อัดอั้นมานาน!ชไนเดอร์ลินจวกฟานกัลยับเยิน

หลังจากกลั้นความรู้สึกมานานหลายปี ล่าสุด มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน ก็ออกมาจวก หลุยส์ ฟาน กัล อดีตกุนซือที่ร่วมงานกันตอนอยู่ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แบบยับเยิน โดยบอกว่าอีกฝ่ายจำกัดกรอบการเล่นมากเกินไปจนทำให้นักเตะไม่มีอิสระในการเล่น แถมยังเข้มงวดเกินกว่าเหตุ พร้อมรับ ตอนนั้นน่าจะไปอยู่กับ สเปอร์ส น่าจะเหมาะกว่า
   
มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน มิดฟิลด์ นีซ สโมสรในศึก ลีก เอิง ฝรั่งเศส ตำหนิ หลุยส์ ฟาน กัล ว่าทำทีมโดยที่ใช้มาตรการเข้มงวดกับเรื่องต่างๆ มากเกินไป อย่างเช่นการจำกัดรูปแบบการเล่น จนส่งผลให้ตนกับคนอื่นๆ ในทีมไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งออกมาได้ตามไปด้วย

ตอนช่วงซัมเมอร์ ปี 2015 ชไนเดอร์ลิน ตกเป็นข่าวกับหลายทีม อย่างเช่น แมนฯ ยูไนเต็ด และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เป็นต้น หลังจากช่วงนั้นเขาทำผลงานได้โดดเด่นกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ก่อนที่สุดท้ายเจ้าตัวจะเลือก "ปีศาจแดง" แต่เขาก็ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งกับที่นั่นได้จนโดนปล่อยไปให้ เอฟเวอร์ตัน ในเดือนมกราคม ปี 2017

ดาวเตะชาวฝรั่งเศสให้สัมภาษณ์กับ ดิ แอธเลติก สื่อกีฬาชื่อดังว่า "เราโดนสั่งว่า -เมื่อไหร่ก็ตามที่แกได้จับบอลน่ะ แกต้องทำอย่างนี้นะ- ทั้งที่ผมควรจะได้เล่นด้วยความกล้าของผมเหมือนอย่างที่ทำได้ตอนเล่นให้ (เมาริซิโอ) โปเช็ตติโน่ และ (โรนัลด์) คูมัน (ชไนเดอร์ลิน เคยร่วมงานกับทั้งคู่ที่ เซาธ์แฮมป์ตัน) สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของนักฟุตบอลก็คือเมื่อมันเกิดเวลาที่คุณคิดมากเกินไป ผมเริ่มคิดว่า -อา ผู้จัดการทีมอยากให้ฉันทำอย่างนี้- ซั่งนั่นทำให้คุณเสียสัญชาตญาณของตัวเอง คุณจะเริ่มถูกบีบให้ต้องทำบางอย่างจนสุดท้ายก็จ่ายพลาด, เข้าสกัดช้าเกินไป ฯลฯ มันทำให้ความมั่นใจของคุณหายไป"

"มันทำให้ผมมีทั้งเกมที่เล่นได้ดีมากๆ แล้วก็เกมที่เล่นได้ห่วยแตกสุดๆ ตอนนั้นผมไม่มีความมั่นใจมากนัก ผมถึงขั้นเริ่มบ่นกับภรรยาของผมด้วยซ้ำ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกเจ็บใจที่ไม่สามารถเล่นอย่างมีอิสระที่ ยูไนเต็ด ได้ ไอ้เรื่องความกดดันจากสถานะของสโมสรน่ะมันไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมเลย ผมชอบรับมือกับความกดดันอยู่แล้ว ผมอยากเจอกับความกดดันและอยากมีอะดรีนาลีนที่ดี ส่วนแฟนบอลก็ปฏิบัติกับผมดีมากๆ ตอนที่เจอกันบนท้องถนน"

"ปัญหามันมาจากตัวผมเอง เพราะผมรู้ว่าผมสามารถทำหลายอย่างให้กับทีมได้ แต่กลับทำไม่สำเร็จเพราะผมรู้สึกว่าตัวเองโดนจำกัดให้อยู่ในกรอบมากเกินไป ตอนนี้ผมอาจจะไม่ได้รู้สึกโมโหมากนัก แต่สมัยนั้นผมโกรธสุดๆ คุณไม่สามารถกินข้าวได้เลยจนกว่าผู้จัดการทีมจะอนุญาตให้คุณทำอย่างนั้นได้ จริงอยู่ว่าแนวทางแบบนี้มันได้ผลดีกับนักเตะทีอายุ 19 และ 20 ปี แต่ไม่ใช่กับนักเตะที่อายุเยอะกว่านั้น แน่นอนว่า ฟาน กัล พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นกุนซือชั้นยอด แต่ผมไม่คิดว่าเราควรจะต้องมีไอเดียแบบนั้นในตอนนั้น"

ชไนเดอร์ลิน ยอมรับด้วยว่าที่จริงตอนนั้นตนน่าจะย้ายไปอยู่กับ สเปอร์ส ดีกว่า โดยตอนนั้น โปเช็ตติโน่ ที่เคยร่วมงานกับเขาที่ เซาธ์แฮมป์ตัน ก็เป็นกุนซือของ "ไก่เดือยทอง" อยู่พอดีด้วย "มี 2 ทีมที่ติดต่อหาเอเยนต์ของผม แต่พอ แมนฯ ยูไนเต็ด ให้ความสนใจในตัวคุณแล้วน่ะ คุณก็ไม่มีทางเลือกอื่นหรอก เพราะว่า แมนฯ ยูไนเต็ด กับ เรอัล มาดริด คือ 2 ทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก คุณไม่สามารถปฏิเสธ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ แต่ถ้าผมทำตามหัวใจของตัวเองแล้วล่ะก็ ผมก็น่าจะเซ็นสัญญากับ สเปอร์ส ดีกว่า"

"ผมรู้จักผู้จัดการทีม (โปเช็ตติโน่) เป็นอย่างดี ผมรู้ว่าเขาต้องการอะไรจากผม และรู้ว่าสไตล์การนำซ้อมของเขาเป็นยังไง เขาติดต่อมาขอให้ผมไปเล่นที่ สเปอร์ส เขาอยากได้ผมไปร่วมทีมแบบจริงจังระดับ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม จริงอยู่ว่าเขา (ฟาน กัล) อยากได้ผมเหมือนกัน แต่เราแค่คุยทางโทรศัพท์กันนิดหน่อยเท่านั้น ดังนั้นมันก็เหมือนกับว่าผมเซ็นสัญญาเพื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฐานะสโมสรฟุตบอลมากกว่าการเซ็นสัญญาเพื่อผู้จัดการทีม"

 

ปารีสฯขอเบิ้ลแชมป์,”เอ็มบั๊ปเป้”ลงซัดแซงต์เอเตียนชิงถ้วยเฟร้นช์ คัพ

ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แชมป์ลีกเอิงทีมล่าสุด กำลังไล่ล่าความสำเร็จอีกใบให้จงได้ นัดนี้ "คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้" หัวหอกดาวเด่นอาสาเป็นทีเด็ดลงกำราบ แซงต์-เอเตียน คู่แข่งร่วมลีกที่อยากสมหวังคว้าโทรฟี่รายการนี้เป็นหนที่ 7 ในการแข่งขันเฟร้นช์ คัพ นัดชิงชนะเลิศ คืนวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563
ปรีวิวเฟร้นช์ คัพ นัดชิงชนะเลิศ ฤดูกาล 2019-2020
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563
ปารีส แซงต์-แชร์กแมง (ลีก เอิง) – แซงต์-เอเตียน (ลีก เอิง)
เวลา : 02.10 น.

สนาม : สต๊าด เดอ ฟร้องซ์ (แซงต์-เดอนีส์, ฝรั่งเศส)

    ปารีส แซงต์-แชร์กแมง แชมป์ลีก เอิง ฝรั่งเศส ประจำปี 2020 จะลงสนามปะทะ แซงต์-เอเตียน คู่แข่งจากลีก เอิง ในศึกฟุตบอลถ้วยของฝรั่งเศสรายการ ”เฟร้นช์ คัพ” นัดชิงชนะเลิศ ฤดูกาล 2019-2020 โดยฟาดแข้งที่สต๊าด เดอ ฟร้องซ์, แซงต์-เดอนีส์ สนามแห่งชาติ ซึ่งตั้งอยู่ชานกรุงปารีส

    สำหรับทีมแชมป์เฟร้นช์ คัพ จะได้โควตาไปเล่นยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ซีซั่นหน้า แต่ถ้าเปแอสเชคว้าแชมป์ตั๋วใบนี้จะเป็นของทีมอันดับ 5 ลีก เอิง ซึ่งก็คือ นีซ (ไม่ใช่เป็นของรองแชมป์เฟร้นช์ คัพ) ส่วนปารีสจะไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ในโควตาแชมป์ลีก เอิง

    เปแอสเชเป็นเจ้าของสถิติทีมที่คว้าแชมป์เฟร้นช์ คัพ มากที่สุดที่จำนวน 12 สมัย (ปี 1982, 1983, 1993, 1995, 1998, 2004, 2006, 2010, 2015, 2016, 2017, 2018) ตามด้วย โอลิมปิก มาร์กเซย 10 สมัย, แซงต์-เอเตียน 6 สมัย (ปี 1962, 1968, 1970, 1974, 1975, 1977)

    ขณะเดียวกัน เปแอสเชจะลงเล่นเฟร้นช์ คัพ นัดชิงชนะเลิศ ครั้งที่ 18 ของสโมสร พร้อมกับจะเป็นการเตะรอบชิงชนะเลิศ ศึกนี้เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน (ตั้งแต่ปี 2015 จนถึง 2020)

    ส่วนแซงต์-เอเตียนจะลงเล่นเฟร้นช์ คัพ นัดชิงชนะเลิศ เป็นครั้งที่ 10 ของสโมสร

     โธมัส ทูเคิ่ล เทรนเนอร์ชาวเยอรมันวัย 46 ปีของเปแอสเช นำทีมลงสนามล่าสุดเมื่อคืนวันอังคารที่ 21 กรกฎาคม ชนะเซลติก แชมป์สกอตติช พรีเมียร์ชิพ ของสกอตแลนด์ ซีซั่นนี้ขาดลอย 4-0 ในแมตช์กระชับมิตร ซึ่งทีมได้ประตูจาก คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ ยิง 52 วินาทีแรก, เนย์มาร์ นาที 25, อันเดร์ เอร์เรร่า นาที 48, ปาโบล ซาราเบีย นาที 67

    ในแมตช์อุ่นเครื่อง 3 นัดของปารีสชนะทุกเกม พร้อมยิงคู่แข่งได้ถึง 20 ประตู โดยไม่เสียสักลูกเดียว เริ่มจากบุกไปถล่มเลอ อาฟร์ อันดับ 6 ลีก เดอซ์ ซีซั่นนี้ 9-0 ที่สต๊าด โอเซอาน เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม ตามด้วยเกมเปิดปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ กรุงปารีส ต้อนวาสแลนด์ เบเวอเรน ทีมจากเบลเยียม 7-0 เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม และคว้าชัยเหนือเซลติกในเกมล่าสุด

    นัดนี้ ทูเคิ่ล ขาด ฆวน เบร์นาต แบ็กซ้ายทีมชาติสเปนวัย 27 ปี บาดเจ็บที่น่อง, อับดู ดิยัลโล่ เซนเตอร์แบ็กเซเนกัลวัย 24 ปี บาดเจ็บที่หลัง

    ในรายของ ติอาโก้ เซนเตอร์แบ็กทีมชาติบราซิล กัปตันทีมเปแอสเชวัย 35 ปี, เอริก มักซีม ชูโป-โมติง กองหน้าทีมชาติแคเมอรูนวัย 31 ปี และ เซร์คิโอ รีโก้ นายทวารสเปนวัย 26 ปี ที่ต่างหมดสัญญากับสโมสรเมื่อวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งผู้เล่นทั้ง 3 คนได้ต่อสัญญากับปารีสออกไป 2 เดือนเพื่อลงเล่นเกมนี้ รวมถึงในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และเฟร้นช์ ลีก คัพ รอบชิงชนะเลิศ ซีซั่นนี้

    ทูเคิ่ล จะจัดทีมในระบบการเล่น 4-4-2 มาร์กินญอส กับ ติอาโก้ ซิลวา กัปตันทีมยืนเซนเตอร์แบ็กคู่กัน อังเคล ดิ มาเรีย และ เนย์มาร์ นำเกมรุก เมาโร อีการ์ดี้ กับ คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ นำทัพแดนหน้า

    โคล้ด ปูแอล เทรนเนอร์ชาวฝรั่งเศสวัย 58 ปีของแซงต์-เอเตียน นำทีมได้อันดับ 17 ลีก เอิง ซีซั่นนี้ รอดพ้นการตกชั้นไปอย่างหวุดหวิด

    ปูแอล นำทีมเตะอุ่นเครื่องไปแล้ว 4 นัด เริ่มจากชนะ รูมิญี่ จากนาซิยงนาล 2 หรือดิวิชั่น 4 ฝรั่งเศส 4-1 ที่ศูนย์กีฬาโรแบร์-แอร์กแบ็ง เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม จากนั้นทีมเปิดบ้านปราบ นีซ 4-1 ที่สต๊าด เจ๊ฟฟรัว-กีชาร์ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม ตามด้วยเกมถล่มชาร์เลอรัว จากเบลเยียม 4-0 ที่ศูนย์กีฬาโรแบร์-แอร์กแบ็ง วันพุธที่ 15 กรกฎาคม และล่าสุดทีมแพ้คาบ้านต่ออันเดอร์เลชท์ จากเบลเยียม 1-2 เมื่อวันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม

    เขาได้ อาโรลด์ มูคูดี้ เซนเตอร์แบ็กทีมชาติแคเมอรูนวัย 22 ปี กลับมาที่สโมสรหลังจากหมดสัญญายืมตัว 5 เดือนครึ่งกับมิดเดิ้ลสโบรช์ และ โลอิก แปร์แร็ง กองหลังกัปตันทีมวัย 34 ปี หมดสัญญากับสโมสรเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ทว่าเขาได้ต่อสัญญากับทีมไปเรียบร้อยเพื่อลงเล่นนัดเจอเปแอสเช ซึ่งเจ้าตัวหายเจ็บหัวเข่า กลับมาฝึกซ้อมได้แล้ว 

    ”เลส์ แวร์” จะใช้แผนการเล่น 4-2-3-1 มาติเยอ เดอบูชี่ แบ็กขวากัปตันทีม เป็นแกนหลักแดนหล้ง โรแม็ง อามูม่า, ริยาด บูเดอบุซ, เดอนีส์ บวงก้า นำเกมรุก วาห์บี คาซรี่ สตาร์ทีมชาติตูนิเซีย ยืนกองหน้าตัวเป้า

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    ปารีส แซงต์-แชร์กแมง : เกย์ลอร์ นาวาส – ธีโล เคห์เรอร์, มาร์กินญอส, ติอาโก้ ซิลวา (กัปตันทีม), มิทเชล บัคเคอร์ – อังเคล ดิ มาเรีย, อิดริสซ่า กาน่า เกย์, มาร์โก แวร์รัตติ, เนย์มาร์ – เมาโร อีการ์ดี้, คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้

    แซงต์-เอเตียน : เชสซี่ มูแล็ง – มาติเยอ เดอบูชี่ (กัปตันทีม), เวสเล่ย์ โฟฟาน่า, ติโมเต้ โคล็อดเซียจซัค, กาเบรียล ซิลวา – ยันน์ เอ็มวีล่า, มาห์ดี้ กามาร่า – โรแม็ง อามูม่า, ริยาด บูเดอบุซ, เดอนีส์ บวงก้า – วาห์บี คาซรี่

ผู้ตัดสิน : อาโมรี่ เดอเลอรู

ผลการพบกันที่ผ่านมา

วัน/เดือน/ปี  รายการ  ผลการแข่งขัน
09/01/20  ลีก คัพ เปแอสเช 6-1 แซงต์-เอเตียน
16/12/19  ลีก เอิง แซงต์-เอเตียน 0-4 เปแอสเช
18/02/19  ลีก เอิง แซงต์-เอเตียน 0-1 เปแอสเช
15/09/18  ลีก เอิง เปแอสเช 4-0 แซงต์-เอเตียน

ผลงาน 5 นัดหลังสุด

เปแอสเช

22/07/20 ชนะ เซลติก 4-0 (เหย้า) กระชับมิตร
13/07/20 ชนะ เลอ อาฟร์ 9-0 (เยือน) กระชับมิตร
12/03/20 ชนะ ดอร์ทมุนด์ 2-0 (เหย้า) ชปล.
05/03/20 ชนะ ลียง 5-1 (เยือน) เฟร้นช์ คัพ
29/02/20 ชนะ ดิฌง 4-0 (เหย้า) ลีก เอิง

แซงต์-เอเตียน

15/07/20 ชนะ ชาเลอรัว 4-0 (เหย้า) กระชับมิตร
10/07/20 ชนะ นีซ 4-1 (เหย้า) กระชับมิตร
04/07/20 ชนะ รูมิลลี่ 4-1 (เหย้า) กระชับมิตร
08/03/20 เสมอ บอร์กโดซ์ 1-1 (เหย้า) ลีก เอิง
06/03/20 ชนะ แรนส์ 2-1 (เหย้า) เฟร้นช์ คัพ

5ตัวเลือกน่าสนใจลิเวอร์พูลดึงทดแทนลอฟเรน

เปิด 5 ตัวเลือกน่าสนใจที่ ลิเวอร์พูล ควรดึงมาทดแทน เดยัน ลอฟเรน หลังเจ้าตัวอำลาถิ่น แอนฟิลด์ ไปค้าแข้งในลีกรัสเซีย กับ เซนิตฯ เรียบร้อย
    เดยัน ลอฟเรน ปราการหลังชาวโครเอเชีย อำลา ลิเวอร์พูล แชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไปเล่นให้กับ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ทีมดังของรัสเซีย เรียบร้อยจากการประกาศของเว็บไซด์ลิเวอร์พูล

    เวลานี้ ลอฟเรน กลายเป็นตัวเลือกอันดับท้ายๆ ในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต่อจาก เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, โจ โกเมซ และ โฌแอล มาติป ไปแล้ว หลังเจ้าตัวย้ายมาจาก เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2014 และลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว 185 นัด ทำได้ 8 ประตู 

    หาก ลอฟเรน วัย 31 ปี อำลาถิ่น แอนฟิลด์ ไปแล้วล่ะก็ "หงส์แดง" คงต้องหาเซนเตอร์แบ็กมาเสริมทัพ และนี่คือ 5 ตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยพิจารณาจากค่าตัวที่ไม่แพง หรือมาจากสโมสรเอง

    1. เบน ไวท์ (ไบรท์ตัน)

    ลิเวอร์พูล ตกเป็นข่าวตามให้ความสนใจ ไวท์ วัย 22 ปี มาได้สักระยะแล้ว และอาจเดินหน้าดึงมาเสริมทัพหลังจบฤดูกาลนี้ โดยค่าตัวน่าจะอยู่ในหลัก 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 800 ล้านบาท)

    ไวท์ ไปเล่นให้ ลีดส์ ยูไนเต็ด แบบยืมตัวในฤดูกาลนี้ และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม รวมทั้งเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้ "ยูงทอง" เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นหน้า

    กองหลังชาวเมืองผู้ดี ลงเล่นใน แชมเปี้ยนชิพ ไป 46 นัด ทำได้ 1 ประตู และอยู่ในสนามทุกนาที โดยนอกจากเป็นเซนเตอร์แบ็กแล้วนั้น ยังสามารถขยับไปเล่นแบ็กขวาและกองกลางตัวรับได้อีกด้วย

    2. มาล็อง ซาร์ (ไร้สังกัด)

    กองหลังชาวฝรั่งเศส วัย 21 ปี กำลังเป็นนักเตะไร้สังกัด หลังเพิ่งหมดสัญญากับ นีซ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา ทำให้สามารถย้ายไปอยู่กับทีมไหนก็ได้แบบไม่มีค่าตัว

    ในเวลานี้มีทีมอย่าง อินเตอร์ มิลาน และ อาร์เซน่อล เล็งดึง ซาร์ ไปเสริมทัพ เพราะมีดีกรียอดเยี่ยมติดทีมชาติฝรั่งเศส ชุดเด็กมาแล้วแทบทุกรุ่นตั้งแต่ชุดอายุต่ำกว่า 16 ปี จนมาถึง 21 ปี

    ซาร์ มีค่าเฉลี่ยตัดบอลได้ 1.9 ครั้งต่อเกม และผ่านบอลแม่นยำ 90.4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเข้ากับแนวทางการเล่นของ คล็อปป์ แถมยังฟรีด้วย ทำให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ

    3. เซปป์ ฟาน เดน แบร์ก (ลิเวอร์พูล)

    "หงส์แดง" คว้า เซปป์ ฟาน เดน แบร์ก ปราการหลังดาวรุ่งชาวฮอลแลนด์ วัย 18 ปี มาจาก พีอีซี ซโวลล์ เมื่อปีที่แล้ว ด้วยค่าตัวเบื้องต้น 1.3 ล้านปอนด์ (ประมาณ 52 ล้านบาท)

    ฟาน เดน แบร์ก ได้รับการยกย่องว่าเป็นกองหลังอนาคตไกล เพราะเล่นลูกกลางอากาศได้เยี่ยม, มีความเร็ว และผ่านบอลดี

    ในฤดูกาลนี้ ฟาน เดน แบร์ก ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล 4 เกมในฟุตบอลถ้วย และทำผลงานเข้าตา คล็อปป์ ส่งผลให้ซีซั่นหน้าคงจะได้โอกาสมากขึ้น

    4. คี-ยาน่า ฮูแฟร์ (ลิเวอร์พูล)

    ฮูแฟร์ วัย 18 ปี ซึ่งเกิดที่นครอัมสเตอร์ดัม ประเทศฮอลแลนด์ และมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ปี 2018 สามารถเล่นได้ทั้งตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก และแบ็กขวา

    กองหลังดัตช์ เล่นให้ "หงส์แดง" นัดแรกในเกม เอฟเอ คัพ ที่พบกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส เมื่อฤดูกาล 2018/19 ก่อนทำประตูแรกให้กับชุดใหญ่ได้ในเกมชนะ มิลตัน คีย์น ดอนส์ 2-0 ถ้วย คาราบาว คัพ ช่วงต้นฤดูกาล

    หาก ลิเวอร์พูล ไม่ต้องการทุ่มเงินไปกับการซื้อเซนเตอร์แบ็กคนใหม่ล่ะก็ เจ้าหนู ฮูแฟร์ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย

    5. ฟาบินโญ่ (ลิเวอร์พูล)

    ฟาบินโญ่ เคยเล่นเป็นเซนเตอร์แบ็กมาแล้ว และทำผลงานได้ดีด้วย ทำให้ถ้า ลอฟเรน ย้ายออกไปก็มีโอกาสที่ คล็อปป์ จะถอยกองกลางบราซิเลียน มาเล่นเป็นกองหลัง

    นอกจากนั้น ถ้า ลิเวอร์พูล ได้ ติอาโก้ อัลกันตาร่า มาร่วมทีมก็จะทำให้แผงกองกลางมีตัวเลือกมากมาย และ คล็อปป์ ก็สามารถถอย ฟาบินโญ่ มายืนเป็นเซนเตอร์แบ็กในสถานการณ์ที่จำเป็น

    ฟาบินโญ่ เชี่ยวชาญในเรื่องการเล่นเกมรับ โดยมีสถิติเข้าสกัด 2.3 ครั้งต่อเกม และชนะลูกดวลกลางอากาศ 60 เปอร์เซ็นต์ในฤดูกาล 2019/20 ทำให้ไม่มีปัญหาถ้าต้องมาเล่นเป็นเซนเตอร์แบ็ก

ชไนเดอร์ลินโทษตัวเองล้มเหลวกับแมนยู

มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน มิดฟิลด์สโมสรนีซ ยันตนทำผิดพลาดที่ไม่รู้จักอดทนช่วงที่เล่นให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ระบุไม่เคยเสียใจที่ย้ายไปร่วมชุด "เร้ด เดวิลส์" เพราะได้รับประสบการณ์ที่แสนวิเศษมากมาย

    มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน กองกลางเลือดเฟร้นช์ของ นีซ สโมสรดังแห่งศึกลีก เอิง ฝรั่งเศส ไม่โทษใครนอกจากตัวเองกับความล้มเหลวตอนที่ย้ายไปเล่นให้กับ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมระบุไม่เสียใจที่ย้ายไปที่นั่น เพราะได้รับประสบการณ์ที่ดีๆ มากมาย

    หลุยส์ ฟาน กัล ที่ในเวลานั้นยังนั่งกุมบังเหียน "เร้ด เดวิลส์" จัดการดึงตัว ดาวเตะดีกรีทีมชาติฝรั่งเศส มาจาก "นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ (ราว 950 ล้านบาท) เมื่อปี 2015 แต่ตลอดช่วง 2 ฤดูกาลในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เขาไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลย จนสุดท้ายโดน โชเซ่ มูรินโญ่ ขายทิ้งไปให้กับ เอฟเวอร์ตัน

    แม้ว่าจะล้มเหลวในฐานะนักเตะ "ผีแดง" ก็ตาม แต่ ชไนเดอร์ลิน ยืนยันว่าไม่มีอะไรต้องเสียใจที่ย้ายไปเล่นให้สโมสรเจ้าของแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี 20 สมัย ที่สำคัญยังรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เล่นให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด "มันเป็นความภาคภูมิใจสำหรับผม (ที่ได้เล่นกับแมนฯ ยูฯ) มันเป็นเกียรติอย่างยิ่ง"

        "ผมอยากมีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานๆ ซึ่งมันคงทำให้เส้นทางของผมแตกต่างไปจากนี้ แต่แน่นอนว่าผมต้องตำหนิตัวเอง ผมควรจะมีความอดทนมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามผมไม่เคยเสียใจอะไรทั้งนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่แสนวิเศษสำหรับผม" ชไนเดอร์ลิน ระบุ

ลีกเอิงคลอดโปรแกรมซีซันใหม่, เริ่ม 22 ส.ค.

ลีกสูงสุดแดนน้ำหอมคลอดโปรแกรมฤดูกาลใหม่ออกมาแล้ว โดยจะเปิดฉากในสัปดาห์ที่ 22-23 สิงหาคม

ลีกเอิง ประกาศโปรแกรมแข่งในฤดูกาล 2020/21 ออกมาแล้ว โดยมีกำหนดเปิดสนามในสุดสัปดาห์ที่ 22-23 สิงหาคม

ฟุตบอลลีกฝรั่งเศสตัดสินใจตัดจบฤดูกาลไปตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน หลังจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส-19 และรัฐบาลไม่อนุญาตให้มีการแข่งขันกีฬาทุกชนิดไปจนถึงเดือนกันยายน

อย่างไรก็ดี ล่าสุดสถานการณ์โดยรวมดีขึ้นมากแล้ว ขณะที่ลีกอื่น ๆ ก็กลับมาแข่งขันกันตามปกติ นั่นทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสไฟเขียวให้กีฬากลับมาแข่งได้แล้ว แถมยังเปิดโอกาสให้แฟนบอลได้เข้าไปชมในสนามได้ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคมเป็นต้นไป โดยมีข้อแม้ว่าห้ามเกิน 5,000 คน

ล่าสุดลีกเอิงจึงเดินหน้าจัดการแข่งขันฤดูกาลใหม่อย่างเต็มกำลัง และคลอดโปรแกรมออกมาแล้ว ซึ่งจะเล่นกันในเดือนหน้า

โปรแกรมนัดแรกของลีกเอิง ฤดูกาล 2020/21

มาร์กเซย – แซงต์ เอเตียน

ลีลล์ – แรนส์

เปแอสเช – เม็ตซ์

โมนาโก – แร็งส์

นีซ – ล็องส์

ดิฌง – อองเชร์

มงต์เปลลิเยร์ – ลียง

บอร์กโดซ์ – น็องส์

ลอริยองต์ – สตราส์บรูก

นีมส์ – แบรส

ซานิโอโล่ จะล้างอาถรรพ์ ? ย้อนดูแข้งชาวอิตาเลียนที่ไปไม่สวยกับ ลิเวอร์พูล

ถึงแม้ว่าฤดูกาล 2019-20 ของหลายลีกทั่วโลกจะยังไม่จบ แต่ข่าวลือเรื่องการย้ายทีมมันก็มีออกมาเรื่อยๆ โดยรายของ ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นั้น มีข่าวจาก คอร์ริเอเร่ เดลโล่ สปอร์ต สื่อกีฬาของอิตาลีว่าพวกเขากำลังให้ความสนใจในตัว นิโคโล่ ซานิโอโล่ มิดฟิลด์ อาแอส โรม่า อยู่
    ซานิโอโล่ ถือเป็นดาวรุ่งที่ได้รับการจับตจามองจากคนใน อิตาลี มากในระดับหนึ่ง ในฤดูกาลนี้เขามีเปอร์เซ็นต์การผ่านบอลเข้าเป้าอยู่ที่ 81.2 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน รวมถึงยังสามารถเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งได้สูงถึงเฉลี่ย 2.4 ครั้งต่อเกม และเรียกฟาวล์ได้ 2.3 หนต่อนัดด้วย

 

    อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่งนั้น ลิเวอร์พูล กลับมีประวัติที่ไม่ดีเท่าไหร่กับนักเตะเชื้อสายอิตาเลียน เพราะไม่มีใครที่ถือว่าประสบความสำเร็จกับทีมแบบจริงจังเลย อย่างเช่น 5 ตัวอย่างที่เราจะมานำเสนอกันในวันนี้

    – กาเบรียล ปาเล็ตต้า
    แม้ว่าจะเกิดในประเทศอาร์เจนตินา รวมถึงเคยเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนตินา รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี แต่ ปาเล็ตต้า ก็มีเชื้อสายอิตาลี และเคยลงเล่นให้ทีมชาติอิตาลีชุดใหญ่เหมือนกัน โดยเขามาสวมเสื้อ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2006 หลังจากก่อนหน้านั้นทำผลงานได้น่าประทับใจกับ แบนฟิลด์ สโมสรในประเทศอาร์เจนตินา

 

    อย่างไรก็ตาม ปาเล็ตต้า ก็ได้โชว์ฝีเท้าให้ยอดทีมแห่งถิ่น แอนฟิลด์ เพียงแค่ 1 ฤดูกาล หรือถ้าจะเจาะจงจริงๆ ก็คือ 8 นัดจากทุกรายการ โดย ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ในตอนนั้น ชอบใช้งานเซนเตอร์แบ็กอย่าง เจมี่ คาร์รคาเกอร์, ดาเนี่ยล แอ็กเกอร์ และ ซามี่ ฮูเปีย มากกว่า ซึ่งหลังจากล้มเหลวกับ ลิเวอร์พูล ปาเล็ตต้า ก็ย้ายไปอยู่กับ โบคา จูเนียร์ส ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะได้เล่นให้ทีมอย่าง ปาร์ม่า และ เอซี มิลาน ด้วย

    – อันเดรีย ดอสเซน่า
    ดอสเซน่า ทำผลงานได้โดดเด่นพอตัวตอนที่ย้ายจาก เทรวิโซ่ มาอยู่กับ อูดิเนเซ่ ในปี 2006 และเขาก็ทำผลงานได้น่าประทับใจกับ อูดิเนเซ่ จนถึงขั้นเคยต่อสัญญากับทีมยาวจนถึงปี 2012 เลย แต่เขาก็ไม่ได้อยู่จนครบสัญญาที่ว่า เพราะ ลิเวอร์พูล ดึงเขาไปร่วมทัพเมื่อช่วงซัมเมอร์ของปี 2008 โดยตอนนั้น ลิเวอร์พูล หวังว่าเขาจะเป็นตัวแทนของ ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ ที่บอกลาทีมไปซบ โรม่า ในช่วงซัมเมอร์ของปีเดียวกันได้

 

 

    ถึงกระนั้น ดอสเซน่า ก็ไม่สามารถทำตามความคาดหวังที่ว่าได้ จนสุดท้ายก็โดนขายไปอยู่กับ นาโปลี ในช่วงกลางฤดูกาล 2009-10 โดยตลอดช่วงเวลา 1 ปีครึ่งที่เขาอยู่กับ ลิเวอร์พูล นั้น เจ้าตัวได้ลงเล่นในลีกเพียงแค่ 18 นัด

    – อัลแบร์โต้ อาควิลานี่
    อาควิลานี่ เป็นผลผลิตจากอะคาเดมี่ของ โรม่า โดยตรง เขาได้รับโอกาสลงเล่นกับ โรม่า อย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะตัดสินใจควักเงิน 22 ล้านยูโร เพื่อดึงเขามาร่วมทัพในช่วงซัมเมอร์ ปี 2009 ซึ่งตอนนั้นหลายคนมองว่าเขาน่าจะเป็นตัวแทนของ ชาบี อลอนโซ่ ได้ดีในระดับหนึ่ง

 


 

    อย่างไรก็ตาม 22 ล้านยูโรที่จ่ายไปก็กลายเป็นการเสียเงินแบบเปล่าประโยชน์ โดยสาเหตุหลักเป็นเพราะ อาควิลานี่ ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับความเร็วในการเล่นของ พรีเมียร์ลีก ได้ จนทำให้โดนปล่อยไปเล่นแบบยืมตัวกับ ยูเวนตุส ในซีซั่น 2010-11 ตามด้วยกับ เอซี มิลาน ในซีซั่น 2011-12 ก่อนที่ในช่วงซัมเมอร์ ปี 2012 เขาจะต้องบอกลา ลิเวอร์พูล แบบถาวร แล้วไปเล่นกับ ฟิออเรนติน่า ด้วยค่าตัวที่ว่ากันว่าอยู่ที่ 7.6 ล้านปอนด์เท่านั้น

    – ฟาบิโอ บอรินี่
    บอรินี่ ถือเป็นนักเตะชาวอิตาเลียนเพียงไม่กี่่คนที่เริ่มการเป็นนักเตะอาชีพกับทีมในอังกฤษ นั่นก็คือ เชลซี แต่เขาก็ไม่สามารถแจ้งเกิดกับ "สิงโตน้ำเงินคราม" ได้ จนโดนปล่อยไปเล่นแบบยืมตัวกับ สวอนซี ซิตี้ และ โรม่า ในซีซั่น 2010-11 กับ 2011-12 ตามลำดับ

 


 

    ทั้งนี้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล เชื่อว่าเขาสามารถทำให้ บอรินี่ เป็นยอดดาวยิงได้ จนดึงเขามาร่วมทัพในช่วงซัมเมอร์ ปี 2012 หรือก็คือในซีซั่นแรกที่ ร็อดเจอร์ส เข้ามากุมบังเหียน ลิเวอร์พูล แต่สุดท้ายความเชื่อของ ร็อดเจอร์ส ก็ไม่กลายเป็นความจริง เขาโดนปล่อยให้ ซันเดอร์แลนด์ ยืมตัวไปใช้งานในฤดูกาล 2013-14 ก่อนที่ "แมวดำ" จะดึงเขาไปร่วมทัพแบบถาวรในปี 2015 ส่วนตอนนี้ บอรินี่ ก็กำลังเล่นอยู่กับ เวโรน่า ทีมในบ้านเกิด

    – มาริโอ บาโลเตลลี่
    แน่นอนว่าการเสีย หลุยส์ ซัวเรซ ดาวยิงคนเก่งของทีมให้กับ บาร์เซโลน่า ในช่วงซัมเมอร์ ปี 2014 ถือเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ของ ลิเวอร์พูล เพราะในซีซั่น 2013-14 ซัวเรซ สามารถทำประตูในลีกได้ถึง 31 ลูก จนเกือบจะทำให้ทีมได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก ไปครองด้วย


 

    การขาย ซัวเรซ ทำให้ ร็อดเจอร์ส ต้องรีบมองหากองหน้าที่จะเป็นตัวแทนของหัวหอกชาวอุรุกวัย ซึ่งสุดท้ายเขาก็เลือก บาโลเตลลี่ หลังจากที่ "ซูเปอร์มาริโอ" เล่นดีดีพอตัวกับ มิลาน ด้วยการทำไป 30 ประตู จากการลงเล่น 54 นัดในทุกรายการกับ "รอสโซเนรี่"

    อย่างไรก็ตาม การเสี่ยงของ ร็อดเจอร์ส กลายเป็นการเสี่ยงที่ผิดพลาด บาโลเตลลี่ ทำผลงานได้น่าผิดหวังกับ "หงส์แดง" เขาทำได้เพียง 4 ลูก จากการลเล่น 28 นัดในทุกรายการ ในฤดูกาล 2014-15 โดยในจำนวนนั้นเกิดขึ้นในลีกเพียง 1 ประตูเท่านั้น ทำให้ซีซั่น 2015-16 เขาโดยปล่อยไกเล่นกับ มิลาน ด้วยสัญญายืมตัว และพอถึงช่วงซัมเมอร์ ปี 2016 เขาก็บอกลาทีมไปเพื่อไปซบ นีซ ซึ่งที่นั่นเขาทำผลงานได้โดดเด่นจนทำให้ได้รับคำชมมากพอตัว