิดจากริมเส้นฝั่งขวาให้ แทมมี่ อบราฮัม โขกเน้นๆบอลหลุดเสาออกไปนิดเดียว

    อย่างไรก็ตาม นาที 76 ไทริค มิตเชลล์ ไปสกัด แทมมี่ อบราฮัม ล้มลงในเขตโทษผู้ตัดสินชี้เป็นจุดโทษทันที ก่อนจะเป็น จอร์จินโญ่ รับหน้าที่สังหารเข้าไปไม่พลาดให้ เชลซี นำห่างเป็น 3-0

    เท่านั้นไม่พอ นาที 82 มามาดู ซาโก้ ไปทำฟาวล์ใส่ ไค ฮาแวร์ทซ์ ในเขตโทษผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษอีกครั้ง แล้วเป็น จอร์จินโญ่ คนเดิม สังหารเข้าไปไม่เหลือให้สกอร์ไหลเป็น 4-0 พร้อมเป็นประตูที่สองของมิดฟิลด์ทีมาชติอิตาลีในเกมนี้

    เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบเกม เชลซี ถล่ม คริสตัล พาเลซ 4-0 ขยับขึ้นไปรั้งที่ 4 ของตารางชั่วคราว
   
   
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

เชลซี (4-2-3-1) : เอดูอาร์ เมนดี้ – เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, เคิร์ท ซูม่า, ติอาโก้ ซิลวา, เบน ชิลเวลล์ – เอ็นโกโล่ ก็องเต้ (มัตเตโอ โควาซิช น.83), จอร์จินโญ่ – คัลลั่ม ฮัดสัน โอดอย (คริสเตียน พูลิซิช น.83), ไค ฮาแวร์ทซ์, ติโม แวร์เนอร์ – แทมมี่ อบราฮัม

คริสตัล พาเลซ (4-4-2) : บิเซนเต้ ไกวต้า – โจเอล วอร์ด, ชีกู กูยาเต้, มามาดู ซาโก้, ไทริค มิตเชลล์ – แอนดรอส ทาวน์เซนด์, เจมส์ แม็คคาร์ธี่ (ลูก้า มิลิโวเยวิช น.67), เจมส์ แม็คอาร์เธอร์, เอเซ่ – จอร์แดน อายิว, วิลฟรีด ซาฮา

 

ไม่ใช่หงส์-ผี!เวนเกอร์เปิดชื่อทีมคู่แข่งหินสุด

เซอร์ไพรส์! อาร์แซน เวนเกอร์ เผยชื่อทีมคู่แข่งที่หินสุดสมัยกุมบังเหียน อาร์เซน่อล พร้อมฟันธง มิเกล อาร์เตต้า จะพา "ปืนใหญ่" ไปถึงฝั่งฝันได้หรือไม่
    อาร์แซน เวนเกอร์ ตำนานผู้จัดการทีม อาร์เซน่อล ยกให้สโมสร วิมเบิลดัน ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 เป็นทีมที่แข็งแกร่งสุดแล้วเท่าที่ตัวเองเคยดวลด้วยในสมัยคุม "ปืนใหญ่" ระหว่างปี 1996-2018

    เมื่อถูก บีบีซี สื่อดังของอังกฤษ ถามถึงทีมคู่แข่งหินสุดคือใครนั้น กุนซือชาวฝรั่งเศส ตอบกลับว่า "วิมเบิลดัน เลยตอนที่ผมมาทำงานในอังกฤษใหม่ๆ"

    ในซีซั่นแรกที่ เวนเกอร์ มาคุม อาร์เซน่อล นั้น เขาโดน วิมเบิลดัน ที่มีฉายาว่า เครซี่ แก๊ง เล่นงานเสียน่วม โดยเสมอในเกมไปเยือนและแพ้คาบ้าน หลังคู่แข่งมีนักเตะจอมโหดอย่าง วินนี่ โจนส์ นำทีม และมี โจ คินเนียร์ ทำหน้าที่ผู้จัดการทีม

    อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น เวนเกอร์ เริ่มเรียนรู้ถึงวิธีการเล่นกับ วิมเบิลดัน ทำให้สามารถเอาชนะ 4 นัด เสมอ 1 นัด และแพ้แค่เกมเดียวกับการเจอกัน 6 ครั้ง ก่อนที่ทีมจอมบู๊จะร่วงตกชั้นในปี 2000

    พร้อมกันนี้ เวนเกอร์ ยังเชื่อว่า มิเกล อาร์เตต้า กุนซือคนหนุ่มชาวสแปนิช จะพา อาร์เซน่อล กลับมาคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้อีกครั้ง หลังทำได้หนสุดท้ายต้องย้อนไปถึงฤดูกาล 2003/04 เลยทีเดียว

    "ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่ง เพราะเขาคุมทีมได้เยี่ยม นักเตะทำตามเขาได้ดี พวกเขาพร้อมลุยไปกับเขา เราซื้อนักเตะได้เยี่ยม ใช้เงินไปมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้เรามีทรัพยากรขนาดใหญ่ มันน่าประหลาดใจทีเดียว ผมคิดว่า เขามีนักเตะที่ดีทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ใช่เราสามารถทำได้แน่ ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ" เวนเกอร์ ทิ้งท้าย

เปิดใจครั้งแรก! “เวนเกอร์” เผยเหตุไม่เคยกลับไปเหยียบถิ่น อาร์เซน่อล อีกเลย

อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตผู้จัดการทีม "ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล สโมสรดังในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ออกมาเผยเหตุที่ไม่เคยกลับไปดูทีมเก่าลงแข่งขันที่ เอมิเรตส์ สเตดี้ยม เลยตั้งแต่ออกจากทีมไปในปี 2018

"มันเหมือนกับการมาถึงจุดสิ้นสุดของคนรักกัน" เวนเกอร์ กล่าวผ่าน The Guardian "และคุณเองก็ไม่สามารถพูดกับคนที่คุณรักได้อีกแล้ว"

"ผมไม่สามารถที่จะไปยังสนามซ้อม, ผมไม่สามารถที่จะไปยังสนามแข่งและทำได้แค่เพียงอยู่ในที่ของตัวเองเท่านั้น"

"มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น หลังจากที่ทำหน้าที่มาตลอด 22 ปี และต้องยุติมันลงในทันที นี่เป็นสิ่งที่ยากลำบากมากๆ"

"แต่ผมเองก็ต้องการตัดความสัมพันธ์กับสโมสรแบบเด็ดขาด เพราะสโมสรเองก็ต้องการแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นผมจึงตัดสินใจจะไม่กลับไปดูเกม แต่ก็ยังเชียร์ อาร์เซน่อล ด้วยแพสชั่นเท่าเดิม"

"เมื่อคุณทำงานหนักที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว หลังจากนั้นคุณก็จะไม่เสียใจร้องไห้, จะไม่ก่นด่าและจะสามารถอยู่กับมันได้ ละสิ่งที่ผมเป็นอยู่ก็คือการเจ็บปวดแบบเงียบๆ เท่านั้น"

ปืนแม่นซัดหงส์ร่วงกลางอากาศ ! ผ่า 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล พ่ายจุดโทษ อาร์เซน่อล

ลิเวอร์พูล โดน อาร์เซน่อล บุกมาถอนแค้นได้สำเร็จ โดยทัพ "เดอะ กันเนอร์ส" เอาชนะจุดโทษ "หงส์แดง" 5-4 หลังเสมอกันในเวลา 90 นาที 0-0 ที่สนามแอนฟิลด์ ในศึกคาราบาว คัพ รอบ 4 หรือรอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา

เกมนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ จัดผู้เล่นชุดผสมผสานระหว่างนักเตะมากประสบการณ์, ดาวรุ่ง และแข้งสำรอง โดยแมตช์นี้เจ้าบ้าน และทีมเยือน สร้างโอกาสในการยิงประตูไม่ค่อยมากนัก แต่เกมก็ไม่ได้ดูน่าเบื่อจนเกินไป ที่สำคัญนักเตะดาวรุ่งหลายคนของทั้งสองทีม โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นและมีอนาคตสดใสรออยู่

ขณะที่ ดีโอโก้ โชต้า ดูเหมือนว่าจะปรับตัวเข้ากรับระบบการเล่นของ "เดอะ เร้ดส์" ได้เป็นอย่างดี ขณะที่ ทาคูมิ มินามิโนะ ก็พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของ เนโก วิลเลี่ยมส์ และ รีส วิลเลี่ยมส์ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วน แบร์นด์ เลโน่ นายด่านอาร์เซน่อล ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นและคู่ควรกับคำว่าโกลระดับโลกแล้ว

1. มินามิโนะ ยิ่งเล่นยิ่งพัฒนา

ต้องยอมรับว่าเกมนี้แนวทางการเล่นของ ลิเวอร์พูล ที่เป็นสไตล์เฮฟวี่ เมทัล อย่างที่คอลูกหนังได้เห็นกันเป็นประจำไม่มีให้เห็นเลย แถมจะออกแนวป็อบที่ดูแล้วไม่น่าตื่นเต้นเร้าใจเท่าไหร่ ที่สำคัญโอกาสในการสร้างความหวาดเสียวใส่ อาร์เซน่อล ก็มีน้อยนิดเหลือเกิน

อย่างไรก็ตามหากจะมองหาผู้เล่น "หงส์แดง" ที่ทำผลงานได้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด และเต็มไปด้วยการเล่นที่มุ่งมั่นนั่นก็คงหนีไม่พ้นฟอร์มของ ทาคุมิ มินามิโนะ โดย ดาวเตะชาวญี่ปุ่น มีส่วนในการเล่นเกมรุกของทีมอย่างมาก และมักจะยืนถูกที่ถูกเวลาเสมอ

มินามิโนะเกือบมีชื่อเป็นผู้ทำประตูอีกครั้ง หลังจากที่ตามซ้ำจังหวะที่ ดีโอโก้ โชต้า โหม่งไปโดน แบร์นด์ เลโน่ ปัดออกมา แต่น่าเสียดายที่ดันแม่นคานไม่งั้นคงทำให้ ลิเวอร์พูล กุมความได้เปรียบทันที และจะช่วยให้ทีมลงมาเล่นครึ่งหลังได้สบายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม   

อย่างไรก็ตามหากมองในแง่บวกเกมนี้ มินามิโนะ สามารถประสานงานกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โชต้า ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะความคล่องตัวและความไวของเขาสร้างความปั่นป่วนให้กับเกมรับ "เดอะ กันเนอร์ส" พอสมควร ฉะนั้น คล็อปป์ คงมองเห็นแล้วว่า ดาวเตะเลือดซามูไร เป็นทีเด็ดทีพร้อมลงสนามช่วยทีมในเกมพรีเมียร์ลีก และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แน่นอน
    
2.  เลโน่ ฮีโร่ของปืน

 สำหรับเกมนี้ อาร์เซน่อล ทำผลงานได้ดีพอสมควรซึ่งฟอร์มในแมตช์นี้คงทำให้ มิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีม รู้สึกตื่นเต้นสุดๆ กับนักเตะดาวรุ่งที่ได้รับโอกาสลงสนาม ขณะที่ แบร์นด์ เลโน่ นายทวารชาวเยอรมัน แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาคือโกลระดับโลกของจริง

เกมนี้นายด่านเลือดด๊อยท์ช ยืนตำแหน่งได้ดี มีความนิ่ง และยังรวดเร็วว่องไว โดยเซฟจังหวะสำคัญๆ ในครึ่งแรกช่วงทดเจ็บด้วยการพุ่งปัดลูกโหม่งระยะแค่ 10 หลาของ โชต้า เอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ ก่อนที่ มินามิโนะ จะตามซ้ำบอลชนคานดังสนั่น

ยังไม่หมดแค่นั้นในครึ่งหลัง เลโน่ โชว์ซูเปอร์เซฟจากจังหวะยิงระยะเผาขนของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ก่อนที่จะทำผลงานเหนียวหนึบอีกครั้งด้วยการป้องกันจังหวะยิงของ โชต้า นอกจากนี้ยังมีจังหวะโชว์นิ่งด้วยการเซฟลูกยิงของ เนโก วิลเลี่ยมส์ ได้อยู่หมัด

ขณะที่ในช่วงดวลจุดโทษตัดสิน เลโน่ ก็แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมในการอ่านทางบอลของคู่แข่ง และมีส่วนสำคัญในการนำ อาร์เซน่อล ทะลุเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อเซฟจังหวะการยิงของ ดิว็อค โอริกี้ และ แฮร์รี่ วิลสัน ได้เรียบวุธ ฉะนั้นคงไม่แปลกหากจะยกให้เขาเป็นนักเตะที่ฟอร์มเด่นที่สุดของ "ไอ้ปืนใหญ่" ในเกมนี้

3.  โชต้า ฟอร์มสดสมราคา

แม้ว่าเกมนี้ ลิเวอร์พูล จะจอดป้ายแค่รอบ 4 หรือรอบ 16 ทีมสุดท้ายก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ คล็อปป์ น่าจะยังยิ้มได้ก็คือฟอร์มการเล่นของ ดีโอโก้ โชต้า เพราะนักเตะเริ่มปรับตัวกับระบบการเล่นของ "หงส์แดง" ได้แล้ว และผลิตผลงานที่ยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง

ก่อนหน้านี้ โชต้า เพิ่งจะได้ลงเล่นเปิดตัวในเกมพรีเมียร์ลีกให้กับ ลิเวอร์พูล พร้อมกับโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นแม้จะลงสนามในช่วงท้ายเกมก็ตาม และยังยิงประตูได้ด้วย โดย กุนซือชาวเยอรมัน ตัดสินใจใช้งานเขาอีกครั้งในการเจอกับคู่ต่อกรเดิม และนักเตะก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

โชต้า เล่นได้อย่างโดดเด่นพยายามวิ่งหาตำแหน่ง และหาจังหวะยิงประตูได้พอสมควร ขณะเดียวกันก็ยังใช้ความสามารถเฉพาะตัวป่วนเกมรับของทีมเยือน ที่สำคัญเขามีโอกาสโหม่งจะๆ ในระยะ 10 หลา แต่น่าเสียดายที่ เลโน่ ปฏิกิริยาว่องไว ปัดได้ซะก่อน และยังมีโอกาสอีก 1-2 ครั้งแต่ก็ไม่ผ่านมือ โกลเลือดด๊อยท์ช

ผลงานของเขาในเกมนี้น่าจะเป็นการจุดประกายความหวังที่จะได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง แม้ในเวลานี้อาจจะยากที่จะสอดแทรก 3 แนวรุก โม ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ แต่ในอนาคตหากสามคนนี้ทำผลงานไม่คงเส้นคงวา มีสิทธิ์ที่จะโดน โชต้า แย่งตำแหน่งเอาได้ง่ายๆ
   
4. ดับเบิลวิลเลี่ยมส์โชว์ฟอร์มสุดยอด

เนโก วิลเลี่ยมส์ กลับมาตั้งสติและโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในแมตช์นี้ หลังจากที่นักเตะเพิ่งจะโดนแฟนบอล "หงส์แดง" บางรายโจมตีอย่างหนักในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับฟอร์มการเล่นของเขาในช่วงที่ผ่านมา และแมตช์นี้เจ้าตัวพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีศักยภาพมากแค่ไหน

วิลเลี่ยมส์ ได้โอกาสลงประจำแบ็กขวาตั้งแต่ต้นเกม และทำผลงานได้โดดเด่นโดยเฉพาะจังหวะการเปิดบอลให้ โชต้า ยิงประตู แต่น่าเสียดายที่ไม่เข้า ในส่วนของเกมรับแมตช์นี้ ดาวเตะเลือดเวลส์ เล่นได้ดีไม่มีที่ติสามารถจัดการกับ บูคาโย่ ซาก้า กับ นิโกล่าส์ เปเป้ ได้อยู่หมัด

โดยจังหวะเกมรับที่โดดเด่นของ วิลเลี่ยมส์ ก็คือการวิ่งเข้ามาสกัดในเขตโทษก่อนที่ ซาก้า จะได้ง้างเท้ายิง ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดและเต็มไปด้วยความมั่นใจของนักเตะ งานนี้ถือว่า วิลเลี่ยมส์ สามารถสอบผ่านเรื่องแรงกดดันได้แล้ว

ขณะที่ รีส วิลเลี่ยมส์ บอกเลยว่าเป็นกำลังเป็นศิษย์รักคนใหม่ของ คล็อปป์ เพราะผลงานของเขาถือว่าแข็งแกร่งอย่างมากในการจับคู่กับ ฟาน ไดค์ ที่สำคัญนักเตะเล่นด้วยความเยือกเย็นทั้งๆ ที่อายุเพียง 19 ปีเท่านั้นแถมจัดการกับลูกโด่งได้ดีเยี่ยม ด้วยสถิติชนะดวลลูกกลางอากาศ 5 หน ซึ่งมากกว่าทุกคนในสนาม    

ฉะนั้น 2 ศรีวิลเลี่ยมส์ ซึ่งไม่ใช่พี่น้องกันแต่นามสกุลเหมือนกัน มีอนาคตสดใสภายใต้การปลุกปั่นของ คล็อปป์ และหากทั้งสองคนยังคงพัฒนาฝีเท้า รวมทั้งสภาพจิตใจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น มีโอกาสที่พวกเขาจะได้ลงเล่นเป็นตัวหลักของทีมในอนาคตแน่นอน
 
5. ขุมกำลังเชิงรุก "หงส์แดง" น่าประทับใจ

หากตัดเรื่องความพ่ายแพ้ออกไป ต้องบอกเลยว่า ลิเวอร์พูล "ทีมสอง" ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมพอสมควร โดยเกมนี้ คล็อปป์ ตั้งใจที่จะใช้ผู้เล่นมากประสบการณ์ผสมผสานกับนักเตะดาวรุ่ง และผู้เล่นสำรอง ซึ่งทีมชุดนี้แสดงให้เห็นศักยภาพที่ใช้ได้เลยทีเดียว

โดยเฉพาะแผงกองกลาง ซึ่ง "เดอะ เร้ดส์" อุดมไปด้วยแข้งประสบการณ์ และมีศักยภาพชั้นยอด แต่งานนี้ คล็อปป์ ตัดสินใจให้โอกาส มาร์โก กรูยิช, แฮร์รี่ วิลสัน และ เคอร์ติส โจนส์ ได้ลงทำหน้าที่ประสานงานร่วมกัน ซึ่งทั้งสามคนก็โชว์ฟอร์มได้ดีไม่ทำให้นายใหญ่แดนไส้กรอกต้องผิดหวัง

ทั้งสามคนสามารถครองบอลได้นิ่ง, คุมพื้นที่ในแดนกลางได้อย่างยอดเยี่ยม และยังสามารถกดดันแผนหลังของอาร์เซน่อลได้ตลอด โดยเฉพาะในรายของ กรูยิช ที่พัฒนาฟอร์มการเล่นอย่างต่อเนื่อง โดยเขามีส่วนสำคัญในการเชื่อมเกม และพยายามผ่านบอลเข้าไปในพื้นที่สุดท้าย นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลต่อเกมสูงทั้งรับและรุก สามารถแท็กเกิ้ลชนะถึง 5 ครั้ง พร้อมทั้งมีโอกาสลุ้นทำประตูด้วย

ฉะนั้นด้วยผลงานแบบนี้คงทำให้ คล็อปป์ พร้อมที่จะให้โอกาส กรูยิช ได้พิสูจน์ศักยภาพของตัวเองอีกแน่นอน แต่จะเป็นเกมไหน พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ต้องจับตาดูกันต่อไป

 

 

 

 

 

ประเดิมโชต้า! “โจนส์-มินามิโนะ” เบิ้ลลิเวอร์พูลยำลินคอล์นลิ่วชนปืนใหญ่

เหล่าสาวก "เดอะ ค็อป" หน้าบานเต็มที่หลังขุนพลทัพสำรอง "หงส์แดง" โชว์ฟอร์มร้อนแรงบุกถล่ม ลินคอล์น ซิตี้ 7-2 จากผลงานสุดฮอตของ "โจนส์-มินามิโนะ" เหมาคนละ 2 ประตูแถม ดีโอโก้ โชต้า ลงประเดิมสนามพาทีมผ่านเข้าไปฟัด อาร์เซน่อล ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไป ในศึกฟุตบอลคาราบาว คัพ รอบ 3 คืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
สนาม : แอลเอ็นอีอาร์ สเตเดี้ยม

    ”ดิ อิมพ์ส” ลินคอล์น ซิตี้ รองจ่าฝูง ลีก วัน ของกุนซือ ไมเคิ่ล แอ็พเพิลตัน ฟอร์มร้อนแรงชนะมา 5 เกมติดรวมทุกรายการส่วนถ้วยนี้ผ่านเข้ารอบมาด้วยการบุกถล่ม แบร็ดฟอร์ด ซิตี้ 5-0

    ทางด้าน "หงส์แดง" นายใหญ่ เจอร์เกน คล็อปป์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยชนะมา 3 ติดต่อกันรวมทุกรายการ โดยหลังจากที่พลาดท่าแพ้จุดโทษอาร์เซน่อลใน คอมมิวนิตี้ ชิลด์ หงส์แดง ก็คืนฟอร์มเก่ง ถล่มแบล็คพูล 7-2, ก่อนที่จะเฉือน ลีดส์ ยูไนเต็ด 4-3 และชนะ เชลซี 2-0

  5 นาทีผ่านเป็น ลิเวอร์พูล ครองบอลบุกตามคาดได้ลุ้นทำประตูจากจังหวะซัดของ เคอร์ติส โจนส์ และลูกเปิดทางซ้ายของ คอสคาส ซิมิกาส แต่ยังไม่ดีพอผ่านมือ อเล็กซ์ พาลเมอร์

    ต่อมานาทีที่ 9 "หงส์แดง" ขึ้นนำอย่างรวดเร็วจากความผิดพลาดของ แม็กซ์ เมลเบิร์น ไปเสียเหลี่ยมหวด เคอร์ติส โจนส์ เสียฟรีคิกระยะอันตรายหน้าหัวกะโหลกฝั่งขวา เชอร์ดาน ชากิรี่ วิ่งมาปั่นด้วยซ้ายบอลโค้งเสียบใต้คานตุงตาข่ายงามหยด

 นาทีที่ 17 ทีมเยือน หวิดบวกสกอร์เพิ่มเป็นจังหวะทำชิ่งทางฝั่งซ้าย มาร์โก กรูยิช ดีดคืนให้ คอสคาส ซิมิกาส ครอสบอลเข้าในมาตกใส่ เคอร์ติส โจนส์ แต่งได้ช่องตะบันด้วยซ้ายหลุดออกหลังไป

    ไม่ต้องรอนานนาทีต่อมา "หงส์แดง" ทิ้งห่างออกไปจากจังหวะแจกโชคของ ลูอิส มอนส์ม่า จ่ายบอลประมาทไปติดขา ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ก่อนเด้งมาเข้าทาง ทาคูมิ มินามิโนะ เก็บส้มหล่นปั่นตามน้ำด้วยขวาโค้งผ่านมือ อเล็กซ์ พาลเมอร์ เสียบเสาไกลสุดสวย

    โอกาสลุ้นครั้งแรกของทัพ ”ดิ อิมพ์ส” เป็นลูกฉาบฉวยแนวรับ ลิเวอร์พูล เหม่อโดนเล่นฟรีคิกเร็ว เจมส์ โจนส์ หลุดขึ้นมาทางซ้ายก่อนตวัดเข้าในไปติดปลายมือ อาเดรียน ผวาปัดทิ้งออกหลัง

    27 นาทีผ่าน จ้าถิ่น เริ่มขยับเกมรุกมากขึ้นเป็น จอร์ช กรานท์ วิ่งสอดหลุดกับดักล้ำหน้าก่อนป้ายเข้าถึง แอนโทนี่ สคัลลี่ ซัดไม่ดีบอลเลยมาถึง คอสคาส ซิมิกาส ตามสกัดออกหลังไปได้ทัน

แต่แล้วนาทีที่ 32 กลายเป็น "หงส์แดง" บวกสกอร์เพิ่มจากบอลยาวของ รีห์ส วิลเลียมส์ วางแทยงเข้าเขตโทษตกใส่หัว ดิว็อค โอริกี้ โขกตั้งให้ เคอร์ติส โจนส์ ดึงเข้าขวาปั่นโค้งผ่าน ทิโมธี อีโยม่า ซุกก้นตาข่าย

    3 นาทีต่อมา ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ขอลุ้นเองบ้างลองซัดด้วยซ้ายระยะร่วม 30 หลาบอลพุ่งเรียดเกือบเบียดเสาแรกแต่ อเล็กซ์ พาลเมอร์ พุ่งไปปัดทิ้งออกหลังหวุดหวิด

    ยังไม่หนำใจนาทีต่อมา ลิเวอร์พูล ยำใหญ่คราวนี้ ลูอิส มอนส์ม่า โหม่งสกัดไม่ขาดบอลมาเข้าทาง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ แทงเร็วให้ เคอร์ติส โจนส์ ชิงเหลี่ยมหมุนตัวเทิร์นบอลก่อนปั่นด้วยขวาแฉลบ ทิโมธี อีโยม่า เข้าไปไม่มีเหลือ

    ท้ายครึ่งแรก ลินคอล์น ซิตี้ พยายามฮึดสู้ ทิโมธี อีโยม่า แอบมาเก็บบอลทางริมเส้นฝั่งขวาหลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปหยอดให้ เจมส์ โจนส์ โฉบมาโขกคนเดียวเข้าข้างตาข่ายอย่างน่าเสียดาย

    ช่วงทดเจ็บ ทาโย อีดัน ปีกตัวความหวังของ ”ดิ อิมพ์ส” หลุดเข้ามาถึงในกรอบเขตโทษโชว์ลีลาหลอก รีห์ส วิลเลียมส์ ได้ลองยัดมุมแคบด้วยซ้ายก็ยังไม่ผ่านมือ อาเดรียน ตะปปทิ้งเหมือนเดิม

    หมดครึ่งเวลาแรก ลินคอล์น ซิตี้ 0 ลิเวอร์พูล 4

    ครึ่งหลังเริ่มได้ไม่ถึงนาที ทีมเยือน ยังคงไร้ปราณีหนีออกไปอีกจากการใช้  เพรสซิ่ง แย่งบอลมาได้สุดท้ายเป็น เคอร์ติส โจนส์ แทงช่องให้ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ หลุดเดี่ยวเข้าไปทิ่มติดเซฟ อเล็กซ์ พาลเมอร์ โชคดีเด้งมาเข้าทาง ทาคูมิ มินามิโนะ สลับขาแปร์เข้าไปไม่พลาด

    นาทีที่ 48 อาเดรียน ไม่น้อยหน้าขอโชว์บ้างออกมาตัดลูกหลุดเดี่ยวของ แฮร์รี่ แอนเดอร์สัน ก่อนกลับไปยืนตำแหน่งปัดบอลออกจากเท้า ทาโย อีดัน

 มีพลาดเหมือนกันนาทีที่ 53 ทาโย อีดัน ตักบอลเข้ากรอบเขตโทษ รีห์ส วิลเลียมส์ โดดสกัดไม่ดีเลยมาถึง แอนโทนี่ สคัลลี่ ตามเก็บตกแปร์ไปติดขา อาเดรียน บล็อคช่วยทีมเอาไว้ได้

    นาทีที่ 61 เจ้าถิ่นมาได้ประตูปลุกใจเป็น เนโก วิลเลี่ยมส์ เล่นยากโดนฉกกลางสนามโดน จอร์ช กรานท์ พาบอลย้อนทางขึ้นมาจ่ายเข้าในให้ ทาโย อีดัน ดึงเข้าขวาทิ้งตัวแปร์เรียดผ่าน อาเดรียน เข้าไป

    เกมเปิดแลกสุดมันส์ 4 นาทีต่อมา ลิเวอร์พูล มาได้ประตูครบครึ่งโหลเป็น ลูอิส มอนส์ม่า คนเดิมเคลียร์บอลไม่ขาดมาตกใส่เท้า มาร์โก กรูยิช ก้มหน้ากดหน้าเขตโทษติดปลายนิ้ว เล็กซ์ พาลเมอร์ ไหลเข้าประตู

    นาทีต่อมา ลินคอล์น ซิตี้ แลกหมัดทันควัน จากลูกเตะมุมทางฝั่งซ้ายโยนลึกไปเสาไกลให้ ลูอิส มอนส์ม่า แก้ตัววิ่งสลัดตัวประกบขึ้นตัดหน้า เนโก วิลเลี่ยมส์ โขกบอลชนใต้คานเด้งเข้าประตูไป

    70 นาทีผ่าน ทิโมธี อีโยม่า ไปเข้าพรวดกระแทก ทาคูมิ มินามิโนะ ร่วงรงไปแทบจะบนเส้น 18 หลา ฟาบินโญ่ รับหน้าที่ปั่นด้วยขวาบอลเฉี่ยวเสาไกลหลุดออกไปได้ลุ้น

    15 นาทีสุดท้าย ดีโอโก้ โชต้า เกือบเบิกสกอร์แรกในนัดประเดิมสนามรับบอลจาก นาบี เกอิต้า แต่งหาช่องหักข้อด้วยขวาบอลผ่านมือ อเล็กซ์ พาลเมอร์ ไปชนเสาเด้งออกมา

    2 นาทีต่อมา เจ้าถิ่น เริ่มมองเห็นจุดอ่อนในแนวรับ ลิเวอร์พูล แอนโทนี่ สคัลลี่ ถอยมาเก็บบอลทางซ้าย หยอดเข้าในให้ ทีโอดอร์ อาคิบัลด์ เอาชนะ เนโก วิลเลี่ยมส์ เสียดายโขกไปตรงตัว อาเดรียน

    ท้ายเกม "หงส์แดง" มาปิดกล่องจากจังหวะสวนกลับ ทาคูมิ มินามิโนะ พาบอลลากลุยจากครึ่งสนามก่อนแทงออกขวาให้ ดิว็อค โอริกี้ วิ่งมาแปร์ตามน้ำผ่านมือ อเล็กซ์ พาลเมอร์ ไม่พลาด

  จบเกม ลินคอล์น ซิตี้ 2 ลิเวอร์พูล 7 ลูกทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ ทำผลงานได้ตามเป้าผ่านเข้าไปฟัด อาร์เซน่อล ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไป
 
รายชื่อนักเตะที่ลงสนามตัวจริง

    ลินคอล์น ซิตี้ (4-3-3) : อเล็กซ์ พาลเมอร์ – อเล็กซ์ แบรดลีย์, ทิโมธี อีโยม่า, ลูอิส มอนส์ม่า, แม็กซ์ เมลเบิร์น – ทาโย อีดัน, เลียม บริดคัตต์ (ทอม ฮอปเปอร์ น.60), เจมส์ โจนส์ (คอเนอร์ แม็คเกรนเลส น.60) – แฮร์รี่ แอนเดอร์สัน (ทีโอดอร์ อาคิบัลด์ น.67), แอนโทนี่ สคัลลี่, จอร์ช กรานท์

เทรนเนอร์ : ไมเคิ่ล แอ็พเพิลตัน

    ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อาเดรียน – เนโก วิลเลี่ยมส์, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ (ฟาบินโญ่ น.46), รีห์ส วิลเลียมส์, คอสคาส ซิมิกาส, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ (ดีโอโก้ โชต้า น.57), เคอร์ติส โจนส์, มาร์โก กรูยิช  – เชอร์ดาน ชากิรี่ (นาบี เกอิต้า น.75), ดิว็อค โอริกี้, ทาคูมิ มินามิโนะ

เทรนเนอร์ : เจอร์เกน คล็อปป์

ผู้ตัดสิน : โทนี่ แฮร์ริงตัน