ในขณะที่ ลิเวอร์พูล กำลังเตรียมที่จะฉลองแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีนั้น มันก็มีข่าวลือว่าพวกเขากำลังสนใจที่จะคว้าตัว อิกอร์ โกเมส กองกลางดาวรุ่งของ เซา เปาโล มาร่วมทัพ โดยที่แข้งวัย 21 ปี ถึงขั้นได้รับฉายาจากหลายคนว่าเป็น "นิว ริคาร์โด้ กาก้า" เลยด้วย
แน่นอนว่ามันไม่ได้หมายความว่า โกเมส จะมีแววเก่งเหมือนกับ กาก้า ได้จริงๆ แต่ถ้าเกิด ลิเวอร์พูล ได้ตัวเขาไปร่วมทัพมันก็คงไม่เสียหายอะไรนัก โดยเฉพาะถ้าพิจารณาถึงเรื่องที่ซีซั่นหน้าตัวเลือกในแผงกลางของพวกเขาจะน้อยลง จากการที่ อดัม ลัลลาน่า เตรียมที่จะบอกลาทีม และวันนี้เราจะมาทำความรู้จักคร่าวๆ ถึง โกมส กัน
– ชีวิตตอนเป็นเยาวชน
แมวมองของ เซา เปาโล มองเห็นแววเด่นของ โกเมส ในตอนที่เขายังเล่นฟุตบอลในย่าน ริโอ เปรโต โดยที่ตอนนั้น โกเมส มีอายุเพียงแค่ 8 ขวบเท่านั้น ก่อนที่จะจับเขาเซ็นสัญญากับทีมในอีก 2 ปีต่อมา แล้วจากนั้นเขาก็ได้เข้าอะคาเดมที่ของ เซา เปาโล
โกเมส ถือเป็นกำลังสำคัญในทีมเยาวชนของ เปา เปาโล เพราะเขาสามารถพาทีมรุ่นเยาวชนได้แชมป์ถึง 6 รายการด้วยกัน ซึ่งดูแล้วมันก็น่าจะทำให้อนาคตของเขาสดใส น่าเศร้าที่มันไม่เป็นอย่างนั้น เพราะตอนแรกเขาเจอปัญหาในการขึ้นไปเล่นกับทีมรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี
"ผมโทษตัวเองสำหรับเรื่องนั้น ผมโทษตัวเองมากเกินไปในตอนที่ตัวเองทำพลาด ผมหมกมุ่นกับมันอย่างรุนแรงจนไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งมีนส่งผลกับเกมการเล่นของผมอย่างมาก เนื่องจากมันทำให้ผมไม่สามารถพัฒนาการเล่นของตัวเองได้ จนสุดท้ายผมก็ต้องทำงานเพื่อแก้ปัญหานั้น" โกเมส เคยเปิดใจกับเรื่องดังกล่าว
ยังดีที่สุดท้าย โกเมส เอาชนะปัญหานั้นได้ จนสุดท้ายเขาก็ได้แชมป์รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปีในการแข่งขันของรัฐ ก่อนที่จะได้ขึ้นไปเล่นให้ทีมรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี พร้อมกับนำทีมได้แชมป์อีก 1 รายการ นั่นคือ โกปา โด บราซิล จนสุดท้ายเขาก็ได้ขึ้นไปซ้อมกับทีมชุดใหญ่
– เส้นทางในทีมชุดใหญ่
ที่จริงถ้าจะบอกว่า โกเมส มีโชคช่วยจนได้ขึ้นมาเล่นกับทีมชุดใหญ่ของ ซานโตส มันก็ไม่ผิดนัก เพราะคนที่ให้โอกาสเขาได้ประเดิมสนามกับทีมชุดใหญ่คือ อันเดร ชาร์ดีน กุนซือทีมรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปีที่โดนดันขึ้นไปคุมทีมชุดใหญ่แบบขัดตาทัพแทน ดีเอโก้ อากีร์เร่ ที่ถูกเด้งออกจากตำแหน่งเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2018 และ ชาร์ดีน ก็เชื่อใจในฝีเท้าของเจ้าหนูที่เขาเคยร่วมงานด้วยจนเรียกเขามาใช้งานในทีมชุดใหญ่ โดยเกมแรกที่เขาได้ลงเล่นกับทีมชุดใหญ่คือนัดที่ เซา เปาโล เจอกับ สปอร์ต เรซิเฟ่ และผลการแข่งขันก็จบลงที่การเสมอกัน 0-0
อย่างไรก็ตาม โกเมส ก็สมควรได้รับเครดิตจากการตอบแทนความไว้เนื้อเชื่อใจนั้นเช่นกัน เพราะแม้ว่า ว๊ากเนอร์ มันชินี่ จะเข้ามาคุมทีมแทน ชาร์ดีน ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2019 แต่ โกเมส ก็ยังได้อยู่กับทีมชุดใหญ่ต่อไป ก่อนที่จะได้ลงเล่นให้กับทีมในระดับหนึ่งในยุคของ มันชินี่
ที่จริง โกเมส เคยเจอช่วงเวลาที่สุ่มเสี่ยงจะต้องบอกลา เซา เปาโล เช่นกัน เพราะในยุคของ กูก้า ที่เข้ามาคุมทีมเมื่อช่วงเดือนเมษายน ปี 2019 นั้น เขาได้รับโอกาสลงเล่นน้อยพอตัว จนถึงขนาดที่ได้เป็นตัวจริงเพียง 2 เกม และได้ลงเป็นตัวสำรอง 12 นัด โดยมันเคยมีการคุยเรื่องที่จะให้เขาไปเล่นแบบยืมตัวด้วย
ถึงกระนั้น หลังจากที่ เฟร์นันโด ดินิซ เข้ามาคุมทีม เซา เปาโล แทนที่ กูก้า เมื่อช่วงเดือนกันยายน ปีก่อน กราฟชีวิตของ โกเมส ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน ปีก่อน เป็นต้นมานั้น เขาได้ลงเล่นในลีกไปทั้งหมด 18 เกม จากทั้งหมด 21 นัด และหนึ่งในนัดที่เขาอดลงเล่นมันก็เป็นเพราะเจ้าตัวติดโทษแบนจากการสะสมใบเหลืองครบ ไม่ใช่เพราะเล่นได้แย่แต่อย่างใด
– ผลงานซีซั่นก่อน
โกเมส โดนเปรียบเทียบกับ กาก้า จากคุณสมบัติหลายด้าน อย่างเช่นการวิ่งขึ้นหน้าที่ทรงพลัง, การครองบอลได้ดีในตอนที่โดนประกบติด, ความมุ่งมั่นในการเล่น แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เขาได้รับคำชมอย่างมากคือการผ่านบอล ในฤดูกาลที่แล้ว โกเมส สามารถผ่านบอลเข้าเป้าได้ถึง 83.7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 5 ของลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว หากนับเฉพาะนักเตะที่อายุไม่ถึง 22 ปี
ขณะเดียวกัน ซีซั่นก่อนเขายังผ่านบอลในแดนของคู่แข่งได้มากถึง 400 ครั้ง สูงเป็นอันดับ 3 ของลีก แพ้เพียง อ็องโตนี่ (749 ครั้ง) กับ ลวน ซานโตส (404 ครั้ง) เท่านั้น แต่ โกเมส สามารถทำตัวเลขให้สูงระดับนั้นได้ทั้งที่ลงเล่นน้อยกว่าทั้ง 2 คนไป 1,037 นาที กับ 257 นาที ตามลำดับ
ฟอร์มดังกล่าวทำให้ เรอัล มาดริด เคยมีข่าวว่าอยากได้เขาไปร่วมทัพมากแล้ว ก่อนที่ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม จะเหล่เขาเหมือนกัน จนกระทั่งล่าสุด ลิเวอร์พูล ก็ลงมาร่วมวงด้วย ซึ่งก็ต้องรอดูกันว่าสุดท้ายแล้วเพชรเม็ดนี้จะตัดสินใจกับอนาคตของตัวเองยังไงต่อไป