คอลลีมอร์ชี้เป๊ปไม่ควรติดท็อป10กุนซือเก่งสุดโลก

สแตน คอลลีมอร์ ระบุ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ไม่ได้เก่งกาจชนิดที่ควรติดชาร์ต 10 กุนซือที่เก่งที่สุดในโลก โดยบอกว่าสิ่งที่ กวาร์ดิโอล่า ทำได้ในช่วงที่ผ่านมามันเทียบกับผลงานของคนแบบ ไบรอัน คลัฟ และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่ได้สักนิด
    สแตน คอลลีมอร์ อดีตกองหน้าของ ลิเวอร์พูล กล่าวว่าสำหรับตนแล้ว โจเซป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่คู่ควรกับการเป็น 10 กุนซือที่เก่งที่สุดตลอดกาลของวงการฟุตบอลด้วยซ้ำ

    กวาร์ดิโอล่า ได้รับการยกย่องจากหลายฝ่ายว่าเป็นหนึ่งในกุนซือชั้นยอดของยุคนี้ หลังจากประสบความสำเร็จในการคุมทีมอย่างล้นหลาม โดยที่ บาร์เซโลน่า เขาได้แชมป์อย่างเช่นแชมป์ลีก 3 สมัย, โกปา เดล เรย์ 2 ครั้ง และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 หน เป็นต้น ส่วนแชมป์ที่เขาได้กับ บาเยิร์น มิวนิค มีอย่างเช่นแชมป์ บุนเดสลีกา 3 ครั้ง กับ เดเอฟเบ-โพคาล 2 สมัย ขณะที่กับ แมนฯ ซิตี้ ที่ผ่านมาเขาพาทีมได้แชมป์ลีก 2 ครั้ง, แชมป์ เอฟเอ คัพ 1 หน และแชมป์ คาราบาว คัพ 3 รอบ

    คอลลีมอร์ กล่าวผ่านคอลัมน์ใน เดอะ มิร์เรอร์ สื่อของอังกฤษว่า "ถ้าเกิดมีคนเทเงินให้ผมหลายพันล้านปอนด์เพื่อเอาไปใช้กับทีมฟุตบอลแล้วล่ะก็ ผมก็มีโอกาสสูงที่จะทำให้ทีมมีผลงานที่ดีได้เป็นธรรมดา ดังนั้นต่อให้ฤดูกาลนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มันก็จะเป็นเพียงความสำเร็จที่ไม่ได้ยิง่ใหญ่จนน่าทึ่งอะไรมากนัก (หมายถึงในเมื่อที่ผ่านมา กวาร์ดิโอล่า ใช้เงินไปเยอะ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก)"

    "นอกจากนี้ ต่อให้ในช่วงซัมเมอร์ ปีหน้าเขาจะบอกลา เอติฮัด ไปพร้อมกับแชมป์รายการนั้น ผมก็ไม่ถือว่าเขาทำได้ดีพอกับการคุมทีมในอังกฤษจนถึงระดับคู่ควรกับการทำให้ผมมองว่าเขาเป็นกุนซือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลอยู่ดี ต่อให้คนอายุไม่เกิน 30 ปีหลายคนจะพยายามโน้มน้าวใจให้ผมคิดแบบนั้นด้วยก็ตาม"

    "ในอีก 1 หรือ 2 ทศวรรษต่อจากนี้น่ะ ถ้าเกิดเรามองย้อนกลับมายังตอนนี้แล้วเนี่ย ผมก็ไม่คิดว่า กวาร์ดิโอล่า จะถูกมองว่าเป็นหนึ่งใน 10 กุนซือที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลด้วยซ้ำ เขาติด 20 อันดับแรกไหมน่ะเหรอ ? แน่นอนว่าเขาดีพอติดชาร์ตนั้น แต่ 10 อันดับแรกเนี่ยไม่มีทางเลย ส่วนอันดับ 1 น่ะเหรอ ? เขาไม่ใกล้เคียงกับตำแหน่งนั้นด้วยซ้ำ"

    "การจะถูกมองว่าคู่ควรกับการเป็นกุนซือที่เก่งที่สุดน่ะมันหมายความว่าคุณต้องไปรับงานคุมทีมยักษ์ใหญ่ที่อยู่ในช่วงตกต่ำระดับที่โดนคู่แข่งฝังจมมิด และเปลี่ยนให้ทีมนั้นกลายเป็นสโมสรที่สามารถครองความยิ่งใหญ่ในประเทศของตัวเองได้เกือบ 2 ทศวรรษ รวมถึงได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก สัก 2 สมัยด้วย เหมือนอย่างที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำได้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นแหละ"

    "หรือไม่อย่างนั้นคนที่จะเข้าข่ายนั้นได้ก็ต้องไปคุมทีมระดับธรรมดาๆ ที่ในทีมไม่ได้มีนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ แต่สามารถเปลี่ยนให้ทีมนั้นกลายเป็นแชมป์ของเกาะอังกฤษและได้แชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัย แบบที่ ไบรอัน คลัฟ ทำได้กับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์"

    "สิ่งที่ ดอน เรวี่ ทำได้กับ ลีดส์ อาจจะดีพอให้เขาติด 5 อันดับแรก เช่นเดียวกับที่ จ็อค สตีน เคยประสบความสำเร็จอย่างมากกับที่ เซลติก นี่เรายังไม่ได้พูดถึงคนแบบ บิลล์ แชงค์ลี่ย์ หรือ บ็อบ เพสลี่ย์ อีกนะ แถมยังมีคนแบบ อาร์รีโก้ ซาคคี่, อูโด ลัทเทค หรือ โยฮัน ครัฟฟ์ ด้วย"

    "คุณต้องไม่ลืมว่า กวาร์ดิโอล่า ไม่ได้นำเสนอฟุตบอลที่แปลกใหม่เลย เขาก็แค่เอาสิ่งที่ ครัฟฟ์ ทำกับที่ บาร์เซโลน่า มาตีความก็เท่านั้น จริงอยู่ว้าเขาทำให้ ซิตี้, บาเยิร์น และ บาร์ซ่า เล่นฟุตบอลที่สวยงามได้ แต่ทีมหลังสุดมันเป็นทีมใหญ่ในเมืองของเขาเองอยู่แล้ว แถมเขาก็ได้ทำทีมโดยที่รับสืบทอดหนึ่งในคู่กองกลางที่เก่งที่สุดในวงการฟุตบอลสมัยใหม่มาใช้งาน (หมายถึง ชาบี เอร์นานเดซ กับ อันเดรส อิเนียสต้า) รวมถึงยังได้รับสืบทอดนักเตะที่ว่ากันว่าเก่งที่สุดตลอดกาลมาเป็นลูกทีมด้วย (หมายถึง ลิโอเนล เมสซี่)"

    "ใช่ เขาได้แชมป์ บุนเดสลีกา กับที่ บาเยิร์น 3 ครั้ง แต่เขาไม่ได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก กับที่นั่น และที่จริงพวกเขา (บาเยิร์น) ก็ได้แชมป์ลีกทั้งช่วงก่อนกับหลังจากที่ กวาร์ดิโอล่า ทำงานกับที่นั่นด้วย"

    "ถ้าเกิดว่า กวาร์ดิโอล่า เก่งถึงขนาดที่หลายคนพูดแล้วล่ะก็ เขาก็ควรจะทำให้ทีม (หมายถึง แมนฯ ซิตี้) เอาชนะคู่แข่งในตอนนี้ได้ทั้งหมดไปแล้วเมื่อพิจารณาถึงขุมกำลังสำรองที่เขามีให้ใช้งาน แต่พวกเขาทำอย่างนั้นไม่ได้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมมองว่าอย่างดีที่สุดน่ะเขาก็เป็นเพียงกุนซือสมัยใหม่ที่เก่งมากๆ ก็เท่านั้น มรดกที่เขาทำเอาไว้มันเทียบกับแบบของ คลัฟ และ เฟอร์กูสัน ไม่ได้เลย"

บาร์โตเมวชี้รั้งเมสซี่เพื่อทีม-ประกาศชัดไม่ลาออก

โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว บิ๊กบอส บาร์เซโลน่า ระบุ ทำเพื่อทีมล้วนๆ ที่รั้งตัว ลิโอเนล เมสซี่ เอาไว้กับ "อาซูลกราน่า" พร้อมเผย จะไม่ลาออกชัวร์

โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว ประธาน บาร์เซโลน่า สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งวงการ ลา ลีกา สเปน เปิดเผยว่าสาเหตุที่ตนไม่ยอมให้ ลิโอเนล เมสซี่ ได้ย้ายออกจากทีมในตลาดซื้อ-ขายนักเตะ ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เป็นการทำด้วยการมองถึงผลประโยชน์ของทีมเป็นหลัก

ในตลาดช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาอนาคตของ เมสซี่ กลายเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนของโลกลูกหนัง หลังจากที่เขายื่นเรื่องขอย้ายออกจาก บาร์เซโลน่า ทั้งที่เจ้าตัวมาอยู่กับทีมตั้งแต่ระดับอะคาเดมี่ในปี 2001 โดยสาเหตุเป็นเพราะเขามีความสัมพันธ์ที่เลวร้ายกับบอร์ดบริหารชุดนี้ที่อยู่ภายใต้การนำของ บาร์โตเมว อย่างเช่นความเห็นไม่ตรงกันเรื่องนโยบายการทำทีม เป็นต้น

ทั้งนี้ เมสซี่ ตั้งใจจะย้ายทีมด้วยการใช้เงื่อนไขในสัญญาที่บอกว่าเขาสามารถยกเลิกสัญญากับทีมได้ทุกๆ ช่วงซัมเมอร์ของแต่ละปี อย่างไรก็ตาม บาร์เซโลน่า บอกว่าเงื่อนไขดังกล่าวมันเลยเส้นตายที่กำหนดเอาไว้แล้ว ทำให้ทางเดียวที่ เมสซี่ จะย้ายทีมได้ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาก็คือต้องมีทีมยอมทุ่มเงินเท่ากับค่าฉีกสัญญาเท่านั้น ซึ่งจำนวนเงินที่ว่าก็สูงถึง 700 ล้านยูโร (ประมาณ 25,900 ล้านบาท)

ท้ายที่สุดแล้ว เมสซี่ ก็ยอมอยู่กับทีมต่อไป อย่างไรก็ตาม หลายคนก็ตำหนิบอร์ดบริหารของ บาร์เซโลน่า ว่าตัดสินใจผิดในเรื่องนี้ เพราะว่าตอนนี้แข้งวัย 33 ปีเหลือสัญญากับทีมถึงช่วงซัมเมอร์ ปีหน้าเท่านั้น ทำให้เขามีโอกาสที่จะย้ายทีมแบบไร้ค่าตัว และบางฝ่ายยังถึงขั้นมองอีกว่า เมสซี่ อาจจะไม่ทุ่มเทให้ทีมมากเท่ากับแต่ก่อนด้วย อย่างไรก็ตาม บิ๊กบอส บาร์เซโลน่า บอกว่าตนทำทั้งหมดไปก็เพื่อทีมล้วนๆ

บาร์โตเมว เผยว่า "สิ่งที่เราให้ความสำคัญมากที่สุดคือการให้ เมสซี่ เป็นส่วนหนึ่งในโปรเจกต์ใหม่ของเรา ดังนั้นผมเลยตัดสินใจคัดค้านการที่จะเริ่มเจรจาเรื่องการย้ายทีมของเขา ผมโดนใส่ร้ายว่าผมบีบให้เขาย้ายทีมเพื่อที่จะทำให้บัญชีของเรามีความสมดุล แต่เปล่าเลย เราให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของสโมสรเป็นอันดับแรก และไม่อยากทำให้คู่แข่งโดยตรงของเราแข็งแกร่งขึ้น เราตัดสินใจรั้งตัวเขาทั้งที่รู้ดีว่าการทำแบบนี้มันจะทำให้เราโดนด่า"

"ผมเข้าใจจุดยืนของทุกคนดี ความเห็นอกเห็นใจกันนับเป็นสิ่งที่สำคัญ ในกรณีของ เลโอ น่ะ มันเป็นเรื่องดีที่จะมีการรู้สึกโกรธกันบ้าง เพราะการยอมรับความพ่ายแพ้มันไม่เคยเป็นเรื่องดี และเราต่างก็โกรธกันทั้งนั้น แต่มันมีการกำหนดเส้นตายเอาไว้อยู่แล้วว่าเขาสามารถประกาศเรื่องที่อยากย้ายทีมรึเปล่าได้จนถึงเมื่อไหร่ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ทำตามเส้นตายที่กำหนดเอาไว้ เราต่างก็อยากให้เขาแขวนสตั๊ดที่ บาร์ซ่า กันทั้งนั้น โปรเจกต์ของเราเป็นโปรเจกต์ที่น่าสนใจมากๆ ด้วยการที่มีทั้งนักเตะดาวรุ่งและวัยเก๋า อย่างเช่น เมสซี่ อยู่ในทีม ซึ่งผมก็เชื่อว่าเขาจะช่วยทำให้เราได้แชมป์ลีกในฤดูกาลนี้"

บาร์โตเมว ยืนกรานว่าตนจะไม่ลาออกจากตำแหน่งอย่างแน่นอน หลังจากที่ผ่านมามีหลายฝ่ายตำหนิเขาอย่างหนักและเรียกร้องให้เขาลงจากตำแหน่งก่อนที่จะหมดวาระการเป็นประธานของทีมในปีหน้า "มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องลาออกเลย นี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่ผมจะมายื่นขอลาออก และมันก็จะไม่มีใครสามารถตัดสินใจแทนผมได้ด้วยว่าผมควรจะลาออกรึเปล่า ผมไม่เคยคิดเกี่ยวกับการลาออกเลย"

 

ฮามันน์จวกดอร์ทมุนด์ยังให้รอยส์เป็นกัปตันทีม

ดีทมาร์ ฮามันน์ ระบุ ดอร์ทมุนด์ ทำพลาดมหันต์ที่ยังให้ มาร์โก รอยส์ เป็นกัปตันทีมอยู่ พร้อมบอกว่า "เสือเหลือง" เวลาไร้เงาของ รอยส์ มักจะเล่นได้ดีสุดๆ ด้วย

ดีทมาร์ ฮามันน์ อดีตยอดกองกลางชาวเยอรมัน ตำหนิ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ว่าตัดสินใจพลาดที่ยังให้ มาร์โก รอยส์ ดาวเตะคนดังเป็นกัปตันทีมมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะส่วนตัวแล้วมองว่าแข้งรายดังกล่าวไม่คู่ควรกับการสวมปลอกแขนเลย

รอยส์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมของ ดอร์ทมุนด์ เมื่อปี 2018 แต่ตลอดเวลาที่เขาอยู่กับ ดอร์ทมุนด์ นั้น เจ้าตัวมักจะโดนอาการบาดเจ็บตามเล่นงานอยู่เรื่อยๆ โดยในช่วง 4 ฤดูกาลก่อนหน้านี้นั้น มีเพียงซีซั่นเดียวที่เขาได้ลงเล่นในลีกอย่างน้อย 20 เกม

พอโดนถามว่า ดอร์ทมุนด์ จำเป็นต้องมีอะไรเพื่อที่จะกลับไปเป็นหนึ่งในทีมยักษ์ใหญ่ของทวีปยุโรปได้นั้น ฮามันน์ ก็ตอบว่า "พวกเขาต้องมีผู้นำที่มีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่ง คุณจะมีกัปตันทีมที่ได้ลงเล่นแค่ครึ่งเดียวของทั้งฤดูกาลไม่ได้หรอก ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ปลดเขาออกจากการเป็นกัปตันทีมในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ที่จริงผมสงสัยด้วยซ้ำว่าเขาควรจะเป็นกัปตันทีมตั้งแต่ 2 ปีก่อนรึเปล่า คุณจำเป็นต้องมีคนที่จะฉุดกระชากทีมไปข้างหน้ามาเป็นกัปตันทีม"

อดีตแข้ง ลิเวอร์พูล และ บาเยิร์น มิวนิค เสริมว่า ดอร์ทมุนด์ มักจะทำผลงานได้ดีกว่าด้วยซ้ำหากไม่มี รอยส์ ลงเล่นเป็นตัวจริง อย่างเช่นนัดล่าสุดที่ชนะ ชาลเก้ 3-0 ในเกมดาร์บี้แมตช์แห่งแคว้นรูห์ เมื่อวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยเกมดังกล่าว รอยส์ โดนเปลี่ยนตัวลงสนามในช่วง 13 นาทีสุดท้าย "เบเฟาเบ มักจะเจอปัญหาจากเขาเวลาที่เขาไม่ได้เป็นตัวจริงพักใหญ่ แต่คุณไม่ควรจะตัดสินใจจัดทีมเพียงเพื่อทำให้นักเตะรู้สึกดีหรือเพื่อไม่ทำให้เขารู้สึกโมโห คุณต้องทำสิ่งที่จะเป็นผลดีที่สุดต่อทีมและต่อสโมสร"

"ดอร์ทมุนด์ ในตอนนี้จะเล่นได้ดีกว่าเมื่อไม่มี รอยส์ อยู่ในสนาม ตอนที่ไม่มีเขาน่ะ (โจวานนี่) เรย์น่า ดูดีเลย ขณะที่ (เออร์ลิง เบราต์) ฮาแลนด์ ก็มีสภาพที่ยอดเยี่ยมมากๆ ส่วน (ยูเลี่ยน) บรันด์ท ก็เล่นได้ดี แถมพวกเขายังมี (เจดอน) ซานโช่ ที่ถือว่าโดดเด่นสุดๆ อีกต่างหาก"

5จุดสำคัญที่จะทำให้มูรินโญ่พาสเปอร์สบินสูง

เปิด 5 เหตุผลสำคัญที่จะทำให้ โชเซ่ มูรินโญ่ พา สเปอร์ส ทำผลงานเยี่ยมในซีซั่นนี้ หลังเริ่มจูนทีมได้ลงตัวในการทำงานฤดูกาลที่สอง
        ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ พุ่งขึ้นมาเป็นเต็ง 3 ที่จะคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020/21 ตามสายตาของบริษัทรับพนันที่ถูกกฎหมายแทบทุกแห่งในประเทศอังกฤษ โดยเป็นรองแค่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล เท่านั้น

    โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือ "ไก่เดือยทอง" กำลังปรับจูนทีมของตัวเองให้ลงตัว หลังเข้ามาทำงานช่วงปลายปีที่แล้ว และนี่คือ 5 เหตุผลที่จะทำให้พวกเขาไปได้สวยในฤดูกาลนี้

    1. ขุมกำลังแน่นปึ๊กทุกตำแหน่ง

    ในช่วงเปิดตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมา สเปอร์ส ได้นักเตะมาเสริมทัพหลายรายทั้ง แกเร็ธ เบล, เซร์คิโอ เรกีลอน, คาร์ลอส วินิซิอุส, แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้, ปิแอร์ เอมิล ฮอยเบิร์ก และ  โจ ฮาร์ท

    จากการที่ทีมมีขุมกำลังขนาดใหญ่ทำให้ มูรินโญ่ สามารถหมุนเวียนนักเตะได้กับการลงเตะหลายรายการที่ต้องลงเล่นสัปดาห์ละ 2 นัด

    ในเวลานี้ ทุกตำแหน่งของ สเปอร์ส มีผู้เล่นที่ทดแทนกันได้หมดไล่ตั้งแต่นายทวารที่มีทั้ง อูโก้ โยริส และ ฮาร์ท ขณะที่แนวรับก็ดูดีขึ้นหลังได้ทั้ง เรกีลอน และ โดเฮอร์ตี้ มาเสริมทัพ

    จากการที่มีตัวเลือกหลายรายส่งผลให้ มูรินโญ่ สามารถเลือกเล่นได้ทั้งแท็กติก 4-3-3 หรือ 3-5-2 ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้าว่าจะเจอกับคู่แข่งทีมไหน

    2. ซน-เคน คู่หูนรกแตก

    ในฤดูกาลนี้ ซน ฮึง-มิน กองหน้าชาวเกาหลีใต้ ออกสตาร์ตได้ร้อนแรงด้วยการทำประตูในลีกไปแล้วถึง 7 ลูกจากการลงเล่น 5 นัด ขณะที่ใน 4 ซีซั่นก่อนหน้านี้เขาก็ทำประตูในทุกรายการรวมกันได้ถึง 77 ประตูด้วยกัน จนทำให้ได้รับคำชมอย่างมากในพักหลัง

    ขณะที่ แฮร์รี่ เคน กองหน้าทีมชาติอังกฤษ ทำไปแล้ว 5 ประตูใน พรีเมียร์ลีก นอกจากนั้นทั้งคู่ยังผลัดกันจ่ายให้ยิงอีกเป็นว่าเล่น โดยในเกมบุกไปเอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน ขาดลอย 5-2 นั้น เคน แอสซิสต์ 4 ลูกให้ ซน ทำให้เป็นครั้งแรกใน พรีเมียร์ลีก ที่มีนักเตะคนเดิมจ่ายให้เพื่อนคนเดิมยิงทั้ง 4 ประตูอีกด้วย

    การสลับกันเป็นฝ่ายยิงและจ่ายระหว่างคู่หู "เคน-ซน" ทำให้มีประตูที่เกิดขึ้นจากการประสานงานกันของทั้งคู่ในศึก พรีเมียร์ลีก ไปแล้ว 28 ลูก ซึ่งมากสุดอันดับ 4 ในประวัติศาสตร์ ต่อจากคู่หู แฟร้งค์ แลมพาร์ด กับ ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา (36 ประตู), ดาบิด ซิลบา กับ เซร์คิโอ อเกวโร่ (29 ประตู) และ โรแบร์ ปิแรส กับ เธียร์รี่ อองรี (29 ประตู) เท่านั้น

    นอกจากนี้ นับตั้งแต่ที่ มูรินโญ่ ก้าวเข้ามาคุมทัพ "ไก่เดือยทอง" เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีก่อน เคน (33 ประตู) กับ ซน (30 ประตู) เป็นสองนักเตะที่มีส่วนร่วมกับการทำประตูรวมทุกรายการมากสุด เหนือทุกคนในเวที พรีเมียร์ลีก อีกด้วย

    3. ฮอยเบิร์ก ขับเคลื่อนเกม

    อีก 1 นักเตะ สเปอร์ส ที่ได้รับคำชมอย่างมากคือ ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก กองกลางทีมชาติเดนมาร์ก ที่เพิ่งย้ายมาจาก เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา

    ค่าตัวของ ฮอยเบิร์ก วัย 25 ปี อยู่ที่แค่ราว 15 ล้านปอนด์ (ประมาณ 600 ล้านบาท) เท่านั้น และเจ้าตัวก็ยึดตัวจริงได้อย่างรวดเร็ว โดยลงเล่นเป็นตัวจริงทั้ง 5 นัดใน พรีเมียร์ลีก และลงสนามเกม ยูโรปา ลีก ที่ชนะ แอลเอเอสเค 3-0 ด้วย

    ฮอยเบิร์ก ทำได้เยี่ยมทั้งในเรื่องการตัดเกม ส่งผลให้ช่วยงานของกองหลังได้เยอะ ขณะที่การทำเกมรุกก็โดดเด่น จ่ายบอลได้เยี่ยม เหมือนอย่างที่แสดงให้เห็นในการจ่ายทะลุช่องเข้าเขตโทษให้ แซร์ช ออริเย่ร์ ยิงประตูในเกมบุกไปถล่ม แมนฯ ยูไนเต็ด 6-1

    4. ไม่ใช่ มู จอมน่าเบื่ออีกแล้ว

    ก่อนหน้านี้ มูรินโญ่ ถูกมองว่า เป็นกุนซือที่น่าเบื่อ และชอบใช้แผนรถบัสในการเน้นผลการแข่งขัน ส่งผลให้ทีมของเขาไม่ค่อยทำประตูได้มากนัก

    อย่างไรก็ตาม ในซีซั่นนี้ สเปอร์ส ไม่ได้เป็นทีมที่เล่นได้น่าเบื่อ เพราะตั้งแต่เกมแรกที่แพ้ เอฟเวอร์ตัน 0-1 นั้น พวกเขาก็เดินหน้ายิงประตูคู่แข่งได้มากมาย

    "ไก่เดือยทอง" เอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 5-2 บุกถล่ม แมนฯ ยูไนเต็ด 6-1 และเสมอ เวสต์แฮม 3-3 ขณะที่ในถ้วย ยูโรปา ลีก ก็อัด มัคคาบี้ ไฮฟา 7-2 และชนะ แอลเอเอสเค 3-0

    5. ระวังทีเด็ด เบล

    แกเร็ธ เบล ปีกซูเปอร์สตาร์ทีมชาติเวลส์ ได้กลับมาเล่นให้ สเปอร์ส อีกครั้ง หลังย้ายมาจาก เรอัล มาดริด ด้วยสัญญายืมตัว 1 ฤดูกาล

    เบล กลับมาสวมยูนิฟอร์ม "ไก่เดือยทอง" หนแรกในรอบ 7 ปี หลังจากที่เจ้าตัวเก็บข้าวของย้ายจาก สเปอร์ส ไปร่วมทัพ "ราชันชุดขาว" เมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2013 ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลก ณ เวลานั้น ที่ 100 ล้านยูโร (ประมาณ 3,700 ล้านบาท)

    แม้ เบล จะยังทำประตูให้ สเปอร์ส ในรอบนี้ไม่ได้ แต่ถ้าดาวเตะเวลส์ กลับมามีสภาพร่างกายสมบูรณ์เต็มร้อยล่ะก็ รับรองว่าเขาจะมีทีเด็ดแน่นอน

ซัมเมอร์หน้า มีลุ้นย้ายหรือไม่?เปิดเงื่อนไขฉีกสัญญาฮาแลนด์

หลังจากที่ เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์ ดาวยิง ดอร์ทมุนด์ ตกเป็นข่าวการย้ายทีมอยู่เรื่อยๆ ล่าสุด ฟาบริซิโอ โรมาโน่ ก็แทบจะดับฝันทีมที่อยากได้เขาในช่วงซัมเมอร์ ปีหน้า ด้วยการบอกว่าถึงแม้ ฮาแลนด์ จะมีค่าฉีกสัญญา 75 ล้านยูโร แต่มันจะมีผลในช่วงซัมเมอร์ ปี 2022 และ "เสือเหลือง" ก็ไม่คิดที่จะขายเขาด้วยค่าตัวจำนวนนั้นภายในปีหน้า

ฟาบริซิโอ โรมาโน่ นักข่าวชาวอิตาเลียนที่มีความน่าเชื่อถือสูงเปิดเผยว่าเงื่อนไขค่าฉีกสัญญาของ เออร์ลิง เบราต์ ฮาแลนด์ กองหน้าคนเก่งของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ สโมสรชั้นนำของศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน นั้น จะมีผลในช่วงซัมเมอร์ปี 2022

นับตั้งแต่ที่ย้ายมาจาก เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ในช่วงกลางฤดูกาลก่อน ฮาแลนด์ ก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม โดยเขาทำไปแล้ว 23 ประตูจากการลงเล่น 26 นัดในทุกรายการ ส่วนถ้านับเฉพาะฤดูกาลนี้เจ้าตัวก็กดไปแล้ว 7 ลูกจากการลงเล่นในทุกรายการ 8 เกม

อย่างไรก็ตาม ดาวยิงชาวนอร์เวย์ก็ตกเป็นข่าวเกี่ยวกับการย้ายทีมอย่างหนักตามไปด้วย โดยมีข่าวว่า เรอัล มาดริด กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังจับตาดูสถานการณ์ของเจ้าตัวอย่างใกล้ชิด และก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือว่าค่าฉีกสัญญาของเขาอยู่ที่ 75 ล้านยูโร (ประมาณ 2,775 ล้านบาท) ซึ่งถึงแม้จะเป็นตัวเลขที่สูงแต่มันก็ดูคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลงานการทำประตูของเขา

กระทั่งล่าสุด โรมาโน่ ก็แฉว่าค่าฉีกสัญญาของ ฮาแลนด์ อยู่ที่ 75 ล้านยูโรจริง แต่มันจะยังไม่มีผลจนกว่าจะถึงช่วงซัมเมอร์ ปี 2022 และตอนนี้ ดอร์ทมุนด์ ก็กำลังประทับใจกับผลงานของแข้งวัย 20 ปีมากๆ จนไม่มีความตั้งใจที่จะปล่อยเขาด้วยเงินจำนวนนั้นในช่วงซัมเมอร์ ปีหน้าแน่นอน

“มาร์กซิยาล” ยังแบน!แมนยูส่ง “คาวานี่” เปิดซิง,เชลซีกู้ชัย! “แวร์เนอร์” พร้อมล่า

อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ยังไม่สามารถลงช่วยทีมได้เหตุติดโทษแบน ขณะที่ เอดินสัน คาวานี่ น่าจะได้ลงประเดิมสนามเกม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดถิ่นรับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ที่ต้องการขุดฟอร์มเก่งโดยมี ติโม แวร์เนอร์ พร้อมล่าตาข่าย ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์ที่ 24 ต.ค. ศกนี้  ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 23.30 น.)
ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563
แมนฯ ยูไนเต็ด   –   เชลซี
ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 23.30 น.)

สนาม : โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

แมนฯ ยูไนเต็ด :

    แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาคืนฟอร์มเก่งอีกครั้งใน 2 เกมที่ผ่านมาหลังบุกไปคว้าชัยเหนือ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 4-1 ในเกมลีกนัดล่าสุด ต่อด้วยการยัดเยียดความปราชัยให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 2-1 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอช นัดแรก เมื่อวันอังคารที่ 20 ตุลาคม

    ความพร้อมของปีศาจแดงในเกมนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือชาวนอร์เวย์ ออกมายืนยันว่า เอริก ไบยี่ ที่ไม่ได้ลงเล่นในเกมกลางสัปดาห์โดนโรคเดี้ยงบริเวณกล้ามเนื้อเล่นงาน ซึ่งจะทำให้กองหลังทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ และจะพลาดช่วยทีมในเกมที่จะพบกับสิงโตน้ำเงินคราม, แอร์เบ ไลป์ซิก, อาร์เซน่อล, อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ และ เอฟเวอร์ตัน โดยคาดว่าเจ้าตัวจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในเกมหลังช่วงพักเบรกทีมชาติที่จะเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของเวสต์บรอมวิช ในวันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน

    เช่นเดียวกันกับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่ได้ลงสนามในเกมกับเปแอสเช หลังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากเกมทีมชาติ แต่อดีตนายใหญ่ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ หวังว่า เซนเตอร์แบ็กเลือดผู้ดี จะผ่านการทดสอบความฟิตกลับช่วยทีมได้ทันเวลา โดยจะจับคู่กับ อักเซล ตวนเซเบ้ ที่เพิ่งได้รับโอกาสลงสนามนัดแรกในรอบ 10 เดือน และทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจที่ปารีส ทำให้ เร้ด เดวิลส์ จะกลับมาใช้แผนการเล่น 4-2-3-1 ตามที่ถนัดอีกครั้ง

    ในแดนหน้า เร้ด เดวิลส์ จะยังไม่มี อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ติดโทษแบนเป็นเกมที่ 2 จาก 3 เกมจากการโดนใบแดงในเกมกับสเปอร์ส ซึ่งทำให้ดาวยิงตัวใหม่อย่าง เอดินสัน คาวานี่ จะได้โอกาสประเดิมสนามในเกมนี้ โดยมี มาร์คัส แรซฟอร์ด ที่เป็นฮีโร่ซีดประตูชัยให้กับทีมในเกมล่าสุดยืนริมเส้นฝั่งซ้าย และฝั่งขวาเป็น ฆวน มาต้า หลังยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เมสัน กรีนวู้ด ที่ไม่มีชื่ออยู่ในทีม 2 เกมหลังสุดนั้นเป็นเพราะอาการบาดเจ็บตามที่โซลชาออกมายืนยันหรือเป็นเพราะการขาดระเบียบวินัยจนถูกผู้บริหารทีมเตือนก็ตาม ขณะที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยืนอยู่หลังศูนย์หน้าตัวเป้าอย่าง คาวานี่

    ถึงแม้ว่า เจสซี่ ลินการ์ด พร้อมที่จะกลับมาช่วยทีมอีกครั้งแล้ว แต่ก็คงจะยังไม่มีชื่ออยู่ในทีม ส่วน ปอล ป็อกบา ก็จะต้องนั่งรอโอกาสอยู่ที่ซุ้มม้านั่งสำรองอีกตามเคย รวมไปถึง ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค

เชลซี :

    เชลซีสะดุดไม่ชนะใครมา 2 เกมติดต่อกันหลังเสมอกับเซาธ์แฮมป์ตัน 3-3 ในเกมลีกนัดที่แล้วและเจ๊ากับเซบีย่า 0-0 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม อี นัดแรก

    สภาพทีมของสิงโตน้ำเงินคราม ค่อนข้างสมบูรณ์ดีทีเดียวหลังขาดเพียงแค่ บิลลี่ กิลมอร์ ที่ยังคงต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าอยู่ในเวลานี้ ขณะที่ เอดูอาร์ เมนดี้ สลัดโรคเดี้ยงกลับมาเฝ้าเสาได้ในเกมที่พบกับเซบีย่า และช่วยให้ทีมไม่เสียประตูได้อีกด้วย

    ก่อนหน้านี้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือหนุ่มไฟแรง ออกมาปฏิเสธถึงความกังวลเกี่ยวกับสภาพร่างกายของ ติอาโก้ ซิลวา เป็นที่เรียบร้อยแล้วหลังจากที่เจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บรบกวนจากการปะทะกับผู้เล่นเซบีย่า ในครึ่งหลังของเกมดังกล่าว แต่สุดท้ายก็สามารถลงสนามได้ครบ 90 นาที

    ขณะที่ ฮาคิม ซิเย็ค ดาวเตะป้ายแดง ที่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมายังคงต้องรอโอกาสออกสตาร์ตเป็นตัวจริงนัดแรกต่อไป

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

    แมนฯ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา – อารอน วาน-บิสซาก้า, อักเซล ตวนเซเบ้, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, อเล็กซ์ เตลลิส –  สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, เฟร็ด – ฆวน มาต้า, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, มาร์คัส แรชฟอร์ด – เอดินสัน คาวานี่
    ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

    เชลซี (4-2-3-1) : เอดูอาร์ เมนดี้ – รีซ เจมส์, ติอาโก้ ซิลวา, คูร์ท ซูม่า, เบน ชิลเวลล์ – จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ –  เมสัน เมาน์ท, ไค ฮาแวร์ทซ์, คริสเตียน พูลิซิช – ติโม แวร์เนอร์
    ผู้จัดการทีม : แฟร้งค์ แลมพาร์ด

    ผู้ตัดสิน : มาร์ติน แอตกินสัน

 

แวน บาสเทนชี้ฟาน เดอ เบ็คไม่ควรซบแมนยู

มาร์โก แวน บาสเท่น แสดงความเห็นกับสื่อประเทศบ้านเกิด โดยเชื่อว่า ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ควรที่จะอดทนรอทางเลือกอื่นแทนที่จะย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
   
มาร์โก แวน บาสเท่น ตำนานทีมชาติฮอลแลนด์ ให้ความเห็นว่า ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค มิดฟิลด์รุ่นน้อง ไม่ควรรีบย้ายมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา เพราะการเป็นผู้เล่นที่มีฝีเท้าดีควรที่จะได้ลงสนามทุกสัปดาห์

ฟาน เดอ เบ็ค ได้รับความสนใจจากหลายสโมสรในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา หลังจากโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดกับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์พรสวรรค์สูงของวงการลูกหนัง และสุดท้ายเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่คว้าตัว ฟาน เดอ เบ็ค ไปครอบครองด้วยค่าตัว 40 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 1,520 ล้านบาท
 
อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ย้ายทีม ฟาน เดอ เบ็ค ในวัย 23 ปี กลับไม่ได้ลงสนามเต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าที่ควร โดยเพิ่งได้ลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีก ไปเพียง 61 นาทีเท่านั้น อีกทั้งเกมล่าสุดที่ต้นสังกัดเสมอกับ เชลซี 0-0 ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับทีมเลย

ในเรื่องนี้เอง แวน บาสเท่น ให้สัมภาษณ์กับ Ziggo Sport สื่อโทรทัศน์ในประเทศฮอลแลนด์ ระบุถึงเรื่องที่ว่า ฟาน เดอ เบ็ค ควรจะรอข้อเสนออื่นๆ แทนที่ย้ายไปร่วมทีม ‘ปีศาจแดง’

"ดอนนี่ ไม่ควรย้ายไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"

"ในเมื่อคุณเป็นผู้เล่นที่ดี คุณก็ต้องการที่จะลงสนามทุกสัปดาห์" อดีตยอดกองหน้าเผย

"มันเป็นเรื่องแย่มากๆ สำหรับผู้เล่นอย่าง ดอนนี่ ที่จะได้ลงเล่นแค่ 6 หรือ 7 เกมในปีนี้ นั่นคือเรื่องช็อคในการที่คุณต้องมีเกมเพื่อจับจังหวะในการเล่น"

"ผมรู้ว่าเขาได้รับค่าแรงมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว แต่ในการเป็นนักเตะฝีเท้าดีคุณก็ต้องมีวิจารณญาณ และมองถึงโอกาสในการลงเล่นตอนที่คุณจะเซ็นสัญญากับทีมใหม่"

"ดอนนี่ ควรที่จะรอโอกาสที่ดีกว่า และเซ็นสัญญากับสโมสรอื่น" แวน บาสเท่น กล่าวปิดท้าย

ทั้งนี้ ความเห็นของ แวน บาสเท่น สอดคล้องกับสิ่งที่ ปาทริซ เอวร่า อดีตแบ็กซ้าย แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ตั้งข้อสงสัยว่าทำไม ‘ปีศาจแดง’ ถึงต้องทุ่มเงินซื้อ ฟาน เดอ เบ็ค มาร่วมทีม ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่คิดที่จะใช้งาน

 

ลดให้แล้ว!ชาลเก้ตั้งค่าตัวเป้าหมายลิเวอร์พูล

สื่อเผย ชาลเก้ ยอมลดค่าตัว โอซาน คาบัค กองหลังอนาคตไกล ลงมาไม่แพงแล้ว หลังมีข่าว ลิเวอร์พูล อยากได้ไปเสริมแนวรับช่วงหน้าหนาว
    ชาลเก้ 04 สโมสรในศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน ตั้งค่าตัว โอซาน คาบัค ปราการหลังดาวรุ่งทีมชาติตุรกี ไว้ที่ 27.1 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,084 ล้านบาท) ภายหลังจากที่ ลิเวอร์พูล ตามให้ความสนใจ ตามรายงานจาก สปอร์ต มีเดีย เซต เมื่อวันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม ที่ผ่านมา

    "หงส์แดง" กำลังมองหาเซนเตอร์แบ็กคนใหม่เข้ามาเสริมทัพในช่วงเปิดตลาดหน้าหนาวเดือนมกราคมนี้ เพราะ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังคนเก่งต้องพักยาวจากการผ่าตัดเอ็นไขว้หน้าหัวเข่า หลังโดน จอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวาร เอฟเวอร์ตัน เข้าสกัดหนักใส่ในเกมลีกที่เสมอกัน 2-2 เมื่อวันเสาร์ที่ 17 ต.ค. ที่ผ่านมา

    รายงานระบุว่า เป้าหมายแรกที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล อยากดึงมาเสริมทัพหน้าหนาวคือ เบน ไวท์ ของ ไบรท์ตัน อย่างไรก็ตาม "เจ้านกนางนวล" ต้องการค่าตัวถึง 50 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,000 ล้านบาท) ทำให้อาจเบนมาที่ คาบัค ที่มีค่าตัวถูกกว่าถึงเกือบครึ่งเลยทีเดียว

    ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา "หงส์แดง" เคยมีข่าวกับ คาบัค มาแล้ว และเวลานั้น ชาลเก้ ตั้งค่าตัวไว้ที่ 40 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,600 ล้านบาท) แต่หลังจากที่ "ราชันสีน้ำเงิน" ออกสตาร์ตฤดูกาลย่ำแย่ทำให้พร้อมลดราคานักเตะลงมา โดยนอกจาก ลิเวอร์พูล แล้ว ยังมี เอซี มิลาน ที่ให้ความสนใจอยู่เหมือนกัน

    สำหรับ คาบัค วัย 20 ปี มีสไตล์การเล่นที่ดุดัน แข็งแกร่ง รวดเร็ว และเล่นลูกกลางอากาศได้ดี ทำให้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ เซร์คิโอ รามอส ปราการหลัง เรอัล มาดริด นอกจากนั้นยังเป็นนักเตะที่มีความกล้าลุยกล้าแลก ชนไม่ถอยจนถึงกับเคยจมูกหัก หน้าแตกมาแล้ว รวมทั้งมี ฟาน ไดค์ เป็นไอดอลของตัวเองด้วย

คล็อปป์เหน็บคาร์ร่าคิดแบบนี้ถึงไม่มีโอกาสทำงานคุมทีม

เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล เหน็บแนม เจมี่ คาร์ราเกอร์ ว่าแสดงความเห็นที่ผิดๆ จนทำให้เป็นเหตุผลที่ทำให้ คาร์ราเกอร์ ไม่มีโอกาสมาทำงานคุมทีม หลังจากที่ คาร์ราเกอร์ เหมือนกับจะเคยบอกว่า "หงส์แดง" ทำพลาดที่ไม่เสริมทัพในตำแหน่งกองหลังในตลาดรอบล่าสุด
    เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ยอดสโมสรแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เหน็บ เจมี่ คาร์ราเกอร์ อดีตยอดกองหลังของทีมที่เหมือนกับจะเคยตำหนิตนว่าทำพลาดที่ไม่ยอมซื้อเซนเตอร์แบ็กอาชีพในตลาดการเสริมทัพรอบล่าสุด

    ก่อนที่ฤดูกาลนี้จะเริ่มขึ้นนั้น ลิเวอร์พูล ตัดสินใจปล่อย เดยัน ลอฟเรน ให้กับ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก แต่ก็ไม่ได้ซื้อใครมาแทนเลยจนทำให้เซนเตอร์แบ็กอาชีพที่มีประสบการณ์ระดับการเล่นให้ทีมชุดใหญ่แบบต่อเนื่องของพวกเขาเหลือเพียง 3 คน ได้แก่ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, โจ โกเมซ และ โฌแอล มาติป ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ "หงส์แดง" ก็ได้รับข่าวร้ายเมื่อ ฟาน ไดค์ มีอาการเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าฉีกจนต้องหมดสิทธิ์ลงเล่นเป็นเวลานาน แถมถ้าเลวร้ายที่สุดยังอาจจะถึงขั้นต้องพักทั้งฤดูกาลเลย

    เรื่องดังกล่าวทำให้ไม่นานมานี้ คาร์ราเกอร์ กล่าวระหว่างการทำหน้าที่กูรูของ สกายสปอร์ตส์ สื่อกีฬาชั้นนำของเมืองผู้ดีว่าที่จริงแผงหลังของ ลิเวอร์พูล ก็เต็มไปด้วยความน่ากังขามาตั้งแต่ก่อนเปิดซีซั่นนี้แล้ว เพราะแม้ว่า ฟาน ไดค์ จะเป็นยอดกองหลัง แต่รายของ มาติป มักจะได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยๆ ส่วน โกเมซ ก็ยังดูฟอร์มไม่คงเส้นคงวาเท่าที่ควร พร้อมกระตุ้นให้อดีตทีมของตนต้องเลื่อนมาปิดดีลกับกองหลังที่เป็นแข้งเป้าหมายของทีมตั้งแต่วันแรกของตลาดซื้อ-ขายนักเตะ รอบ 2 ช่วงเดือนมกราคมนี้ให้ได้ ไม่ใช่รอไปเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์ ปีหน้า

    คล็อปป์ เผยว่า "ตอนแรกเราลงเล่นฤดูกาลนี้โดยที่มีเซนเตอร์แบ็กให้ใช้งานตั้ง 3 คน แถมยังมี ฟาบินโญ่ เป็นอะไหล่ในตำแหน่งนี้ รวมถึงมีดาวรุ่งบางคนที่สามารถลงเล่นให้ทีมได้ด้วย มันเป็นเรื่องยากมากๆ ที่ทีมของคุณจะมีเซนเตอร์แบ็กระดับโลกอยู่ในทีมถึง 4 คน ถ้าเกิดมีใครอยากบอกว่าเราทำพลาด (ในการไม่ซื้อเซนเตอร์แบ็ก) อย่างเช่น เจมี่ คาร์ราเกอร์ ที่พูดไปก่อนหน้านี้แล้วล่ะก็ ผมก็คิดว่านั่นคงเป็นหนึ่งในไม่กี่เหตุผลที่ทำให้คนแบบนั้นไม่ได้ทำงานนี้ (การคุมทีม)"

    หลังจาก คล็อปป์ พูดแบบนั้น คาร์ราเกอร์ ก็ชี้แจงทาง ทวิตเตอร์ เครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดฮิตว่าตนไม่เคยตำหนิ คล็อปป์ เลยว่าทำพลาดที่ไม่ได้ซื้อกองหลังในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา "ในฤดูกาลนี้ผมยังไม่เคยพูดแม้แต่ครั้งเดียวว่า คล็อปป์ ทำพลาดที่ไม่ได้ซื้อเซนเตอร์แบ็กด้วยเหตุผลบางอย่างตามที่เขากล่าวอ้าง"

 

มอยส์เผยเคยกาหัวเบลเป้าหมายเบอร์1สมัยคุมแมนยู

เดวิด มอยส์ กุนซือ เวสต์แฮม ระบุ ตอนคุม แมนฯ ยูไนเต็ด ตนเคยอยากได้ แกเร็ธ เบล จนถึงขั้นกาหัวเขาเป็นเป้าหมายเบอร์ 1 พร้อมบอกว่าที่จริงตอนนั้น "ปีศาจแดง" ทุ่มสุดตัวเพื่อที่จะปิดดีลกับ เบล ให้ได้ แต่ตัวนักเตะมีใจให้กับ เรอัล มาดริด ไปก่อนแล้ว

เดวิด มอยส์ ผู้จัดการทีม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ยืนยันว่าตนเคยอยากได้ แกเร็ธ เบล ไปร่วมทัพในตอนที่คุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จริงๆ แถมถึงขั้นกาหัวปีกชาวเวลส์เป็นเป้าหมายการเสริมทัพรายแรกด้วยซ้ำ

ในช่วงแรกๆ ที่ มอยส์ เข้าไปกุมบังเหียน แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อช่วงซัมเมอร์ ปี 2013 เขาตกเป็นข่าวกับนักเตะชื่อดังหลายราย อย่างเช่น เบล, เชส ฟาเบรกาส และ โทนี่ โครส เป็นต้น แต่สุดท้ายในตอนนั้นก็ได้เพียง มารูยาน เฟลไลนี่ มาร่วมทัพแค่คนเดียว โดยที่หลายคนตำหนิบอร์ดบริหารของ "ปีศาจแดง" ด้วยว่าไม่ทุ่มเทกับการล่าแข้งที่เป็นเป้าหมายของ มอยส์ มากเท่าที่ควร

มอยส์ ซึ่งอาจต้องเจอกับ เบล ในเกมลีกที่ เวสต์แฮม มีคิวดวลกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคมนี้ เผยว่า "แกเร็ธ เบล อาจจะเป็นชื่อแรกที่ผมิคดถึงในตอนที่ผมเข้าไปรับงานกับที่นั่น ผมคิดว่า แกเร็ธ เบล เป็นนักเตะตามแบบฉบับของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาคือคนที่เหมาะสม ยูไนเต็ด เคยมีปีกเก่งๆ หลายราย ไล่ตั้งแต่ จอร์จ เบสต์ ไปจนถึง ไรอัน กิ๊กส์ ระหว่างยุคของ 2 คนนั้นพวกเขาก็มีปีกชั้นยอดอีกหลายคน"

"ผมอยากได้ แกเร็ธ เบล ไปเสริมทัพเป็นรายแรกในตอนที่คุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ตอนนั้นมันเหมือนกับว่าเขาก้าวขาไปทาง เรอัล มาดริด นิดๆ แล้ว ผมพยายามที่จะปาดหน้าพวกเขาให้ได้ ผมพยายามที่จะดึงเขามาร่วมทีมให้ได้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้เงินมากกว่าที่ เรอัล มาดริด ยื่นให้เขา พวกเขายอมให้เงินมากกว่าแล้ว เราทำทุกทางเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะพยายามเอาเขาไปร่วมทีมให้ได้ เราถึงขั้นเตรียมเฮลิคอปเตอร์เอาไว้ที่สนามซ้อมเพื่อที่จะไปรับเขากลับมาด้วยซ้ำ เราเคยคิดว่าเรามีโอกาสที่จะได้เขาไปร่วมทีม แต่แล้วเขาก็เลือก เรอัล มาดริด ซึ่งมันก็เป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม เพราะเขาได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ถึง 4 สมัยกับที่นั่น เขามีอาชีพการค้าแข้งที่ยอดเยี่ยมสุดๆ"