ใส่อารมณ์นิดหน่อย!ชมคล็อปป์-คีนแลกความเห็นกัน

เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ รอย คีน แลกความเห็นหลังจบเกมแบบมีอารมณ์กันนิดหน่อย หลังจากที่ คีน บอกว่าเกมที่ชนะ อาร์เซน่อล นั้น ลิเวอร์พูล มีช่วงที่เล่นเอื่อยเฉื่อย 1-2 จังหวะ แต่ คล็อปป์ มองว่าเกมนี้ลูกทีมเล่นได้สมบูรณ์แบบ

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล และ รอย คีน แลกเปลี่ยนความเห็นแบบใส่อารมณ์กันนิดหน่อยหลังจบเกม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดที่ "หงส์แดง" เปิดรัง แอนฟิลด์ เอาชนะ อาร์เซน่อล 3-1 เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กันยายน ที่ผ่านมา

นัดดังกล่าวทีมเยือนขึ้นนำก่อนจาก อเลซ็องดร์ ลากาแซตต์ ในนาทีที่ 25 แต่เจ้าถิ่นก็ตีเสมอได้อย่างรวดเร็วจาก ซาดิโอ มาเน่ ในอีก 3 นาทีให้หลัง และพอถึงนาทีที่ 34 ลิเวอร์พูล ก็แซงนำจาก แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ก่อนจะมาได้ประตูตอกย้ำชัยชนะจาก ดีโอโก้ โชต้า ในนาทีที่ 88

ทั้งนี้ หลังจบเกมไปแล้วนั้น คีน กล่าวระหว่างทำหน้าที่กูรูให้ สกายสปอร์ตส์ สื่อกีฬาชื่อดังของเมืองผู้ดีว่านัดนี้ ลิเวอร์พูล มีจังหวะที่เล่นได้เฉื่อยชา 1-2 จังหวะ ซึ่งหลังจากนั้น สกายสปอร์ตส์ ติดต่อไปสัมภาษณ์ คล็อปป์ และพอโดนพิธีกรที่อยู่ข้างๆ คีน ถามว่าเขาชอบอะไรบ้างเกี่ยวกับฟอร์มของลูกทีมแล้วนั้น คล็อปป์ ก็ตอบว่า "ผมชอบทุกอย่างเลย! จะว่าไปแล้วผมได้ยินถูกรึเปล่าว่า มิสเตอร์ คีน บอกว่าคืนนี้เราเล่นกันได้เฉื่อยชา ? ผมได้ยินเสียงพวกคุณแล้ว เขาพูดอย่างนั้นรึเปล่า ? ฟอร์มในคืนนี้เนี่ยนะเป็นฟอร์มที่เฉื่อยชา ? ผมไม่มั่นใจว่าผมได้ยินถูกรึเปล่า เขาอาจจะพูดถึงเกมอื่นก็ได้มั้ง เพราะฟอร์มแบบนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในเกมนี้แน่ๆ ขอโทษด้วย"

 "นั่นคือสิ่งที่ช่วยบรรยายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมนี้ได้ดี วันนี้เราเล่นกันได้สุดยอด ไม่มีการเฉื่อยชาอะไรทั้งนั้น ไม่มีเลย เราครองเกมได้ตั้งแต่นาทีแรกในการเจอกับทีมที่กำลังอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม พวกเขา (อาร์เซน่อล) เป็นทีมที่กำลังเล่นได้ร้อนแรง 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม นั่นหมายความว่าคุณจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างมากและไม่โดนเล่นงานด้วยจังหวะสวนกลับเร็ว ผมคิดว่า 60-70 เปอร์เซ็นต์ของจังหวะที่บอลถูกจ่ายแบบทะลุแนวหลังน่ะเป็นจังหวะล้ำหน้า คุณก็แค่ต้องรอนิดหน่อยเพื่อให้ธงมันถูกยกขึ้นมา นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ แต่มันเป็นจังหวะล้ำหน้าแน่นอน"

"อาลี่ (อลีสซง) ต้องเซฟแบบสวยๆ 1 ครั้ง มันมีการแทงบอลทะลุแนวรับไป 2 หน และคุณไม่สามารถเลี่ยงเรื่องนั้นได้ ในสถานการณ์แบบนี้มันมีโอกาสเสียประตูได้เป็นธรรมดา แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วคืนนี้เราเล่นได้ยอดเยี่ยมมากๆ แน่นอนว่าถ้ามันเกิดขึ้นในเกมอื่นมันก็ไม่เป็นผลดีกับเรา ไม่ว่าจะเป็นเกมในวันพฤหัสบดี, เกมในวันอาทิตย์ หรืออะไรก็ตาม แต่คืนนี้มัน (ฟอร์มของ ลิเวอร์พูล) ไม่มีเรื่องแย่ๆ ให้พูดถึงเลย"

ด้านอดีตมิดฟิลด์วัย 49 ปีชี้แจงว่า "ได้ยินฉันไหม ? ฉันคิดว่านายฟังผิดไปนะ ฉันบอกว่ามันมีช่วงที่เล่นได้เฉื่อยชา แต่ฉันคิดว่าทีมของนายเล่นได้ยอดเยี่ยมมากๆ ฉันชมทีมของนายอย่างเดียวเลย ดังนั้นฉันเลยไม่มั่นใจว่านายได้ยินฉันถูกรึเปล่า" ซึ่งพอได้ยินอย่างนั้นกุนซือวัย 53 ปีก็บอกว่า "ฉันฟังแบบชัดๆ ไม่ได้หรอก ฉันดูลำโพงอยูแล้วได้ยินคำพูดที่บอกว่าเฉื่อยชา ฉันเลยคิดว่านายหมายถึงเกมนี้ และมันไม่มีทางเป็นเกมนี้ได้ (หมายถึงเกมนี้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้เล่นได้เฉื่อยชา)"

หลังจากนั้น คีน ก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรจะไปฟังการวิเคราะห์แบบเต็มๆ นะ" ซึ่ง คล็อปป์ ก็ตอบว่า "ฉันจะดูมันแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์เลย" โดยหลังจากนั้น คล็อปป์ ก็ให้สัมภาษณ์ในประเด็นอื่นๆ และพอการให้สัมภาษณ์จบลง ตำนานมิดฟิลด์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็พูดว่า "เขานี่เซนซิทีฟจังนะ ว่าไหม ? ลองคิดดูสิว่าถ้าเขาแพ้มันจะเป็นยังไง"

 

 

ไม่ขอโทษ!เนย์มาร์ลั่นอยากชกหน้าแข้งเหยียดผิว

เนย์มาร์ ดาวเตะ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ไม่คิดที่จะขอโทษกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น โดยบอกว่าอยากอัดหน้า อัลบาโร่ กอนซาเลซ ด้วยซ้ำ พร้อมยืนกรานว่าโดนแข้ง มาร์กเซย เหยียดผิวจริงๆ

เนย์มาร์ กองหน้าคนดังของ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง กล่าวว่าที่จริงตนอยากชกหน้า อัลบาโร่ กอนซาเลซ ปราการหลัง โอลิมปิก มาร์กเซย ด้วยซ้ำ หลังจากที่ เนย์มาร์ กล่าวหาว่าอีกฝ่ายเหยียดผิวตนระหว่างเกม ลีก เอิง ฝรั่งเศส นัด เลอ คลาสสิก ที่ทัพ "เปแอสเช" แพ้ "โอแอ็ม" 0-1 คารัง ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา

นัดดังกล่าวได้รับการจับตามองจากหลายฝ่ายเพราะมันถือเป็นเกมใหญ่ของลีกแดนน้ำหอม แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดของเกมนี้คือเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งหลัง โดยที่มีนักเตะโดนไล่ออกจากสนามถึง 5 คน แบ่งเป็น 2 คนของ มาร์กเซย และของ ปารีสฯ 3 ราย

สำหรับ เนย์มาร์ นั้น เป็นหนึ่งในนักเตะของเจ้าถิ่นที่โดนไล่ออก โดยตอนแรกเขาไปตบด้านหลังศีรษะ อัลบาเรซ ที่ตอนนั้นกำลังมีปากเสียงกับ เลอันโดร ปาเรเดส เพื่อนร่วมทีมของ เนย์มาร์ จนทำให้แข้งชาวสแปนิชโมโหสุดๆ และหันมาพูดบางอย่างกับอดีตแข้ง บาร์เซโลน่า ด้วยความเดือดดาล ซึ่งดาวเตะทีมชาติบราซิลก็ตวาดกลับไปเช่นกัน

ที่จริงตอนแรกกรรมการไม่เห็นชอตที่ เนย์มาร์ ตบหัวอีกฝ่าย แต่พอมาเช็กกับกล้องข้างสนามและทีมงานวีเออาร์แล้วนั้นเชิ้ตดำก็ชักใบแดงไล่ เนย์มาร์ ทันที ซึ่งในตอนที่เดินออกจากสนาม เนย์มาร์ ก็ไปบอกกับหนึ่งในทีมงานผู้ตัดสินว่าเขาโดน กอนซาเลซ เหยียดผิวใส่

ทั้งนี้ หลังจากจบเกมไปแล้วนั้น เนย์มาร์ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขอโทษอีกฝ่าย โดยกล่าวบน ทวิตเตอร์ เครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดังว่า "สิ่งเดียวที่ทำให้ผมเสียใจคือการไม่ได้ชกหน้าไอ้เวรตะไลนั่น"

นอกจากนี้ เนย์มาร์ ยังโพสต์เพิ่มด้วยว่าเขาโดน อัลบาเรซ เหยียดผิวจริงๆ "วีเออาร์ จับจังหวะที่ผมแสดง -ความก้าวร้าว- ได้อย่างง่ายดาย เอาล่ะ ตอนนี้ผมก็อยากจะเห็นภาพที่ไอัคนเหยียดผิวเรียกผมว่า -โมโน ฮิโต้ เดอ ปูต้า" (ภาษาสเปน แปลว่าไอ้ลิงจ๋อหน้าตัวเมีย) เหมือนกัน ผมอยากเห็นชอตนั้น!"

ขณะเดียวกัน ผู้บรรยายเกมการแข่งขันของ เทเลฟุต สื่อชื่อดังของฝรั่งเศสก็บอกเช่นกันว่า กอนซาเลซ เหยียดผิว เนย์มาร์ จริงๆ โดยอ้างว่า กอนซาเลซ ใช้คำว่า "ไอ้ลิงจ๋อโสโครก" อย่างไรก็ตาม กอนซาเลซ โพสต์ทาง ทวิตเตอร์ ว่าไม่ได้เหยียดผิวอีกฝ่ายเลย โดยบอกว่า "มันไม่มีที่ว่างให้กับการเหยียผิว ผมมีอาชีพการค้าแข้งที่ใสสะอาดทุกวันร่วมกับเพื่อนร่วมทีมและเพื่อนๆ หลายคน บางครั้งคุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะแพ้ และยอมรับมันในสนาม วันนี้เป็นการได้ 3 แต้มที่ยอดเยี่ยม

เดอบรอยน์จ่าย2-บาตชูอายี่เบิ้ล!เบลเยียมถล่มไอซ์แลนด์ เฮ2นัดรวดศึกเนชั่นส์ลีก

เควิน เดอ บรอยน์ แอสซิสต์ 2 ประตู ขณะที่ มิชี่ บาตชูอายี่ ตะบันคนเดียวสองตุงช่วย เบลเยียม ที่โดนนำไปก่อนแล้วกลับมาระเบิดฟอร์มสุดโหดไล่ยำใหญ่ใส่ ไอซ์แลนด์ แบบยับเยิน 5-1 คว้าสามแต้มเต็มพร้อมกับรั้งจ่าฝูงกลุ่มแบบเดี่ยวๆ ทันทีเหตุเพราะทีมชาติอังกฤษทำได้เพียงเสมอกับเดนมาร์กแบบไร้สกอร์ ในศึกฟุตบอล ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก (ลีก เอ กลุ่ม 2) วันอังคารที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา

ฟุตบอล ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก (ลีก เอ กลุ่ม 2)
วันอังคารที่ 8 กันยายน 2563
เบลเยียม 5   –   1 ไอซ์แลนด์

   
สนาม : สต๊าด รัว โบดวง, บรัสเซลส์

    นาทีที่ 11 เป็นไอซ์แลนด์ออกนำไปก่อน 1-0  แบบมีดวงเมื่อ ฮอล์เบิร์ต อรอน ฟริดอนสัน ได้หมุนตัวตวัดยิงกลางกรอบเขตโทษระยะประมาณ 20 หลาบอลไปแฉลบกองหลังเบลเยียมบอลลอยโด่งย้อยข้ามหัว โคเอน คาสตีลส์ เขาไปแบบที่นายด่านเบลเยียมได้แต่ป้องกันด้วยสายตาเท่านั้น

    แต่เพียงแค่สองนาทีถัดมาเบลเยียมตามตีเสมอได้สำเร็จเป็น 1-1 จากจังหวะลูกฟรีคิดทางฝั่งซ้ายเป็น ดรีส เมอร์เท่นส์ ที่ปั่นบอลโค้งอย่างสวยแต่ไม่ผ่านมือ อ็อกมุนดูร์ คริสตินส์สัน นายด่านไอซ์แลนด์ที่โดดปัดสุดปลายมือก่อนที่บอลจะไปชนเสาแล้วกระเด้งมาเข้าทาง อักเซล วิตเซล ที่ยืนอยู่คนเดียวโล่งๆ แล้วแปบอลเข้าไปแบบจ่อๆ อย่างง่ายดาย

    นาทีที่ 17 เบลเยียม ได้ประตูแซงนำ 2-1 จากการโหมบุกเข้าใส่ไอซ์แลนด์อีกครั้งบอลมาอยู่ที่ ดรีส เมอร์เท่นส์ ที่รับบอลในเขตโทษก่อนจิ้มยอนคืนให้ อักเซล วิตเซล ได้ตั้งป้อมแปยัดเล่นทาเน้นๆ แต่ไปติดเซฟ อ็อกมุนดูร์ คริสตินส์สัน ที่พยายามรับไว้แต่ไม่อยู่กระดอนออกมาเข้าทาง มิซี่ บาตซูอายี่ ตามมาซ้ำดาบสองเข้าไปไม่เหลือซาก

    นาทีที่ 19  เบลเยียม หวิดได้ประตูที่สามเมื่อ เควิน เดอ บรอยน์ ตัดบอลได้จากแดนตัวเองก่อนใช้ความเร็วควบกระชากจี้เข้าหาเขตโทษไอซ์แลนด์ แล้วส่งต่อมาทางขวาให้ ดรีส เมอร์เท่นส์ ได้สับไกเน้นๆ แต่บอลดันเข้าข้างตาข่ายอย่างน่าเสียดาย

    ผ่านพ้นมาถึงนาทีที่ 40 เบลเยียมได้ลูกฟรีคิกทางฝั่งซ้ายแล้วพยายามเล่นไวก่อนถูกแข้งไอซ์แลนด์เคลียร์ออกไปได้แต่ก็ยังเป็นเบลเยียมที่เก็บบอลได้แล้วโต้กลับขึ้นมาอีกครั้งบอลมาอยู่ที่ มิชี่ บาตซูอายี่ หลุดเดี่ยวขึ้นมาทางฝั่งขวาได้ก้มหน้ากดเน้นๆ เต็มข้อแต่หลักไม่ดีบอลเหินข้ามคานออกอีกครั้ง

    นาทีที่ 44 เบลเยียม เกือบได้ประตูอีกครั้งจากจังหวะทำชิ่งหนึ่งสองของ โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ กับ โธมัส เมอนิเย่ร์ ก่อนที่ อัลเดอร์ไวเรลด์ จะได้เปิดบอลสุดริมเส้นย้อนมาเข้าทาง ดรีส เมอร์เท่นส์ ที่พยายามใช้ปลายเท้าแหย่บอลให้เปลี่ยนทางหวังเข้าเสาไกลแต่ดันหลุดออกไปนิดเดียว

    จบครึ่งแรกเป็นเบลเยียมที่่ครองเกมบุกได้มากกว่านำ ไอซ์แลนด์ 2-1

    มาลุ้นต่อครึ่งหลังยังคงเป็นเบลเยียมที่ครองเกมบุกได้มากกว่านาทีที่ 49 เควิน เดอ บรอยน์ ได้ตั้งป้อมซัดนอกกรอบระยะประมาณ 20 หลาบอลทำท่าจะเสียบโคนเสาแต่ถูกปฏิเสธสกอร์โดย อ็อกมุนดูร์ คริสตินส์สัน ผู้รักษาประตูไอซ์แลนด์ที่พุ่งปัดไว้ได้ด้วยปลายมือ

    และจากจังหวะลูกเตะมุมต่อเนื่องเบลเยียมได้ประตูนำห่าง 3-0 นาทีที่ 50 เมื่อ เควิน เดอ บรอยน์ รับบอลที่ส่งมาจากเพื่อนร่วมทีมแล้วลากจี้เข้ากรอบเขตโทษไอซ์แลนด์ก่อนส่งบอลลอดขา  อัลเบิร์ต กุ๊ดมุนด์สสัน  ไปให้ ดรีส เมอร์เท่นส์ ที่รับบอลแล้วใช้ความไวล้มตัวยิงเข้าไป

    นาทีที่ 62 ไอซ์แลนด์ ตอบโต้กลับขึ้นมาบ้าง อัลเบิร์ต กุ๊ดมุนด์สสัน หลุดเดียวเข้าไปหวดเน้นๆ ด้วยเท้าซ้ายทางฝั่งซ้ายแต่ไม่ผ่าน โคเอน คาสตีลส นายด่านเบลเยียมที่ยืนปิดมุมดีและใช้ปลายท้ายป้องกันเอาไว้ได้

    นาทีที่ 66 เบลเยียมได้ลุ้นบวกสกอร์อีกครั้งจากการยิงเหน่งๆ กลางประตูของ ดรีส เมอร์เท่นส์ แต่คราวนี้ อ็อกมุนดูร์ คริสตินส์สัน ไม่ปล่อยให้บอลผ่านเส้นประตูไปได้เจ้าตัวออกมาป้องกันพ้นเขตอันตราย

    จนแล้วจนรอดนาทีที่ 69 เบลเยียมได้ประตูนำขาด 4-1 จนได้จากจังหวะทำเกมสุดงาม เควิน เดอ บรอยน์ จ่ายบอลหักข้อให้ ยาริ เวอร์เชเรน หลุดขึ้นไปทางริมเส้นฝั่งซ้ายแล้วส่งต่อไปที่จุดนัดพบให้  มิชี่ บาตชูอายี่ ได้ไขว้ยิงด้วยส้นเท้าเข้าไปอย่างเหนือชั้น

    ยังคงเป็นเบลเยียมที่ได้บุกต่อเนื่องนาทีที่ 77 เจเรมี โดคู ได้เปิดบอลสุดริมเส้นฝั่งซ้ายบอลลอยมาเข้าหัว ธอร์กกาน อาซาร์ โขกตั้งย้อนมาให้ เควิน เดอ บรอยน์ ได้วอลเล่ย์แบบไม่รอให้บอลตกพื้นแต่ดันโดนไม่เต็ม

    นาทีที่ 80 เบลเยียมได้ประตูนำ 5-1 เมื่อ  เจเรมี โดคู รับบอลแล้วกระชากจึ้เข้าไปในเขตโทษไอซ์แลนด์ก่อนจะโยกหลอกแล้วซัดไวด้วยเท้าขวาบอลพุ่งดุจจรวดเสียบสามเหลี่ยมฝั่งไกลเข้าไปแบบสุดจะบรรยาย

    เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มจบเกมเป็น เบลเยียม ที่โดนแหย่รังแตนถูกนำไปก่อนแล้วมาระเบิดฟอร์มโหดกดแซงรวดเดียวจบที่ผลชัยใส่ไอซ์แลนด์ 5-1

    ทั้งนี้ เบลเยียม ชนะ 2 นัดรวดรับ 6 แต้มเต้มพร้อมกับรั้งจ่าฝูงกลุ่มแบบเดี่ยวๆ ทันทีเหตุเพราะทีมชาติอังกฤษทำได้เพียงเสมอกับเดนมาร์กแบบไร้สกอร์

รายชื่อนักเตะทั้งสองทีม
   
    เบลเยียม
(4-3-3) : โคเอน คาสตีลส์ (ซิมง มิโญเล่ต์ น.55) – โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, เจสัน เดนาเยอร์, แยน แฟร์ต็องเก้น, โธมัส เมอนิเย่ร์ – อักเซล วิตเซล, ธอร์กกาน อาซาร์ (ยารี เวอร์ชาเรน น.65), เควิน เดอ บรอยน์ (ฮานส์ วานาเค่น น.81) –  มิชี่ บาตชูอายี่, เจเรมี โดคู, ดรีส เมอร์เท่นส์
    เทรนเนอร์ : โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ
 
    ไอซ์แลนด์ (4-3-3) : อ็อกมุนดูร์ คริสตินส์สัน  – ยอน กุดนี่ ฟโยลูสัน, โฮลมาร์ ออร์น เอโยอล์ฟส์สัน, ฮอร์ตูร์ เฮอร์มันน์สสัน, อาริ เฟรย์ สกุลาสัน – วิคเตอร์ ปัลส์สัน, แอนดรี่ ฟานนาร์ บาล์ดูร์สสัน (เอมิล ฮอลล์เฟร็ดส์สัน น.54), เบียร์เคียร์ บียาร์นาสัน – ฮอล์เบิร์ต เอรอน ฟริดอนสัน (จอน ดาออย บูวาร์สสัน น.70), อาร์เนอร์ ซิกูร์สสัน (มิคาเอล อันเดร์ซอน น.72),  อัลเบิร์ต กุ๊ดมุนด์สสัน
    เทรนเนอร์ : เอริค ฮัมเร็น   

    ผู้ตัดสิน : พาเวล ราซคอฟสกี้ (โปแลนด์)

หนึ่งเดียวของไทย! “ศุภณัฏฐ์” ติดโผ 500 แข้งสำคัญของโลก

ดาวรุ่งวัย 18 สร้างชื่อกระหึ่มอีกครั้ง เมื่อติดโผเป็น 500 นักเตะคนสำคัญของโลก ประจำปี 2020 จากนิตยสารดังอย่าง World Soccer

World Soccer นิตยสารชื่อดัง คัดเลือก 500 นักเตะคนสำคัญของโลก ประจำปี 2020 ออกมา ปรากฎว่าหนึ่งในนั้นมีชื่อของ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา กองหน้าอนาคตไกล จาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ติดเข้ามาด้วย

ดาวรุ่งวัย 18 ปี เป็นนักเตะไทยเพียงรายเดียว ที่ติดโผเข้ามาในปีนี้ และ ถือเป็น 1 ใน 2 แข้งจากอาเซียน ที่ติดเข้ามาร่วมกับ เหงียน กวง ไฮ กองกลางทีมชาติเวียดนาม วัย 23 ปี โดยส่วนหนึ่งในคำบรรยายจาก World Soccer ระบุถึง ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ว่า

“เขาเกิดหลังจากฟุตบอลโลก 2002 ดาวรุ่งรายนี้ไม่เพียงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่ดีที่สุดในระดับทวีป สิ่งที่น่าประทับใจสำหรับกองหน้ารายนี้คือ ทุกครั้งที่เขาเลื่อนระดับขึ้นไป เขาทำได้ดีเสมอ”

“การที่เขาเล่นให้สโมสรที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มันช่วยเขาได้มาก เพราะที่นั่นเป็นที่ที่คาดหวังและเรียกร้องความสำเร็จ ในปี 2018 เขากลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นในไทยลีกด้วยวัยเพียง 15 ปี และกลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ยิงได้ในไทยลีกอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องแปลกใจเลยที่แฟนบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะเริ่มหลงรักกองหน้ารายนี้มากขึ้นเรื่อยๆ”

“วอนเดอร์คิดหนุ่มได้รับการยอมรับจากทักษะการครองบอล, ความสามารถในการเอาชนะกองหลัง และความเยือกเย็นเวลาอยู่หน้าประตู”

สำหรับ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา เป็นเจ้าของสถิติสำคัญมากมายในไทย ทั้งนักเตะอายุน้อยสุดที่ลงเล่นในโตโยต้า ไทยลีก , นักเตะอายุน้อยสุด ที่ทำประตูได้ ในโตโยต้า ไทยลีก , นักเตะอายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์ ที่ทำประตูได้ใน เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก และ นักเตะอายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์ ที่ลงเล่นให้ทีมชาติไทยชุดใหญ่ บนวัย 16 ปี 10 เดือน 3 วัน เท่านั้น

ตัดสินใจยากสุดในชีวิต! “ตังค์- สารัช” ร่ายยาวหลังลาเมืองทองซบบีจี

"ตังค์ " สารัช อยู่เย็น โพสต์ข้อความความรู้สึกครั้งแรกหลังย้ายจากเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ดไปซบรังบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ที่ได้มีการเปิดตัวไปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้กล่าวขอบคุณโอกาสที่ได้รับจากการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรรวมถึงขอบคุณแฟนบอล "กิเลนผยอง" เอสซีจี เมืองทองฯ แต่การย้ายทีมเป็นวิถีของฟุตบอล ก่อนกล่าวปิดท้ายคำสั้นๆ "ขอบคุณมากๆ​ ครับ"
    หลังจากที่ "เจ้าตังค์" สารัช อยู่เย็น"  ได้ย้ายร่วมทีมบีจี ปทุม ยูไนเต็ด อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 26พ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าตัวโพสต์ถึงความรู้สึกว่า "ถึงแฟนกิเลนผยอง 11 ปี ในสีเสื้อของเมืองทอง ยูไนเต็ด สำหรับผมมันเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึก จากน้องเล็กของบ้านในช่วงที่เป็นเยาวชนก้าวเข้ามาสู่ทีม จนมาเป็นพี่ใหญ่ของบ้านหลังนี้ ผมได้รับโอกาสดีๆ​ มากมายจากที่นี่ ได้มีโอกาสร่วมงานกับพี่ๆ​ น้องๆ​ นักฟุตบอล​,สต๊าฟฟ์โค้ช​ทีมงาน ได้เรียนรู้ประสบการณ์มากมายในโลกของฟุตบอล ทั้งการเป็นส่วนหนึ่งของการคว้าแชมป์ไทยลีก การเล่นในระดับสโมสรเอเชีย ร่วมถึงโอกาสรับใช้ทีมชาติไทย

    ถ้าไม่มีสโมสรแห่งนี้ ผมอาจจะไม่มีประสบการณ์เหล่านี้ ผมขอกราบขอบคุณผู้มีพระคุณในสโมสรทุกท่านที่มีความเมตตากับผมอย่างมหาศาล โดยเฉพาะคุณลุงระวิ โหลทอง ซึ่งมีความเมตตาผมและครอบครัวของผมมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยคุณพ่อของผมเมื่อครั้งยังเป็นพนักงานในบริษัทสยามกีฬา คุณลุงได้ให้ความเมตตาอย่างมาก ทั้งคอยชี้แนะและผลักดันให้ตัวผมก้าวหน้าในเส้นทางฟุตบอลมาโดยตลอด

    และที่ขาดไม่ได้คือ​ แฟนบอลกิเลนผยอง​ ขอบคุณ​ที่ให้การสนับสนุนและคอยเป็นกำลังใจให้ผมเสมอ เราได้ผ่านช่วงเวลาที่ดีและยากลำบากมาด้วยกัน ทุกครั้งที่ทีมประสบความสำเร็จ​ ทุกๆ​ กำลังใจที่ส่งมาให้กับนักบอลเป็นพลังและแรงผลักดันที่สำคัญที่สุด

    แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น​ คือช่วงเวลายากลำบาก​ แฟนบอลก็ไม่เคยทิ้งไปไหน​ คอยเป็นแรงผลักดัน​ เป็นกำลังใจสำคัญ​ให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาด้วยกัน

    การกล่าวคำลาต่อ ทุกๆ​ คน​ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ สโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ของผมครั้งนี้ มันยากลำบากสำหรับผมมาก​ ผมไม่รู้จะสามารถบรรยายความรู้สึกออกมายังไงให้ดูสวยงามและครบถ้วนที่สุด การก้าวออกจากบ้านหลังนี้เป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่งของผมก็ว่าได้ แต่มันอาจจะเป็นวิถีของฟุตบอลอาชีพที่ผมต้องเผชิญอีกครั้ง ผมต้องไปเจอความท้าทายใหม่ๆ​ ในโลกของฟุตบอล ผมหวังว่าจะยังคงได้รับการสนับสนุนและการต้อนรับที่อบอุ่นในเวลาที่ผมกลับมาเยือนยังบ้านหลังนี้

    สุดท้ายผมไม่สามารถเขียนบรรยายความรู้สึกให้ครบถ้วนสมบูรณ์แน่นอน แต่คงกล่าวเป็นคำสั้นๆให้กับเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ดทุกคนว่า "ขอบคุณมากๆ​ ครับ" จาก สารัช อยู่เย็น