6 ประเด็นร้อนก่อนเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 6

กลับมาเจอกันอีกครั้งกับ ประเด็นร้อนก่อนเกมพรีเมียร์ลีก โดยสัปดาห์นี้เป็นโปรแกรมแมตช์เดย์ที่ 6 ของทั้งสองทีม โดยจะมีเรื่องอะไรน่าสนใจบ้างไปดูกันได้เลย
    "เวสต์แฮม ยูไนเต็ด-แมนฯซิตี้"

    เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ของ เดวิด มอยส์ ไม่แพ้ใครมา 3 เกมติด และคัมแบ็กตีเสมอ ทอตแน่ม ฮอตสเปอร์ 3-3 ทั้งที่เป็นฝ่ายตามหลังไปก่อน 0-3

    ฝั่ง แมนฯ ซิตี้ มองหาชัยชนะสองเกมติดเป็นครั้งแรกของฤดูกาลนี้ และจะทำอันดับแซงหน้า ‘ขุนค้อน’ ทันทีหากคว้าสามแต้มได้

    การเจอกันครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2009 ที่ เวสต์แฮม มีอันดับเหนือกว่า แมนฯ ซิตี้ โดยตอนนั้นพวกเขาเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 1-0 ที่สนามอัพตัน พาร์ค

    เกมรุกของ เวสต์แฮม ดูดีเหลือเกิน เมื่อทำสกอร์ใส่คู่แข่งอย่างน้อยสามประตูใน 9 นัดของศึกพรีเมียร์ลีก ในปฏิทินปี 2020 ซึ่งไม่มีทีมทำได้มากกว่าพวกเขาอีกแล้ว

    ขณะที่ ซิตี้ ก็มีสถิติสวยหรูยามบุกเยือน ลอนดอน สเตเดี้ยม โดยเอาชนะได้ถึง 5 เกมจากทุกรายการ และทำสกอร์รวมได้ถึง 22-1 แถมยิงประตูได้อย่างน้อย 4 ประตูในแต่ละนัด

    ส่วนคนที่โดดเด่นที่สุด หนีไม่พ้น ราฮีม สเตอร์ลิง ที่มีส่วนร่วมกับประตู 11 ลูก จาก 6 เกมหลังสุดที่เจอกับ เวสต์แฮม โดยยิงได้ 6 ประตูและแอสซิสต์อีก 5 ครั้ง ซึ่งชัยชนะ 5-0 เมื่อซีซั่นที่แล้วเจ้าตัวก็ทำแฮตทริกได้

    "แมนฯ ยูไนเต็ด-เชลซี"
    แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด 2 เกมในฤดูกาลนี้ ยังไม่ชนะใคร แต่หากคว้าชัยได้จะทำคะแนนแซง เชลซี ทันที และยังจะเอาชนะคู่แข่งรายนี้ 3 เกมติดเป็นครั้งแรกอีกด้วย

    ฝั่ง เชลซี ตั้งเป้าไม่แพ้ใคร 4 เกมติด อย่างไรก็ตามการบุกชนะ ‘ปีศาจแดง’ ถึงโรงละครแห่งความฝันครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2013 โน่นเลย
   
    มาร์คัส แรชฟอร์ด จะเป็นผู้เล่นของฝั่งทีมสีแดงทันที หากสามารถทำประตูได้ 2 หรือ 3 ลูกขึ้นไปในเกมนี้ ซึ่งจะเป็นการทำสถิติดังกล่าว 2 เกมติดในการเจอกับ เชลซี ที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด

    หาก เอดินสัน คาวานี่ ประเดิมสนามเกมพรีเมียร์ลีก เขาจะมีโอกาสเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดลำดับที่ 2 ที่ทำประตูได้ในเกมแรกที่ลงสนาม ในวัย 33 ปี 253 วัน ต่อจาก ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่ทำสกอร์ได้ในเกมแรกเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2016 ในวัย 34 ปี 316 วัน

    นับตั้งแต่ออกสตาร์ทเมื่อซีซั่น 2019/20 เกมเยือนของ เชลซี จะมีประตูเกิดขึ้นมากมายเป็นตัวเลขถึง 87 ลูก ซึ่งพวกเขาทำได้ 42 ประตูในช่วงเวลาดังกล่าว โดยถือว่าเป็นทีมที่ทำประตูในเกมเยือนได้มากที่สุดของ พรีเมียร์ลีก หากนับเฉพาะช่วงนั้น

    "ลิเวอร์พูล-เชฟฯยูไนเต็ด"

    ‘แชมป์เก่า’ ลิเวอร์พูล หลีกเลี่ยงที่จะไม่ชนะใครในเกมลีก 3 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2018 ส่วนฝั่ง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ไม่เคยบุกชนะที่ สนาม แอนฟิลด์ เลย ตั้งแต่ปี 1994

    ‘หงส์แดง’ เอาชนะ ‘ดาบคู่’ ได้ตลอด 3 เกมหลังสุดโดยที่ไม่เสียประตูเลย

    นับตั้งแต่วันที่ได้แชมป์ลีกเมื่อซีซั่นก่อน ลิเวอร์พูล เสียประตูในเกมลีกไปถึง 25 ลูกจากการลงสนาม 12 นัด ซึ่งไม่มีทีมไหนที่เสียประตูในช่วงเวลาเดียวกันมากกว่าพวกเขาอีกแล้ว โดยที่การเสียประตู 25 ลูกก่อนหน้านั้นมาจากการลงสนาม 38 เกม

    ในการเล่นเกมเยือน 13 นัดหลังสุดใน พรีเมียร์ลีก นั้น เชฟฯ ยูไนเต็ด ไม่เคยยิงได้มากกว่า 1 ลูกเลย (ชนะ 2 เสมอ 3 แพ้ 8) โดยพวกเขาทำได้รวม 6 ลูกเท่านั้นด้วย โดยครั้งสุดท้ายที่พวกเขายิงได้เกิน 1 ลูกในการเล่นเกมเยือนในลีกคือนัดที่บุกไปชนะ นอริช ซิตี้ 2-1 เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2019

    อีกทั้งในฤดูกาลนี้ทัพ "ดาบคู่" เป็นทีมเดียวใน พรีเมียร์ลีก ที่ยังไม่เคยได้ขึ้นนำใครก่อนเลย

    "เซาธ์แฮมป์ตัน-เอฟเวอร์ตัน"

    เซาธ์แฮมป์ตัน ตั้งเป้าคว้าชัยเกมที่ 3 ในรอบ 4 เกม หลังไล่ตีเจ๊า เชลซี 3-3 เมื่อเกมก่อน

    เอฟเวอร์ตัน เก็บได้ 13 แต้มจาก 15 คะแนนเต็ม โดยหากพวกเขาบุกคว้าชัยที่ เซนต์ แมร์รี่ส์ ได้จะทำให้ชนะเกมเยือนพรีเมียร์ลีก 4 นัดติดต่อกันได้เป็นครั้งแรก

    ‘ทีมนักบุญ’ เอาชนะ ‘ทอฟฟี่สีน้ำเงิน’ 5 นัดจากการเจอกัน 7 นัดหลังสุดในการเล่นในบ้าน ทว่าเมื่อซีซั่นก่อนพวกเขาเป็นฝ่ายพ่ายไป 1-2

    แดนนี่ อิงส์ ทำประตูใส่ เอฟเวอร์ตัน 4 ลูกจาก 5 เกมในสีเสื้อ เซาธ์แฮมป์ตัน

    หาก เอฟเวอร์ตัน คว้าชัยในเกมนี้ก็จะทำให้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 2 เกมติด

    โดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน จะเป็นนักเตะคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ทันทีต่อจาก เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่สามารถทำประตูได้ทุกเกมใน 6 เกมแรกของฤดูกาล

    "อาร์เซน่อล-เลสเตอร์"

    ทั้ง อาร์เซน่อล และ เลสเตอร์ ซิตี้ ต่างมีแต้มเท่ากันในตอนนี้ โดยที่ฝั่งเจ้าถิ่นเตรียมดึงโมเมนตัมตัวเองกลับมาหลังแพ้ 2 จาก 3 เกมหลัง ที่พ่ายต่อ ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

    ขณะที่ฝั่ง ‘เดอะ ฟ๊อกซ์’ ต้องกลับมาสู่เส้นทางชัยชนะอีกครั้ง หลังเจ็บตัวจากความพ่ายแพ้ในบ้าน 2 เกมติดต่อ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ แอสตัน วิลล่า

    สถิติสวยหรูของ อาร์เซน่อล ที่พอจะชื่นใจได้ คือการที่พวกเขาไม่แพ้ใครที่บ้านตัวเองในเดือนตุลาคมมาแล้วถึง 18 ปี โดยที่ลงเล่นในเดือนนี้ 32 นัด แพ้ไปแค่นัดเดียวเท่านั้น

    ขณะเดียวกัน ‘เดอะ กันเนอร์ส’ ไร้พ่ายต่อ เลสเตอร์ ในบ้านตัวเองมาแล้ว 27 นัดจากทุกรายการ แบ่งเป็นชนะ 20 เสมอ 7 อย่างไรก็ตามชัยชนะเกมเยือน 2 นัดหลังของ ‘จิ้งจอกสีน้ำเงิน’ ทำประตูรวมได้ถึง 8-2

    ในฤดูกาลนี้ ลูกทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส มีสถิติดีที่สุดในเรื่องของการทำประตูเมื่อเทียบกับโอกาสทำประตู โดยมีตัวเลขทำประตูได้ต่ำกว่า 25% จากโอกาสทั้งหมด แต่ทว่าพวกเขาไม่สามารถทำประตูได้เลยจากโอกาส 15 ครั้งหลังในความพ่ายแพ้ 2 เกมหลังสุด

    "เบิร์นลี่ย์-สเปอร์ส"
    เบิร์นลี่ย์ เก็บแต้มแรกของซีซั่นได้เสียที หลังบุกเสมอ เวสต์บรอมวิช 0-0 ส่วน ทอตแน่ม ฮอตสเปอร์ ตั้งเป้าคว้าชัยเกมเยือน 3 นัดแรกของซีซั่นเป็นครั้งที่สอง โดยที่พวกเขาทำประตูได้ถึง 11 ลูกจาก 2 เกมแรกในซีซั่นนี้

    เจ้าถิ่นมีสถิติไม่ดีนักยามเจอ ‘ไก่เดือยทอง’ โดยเอาชนะได้แค่ 2 เกมจาก 12 นัดที่พบกันใน พรีเมียร์ลีก (เสมอ 3 แพ้ 7) ซึ่งชัยชนะ 2 เกมดังกล่าวเกิดขึ้นในการเล่นที่ เทิร์ฟ มัวร์ เมื่อซีซั่น 2009/10 และ 2018/19

    ‘เดอะ คลาเร็ตส์’ แพ้ในบ้านตัวเองมาแล้ว 2 เกมติดต่อกัน ซึ่งหากพวกเขาแพ้อีกในเกมนี้ก็จะทำให้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวามคม ปี 2018 ที่ไม่สามารถเก็บแต้มได้ในบ้าน 3 เกมติด

    ทั้ง แฮร์รี่ เคน และ ซน ฮึง-มิน ต่างช่วยกันทำประตูให้กันและกันได้ถึง 8 ประตูใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ ซึ่งหากคนใดคนหนึ่งช่วยอีกคนให้ได้ประตูอีกในเกมกับ เบิร์นลี่ย์ ก็จะทำให้พวกเขาสองคนเป็นคู่หู่ของ ‘ไก่เดือยทอง’ ที่ช่วยกันทำประตูให้ทีมมากที่สุดขึ้นไปเทียบเท่า เท็ดดี้ เชอริงแฮม กับ ดาร์เรน แอนเดอร์ตัน เมื่อซีซั่น 1992/93 และ เชอริงแฮม กับ คริส อาร์มสตรอง ในซีซั่น 1995/96

    ขณะที่ เคน มีส่วนกับประตูโดยตรงในการเจอกับ เบิร์นลี่ย์ 8 ลูกจาก 4 เกมหลัง โดยแบ่งเป็นทำประตูได้ 6 และแอสซิสต์อีก 2

ซลาตัน: มิลานไม่เคยมีพระราชา ที่นี่มีแต่พระเจ้า

ดาวยิงสวีดิช คุยโวอีกครั้งหลังทวีตข้อความว่าเมืองมิลานไม่เคยมีพระราชา เนื่องจากมีเขาที่เป็นพระเจ้านั่นเอง

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กองหน้าตัวเก๋าของ เอซี มิลาน ทวีตข้อความสำแดงเดชอีกครั้ง โดยบอกว่าเมืองมิลานไม่เคยมีพระราชา เนื่องจากมีเขาที่เป็นพระเจ้า

ดาวยิงในวัย 38 ปีคัมแบ็คจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ลงมายิงคนเดียวสองประตูพาปีศาจแดงดำเอาชนะอินเตอร์ มิลาน ในศึกมิลาน ดาร์บี้ไปได้ 2-1 พาทีมเก็บ 12 คะแนนเต็มนำเป็นจ่าฝูง และทำให้เขายิงไปแล้ว 4 ประตูในเซเรีย อาฤดูกาลนี้

โดยหลังกลับมาโชว์ฟอร์มเยี่ยมพาทีมรั้งจ่าฝูง ซลาตัน โชว์ความเป็น ซลาตัน อีกครั้งด้วยการทวีตข้อความ "มิลานไม่เคยมีพระราชา ที่นี่มีแต่พระเจ้า" พร้อมภาพเพื่อนร่วมทีมเข้ามาดีใจกับตัวเขา ที่เจ้าตัวมักสื่อว่าตัวเองเป็นพระเจ้านั่นเอง

ทุกอย่างเป็นไปได้!อิบราเชื่อมิลานมีลุ้นคว้าสคูเด็ตโต้

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ยอดหัวหอก เอซี มิลาน โว "ปีศาจแดง-ดำ" ซีซั่นนี้ มีลุ้นถึงตำแหน่งแชมป์ลีก ระบุหากทุกคนมีความเชื่อมั่น ทุกความสำเร็จสามารถเกิดขึ้นได้

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กองหน้าซูเปอร์สตาร์ชาวสวีดิชของ เอซี มิลาน เชื่อว่า ฤดูกาลนี้ต้นสังกัดของตนมีโอกาสคว้า สคูเด็ตโต้ หลังจากที่ยังคงคว้าชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดพิชิต อินเตอร์ มิลาน ทีมคู่ปรับร่วมเมือง 2-1 เมื่อวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา

เกมนี้ อิบราฮิโมวิช เป็นคนทำทั้งสองประตูให้กับทีม โดยชัยชนะนัดนี้ทำให้ "ปีศาจแดง-ดำ" กลับขึ้นไปครองตำแหน่งจ่าฝูงในตารางคะแนน เซเรีย อา ด้วยการมี 12 แต้มเต็ม จากการลงแข่ง 4 นัด ซึ่งถึงแม้เพิ่งอยู่ในช่วงต้นซีซั่น แต่ หัวหอกวัย 39 กะรัต มองว่า ทุกอย่างเป็นไปได้ สำหรับโอกาสคว้าแชมป์ของ มิลาน

"เราคงจะต้องเน้นไปทีละเกม ตอนแรกๆ ที่ผมย้ายกลับมา เป้าหมายของทีมคือการกลับไปเล่นถ้วยยุโรป ซึ่งสุดท้ายเราก็ทำได้ และตอนนี้ผมก็มองว่า มันมีความเป็นไปได้เช่นกันที่เราจะคว้า สคูเด็ตโต้ เพราะถ้าคุณมีความเชื่อ คุณก็สามารถประสบความสำเร็จได้ทั้งนั้น แต่มันก็ยังเหลือเส้นทางอีกยาวไกล" อดีตหัวหอก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าว
 
สำหรับฤดูกาลนี้ อิบราฮิโมวิช ที่เพิ่งฟื้นตัวจากการติดเชื้อไวรัส "โควิด-19" มาหมาดๆ ลงเล่นให้ มิลาน ไปแล้วรวมทุกรายการ 3 นัด ทำได้ถึง 5 ประตู

 

อิบราจัดสอง! มิลานของจริงอัดอินเตอร์ผงาดรั้งฝูงลีก

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กลับมายินตัวจริงเกมลีก ซัดคนเดียวสองลูกพา "ปีศาจแดงดำ" เอซี มิลาน แกร่งกล้าเชือด "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน 2-1 ขึ้นรั้งจ่าฝูงลีกเวลานี้ ในการแข่งขันศึกฟุตบอลกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี คืนวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา
สนาม : จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า

ศึกฟุตบอลกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี คืนวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน ผลงานในลีกสามเกมแรกสุดยอด ชนะมารวด อันโตนิโอ ตอนเต้ นายใหญ่เจ้าบ้านนัดนี้ ขาดผู้เล่นหลายคนทั้งติดโทษแบน บาดเจ็บ และกักตัวโควิด แนวรุกใช้ "ลูกากู-เลาตาโร่" ทะลวงตาข่าย "ปีศาจแดงดำ" เอซี มิลาน ที่ทำได้ดีสามนัดแรกเช่นกัน สเตฟาโน่ ปิโอลี่ โค้ชของทีม จัดผู้เล่นแบบฟูลทีม มี "ซลาตัน อิบราฮิโมวิช" หายจากโควิดกลับมาเป็นตัวจริงเกมลีก

มิลานนำได้นาทีที่ 11 อเล็กซานดาร์ โคลารอฟ ไล่ตามประกบตัว ซลาตัน อิบราฮิโมวิช แล้วไปรวบทำหัวหอกสวีดีชล้มลงไป กรรมการชี้ลูกจุดโทษ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ขอยิงเองซัดไปจังหวะแรกติดเซฟก่อนตามซ้ำเข้าไป

ต่อมานาทีที่ 16 ราฟาเอล เลเอา กระชากบอลมาทางซ้าย หนี ดานิโล่ ดัมโบรซิโอ ครอสบอลข้ามเขตโทษ 6 หลา ทางขวา ซลาตัน อิบราฮิโมวิช วิ่งมาตั้งหน้าเท้าแปผ่านมือ ซาเมียร์ ฮันดาโนวิช นายทวารงูใหญ่ซุกก้นตาข่าย

งูใหญ่ไล่มานาทีที่ 29 อเล็กซานดาร์ โคลารอฟ ลากบอกมาถึงหน้ากรอบเขตโทษไหลบอลให้ อีวาน เปริซิซ หลุดไปตบเข้ากลางบอลมาถึง โรเมลู ลูกากู ซัดตรงเขตโทษ 6 หลาเข้าไปอย่างง่ายดาย

เจ้าบ้านบุกอีกนาทีที่ 32 นิโกโล่ บาเรลล่า จ่ายบอลฝากไว้ที่ โรเมลู ลูกากู ก่อนเจ้าตัววิ่งมารับบอลแล้วยิงปั่นเข้าหากรอบประตูหน้ากรอบเขตโทษ แต่ว่าบอลไม่ห่างตัวมือกาวคู่แข่งรับไว้ได้ จบ 45 นาทีแรก เอซี มิลาน นำ 2-1

ผ่านมาถึงนาทีที่ 60 อีวาน เปริซิซ จ่ายบอลย้อนเข้าหน้ากอรบเขตโทษให้ อาร์ตูโร่ วิดาล หยอดบอลโด่งเข้าไปในเขตโทษประมาฯ 7 หลา อาชราฟ ฮาคิมี่ สปีดมาทิ้งตัวโหม่งบอลกนะเด้งเฉียดหน้าปากประตูออกไปแบบได้ลุ้น

อินเตอร์ยังสู้นาทีที่ 72 อีวาน เปริซิซ โยนบอลจ่กริมสนามทางซ้าย บอลลอยมาในเขตโทษ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ กระโดดเบียดแนวรับมิลานโหม่งแต่บอลทิศทางออกหลังไปแทน

เกมมาถึงนาทีที่ 73 อาร์ตูโร่ วิดาล ส่งบอลขึ้นหน้ามาให้ คริสเตียน อีริคเซ่นส์ จ่ายเร็วบอลไปถูกตัว ซิม่อน เคียร์ กระดอนเข้าทาง โรเมลู ลูกากู หลุดเข้าในเขตโทษแตะบอลหลบ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า นายทวารมิลานแล้วล้มลง กรรมการฟังสัญญานวีเออาร์แล้วเมินจุดโทษแก่งูใหญ่ เพราะมองว่ามือกาวทีมเยือนชักมือกลับก่อนหัวหอกร่างยักษ์ล้ม จบเกม เอซี มิลาน บุกชนะ อินเตอร์ มิลาน 2-1 ขึ้นรั้งจ่าฝูงลีก

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

อินเตอร์ มิลาน (3-5-2): ซาเมียร์ ฮันดาโนวิช,ดานิโล่ ดัมโบรซิโอ,สเตฟาน เดอ ฟราย,อเล็กซานดาร์ โคลารอฟ,อาชราฟ ฮาคิมี่,นิโกโล่ บาเรลล่า,มาร์เซโล่ โบรโซวิช (คริสเตียน อีริคเซ่นส์ น.68),อาร์ตูโร่ วิดาล (อเล็กซิส ซานเชซ น.84),อีวาน เปริซิซ,โรเมลู ลูกากู ,เลาตาโร่ มาร์ติเนซ

เอซี มิลาน (4-2-3-1): จานลุยจิ ดอนนารุมม่า,ดาวิเด้ คาลาเบรีย,ซิม่อน เคียร์,อเลสซิโอ โรมันโยลี่,เตโอ แอร็กน็องเดซ,อิลมาแอล เบนนาเซอร์,ฟร้องค์ เกสซีเย่ (ซานโดร โตนาลี น.87),อเล็กซิส ซาเลมัคเกอร์ (ซามูเอล กาสเตเยโฆ่ น.62),ฮาคาน ชาลาโนกลู,ราฟาเอล เลเอา (ราเด้ ครูนิช น.62),ซลาตัน อิบราฮิโมวิช

พระเจ้าก็ไม่รอด!เอซีมิลานยันซลาตันติดโควิด

พระเจ้าติดโควิด! ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กลายเป็นแข้งซูเปอร์สตาร์รายล่าสุดที่ติดโควิด ทั้งๆ ที่กำลังทำผลงานเยี่ยมในช่วงออกสตาร์ตฤดูกาลใหม่
    เอซี มิลาน สโมสรชั้นนำแห่งศึก กัลโช่ เซเรีย อิตาลี ประกาศยืนยันว่า ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กองหน้าประสบการณ์สูงชาวสวีดิช มีผลตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ออกมาเป็นบวกก่อนที่จะลงเตะกับ โบโด กลิมท์ ในถ้วย ยูโรปา ลีก รอบคัดเลือก รอบสาม คืนวันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายนนี้

    หัวหอกวัย 38 ปี กลายเป็นนักเตะรายล่าสุดของ "ปีศาจแดง-ดำ" ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อจาก ลีโอ ดูอาร์ต กองหลังชาวบราซิเลียน ส่งผลให้ทั้งคู่ต้องแยกไปกักตัว หมดสิทธิ์ลงช่วยทีมเจอ โบโด กลิมท์ และยังจะพลาดเกม เซเรีย อา นัดที่สองของฤดูกาล ที่จะบุกไปเยือน โครโตเน่ ในวันอาทิตย์ที่ 27 ก.ย.นี้ ด้วย

    อิบราฮิโมวิช เพิ่งจรดปากกาต่อสัญญาค้าแข้งในถิ่น ซาน ซิโร่ ออกไปจนกระทั่งสิ้นเดือนมิถุนายน ปี 2021 อย่างเป็นทางการในช่วงต้นเดือน หลังย้ายกลับมาเล่นให้ทัพ "ปีศาจแดง-ดำ" ด้วยสัญญาระยะสั้นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมซัดไป10 ประตู จากการลงเล่นเกมลีก 18 นัด จนช่วย เอซี มิลาน จบอันดับหกในลีก
 
    นอกจากนี้ อิบราฮิโมวิช ยังได้เปลี่ยนหมายเลขเสื้อจาก 21 มาเป็น 11 อีกด้วย ซึ่งถือเป็นเบอร์เดิมที่เจ้าตัวเคยใช้สมัยเล่นให้ มิลาน ช่วงแรกระหว่างปี 2010-2012 และในเกมเปิดซีซั่นก็เหมาคนเดียว 2 ประตูช่วยให้ต้นสังกัดเปิดรัง ซาน ซิโร่ เอาชนะ โบโลญญ่า 2-0 เมื่อวันจันทร์ที่ 21 ก.ย. ที่ผ่านมา

อิบรา-เรบิชลงคู่! มิลานกระทุ้งโบโลญญ่าเก็บชัยรับศึกกัลโช่

"ปีศาจแดงดำ" เอซี มิลาน เพิ่งลุยเกมคัดยูโรปาลีกด้วยฟอร์มสุดยอด นัดนี้แนวรุกใช้คู่หูอย่าง "เรบิช-อิบราฮิโมวิช" ยิงรับทีมเยือน โบโลญญ่า ที่หมายตามคะแนนติดมือออกไปเช่นกัน ในการแข่งขันฟุตบอล กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ฤดูกาล 2020/21 นัดแรก

ปรีวิวฟุตบอล กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ฤดูกาล 2020/21 นัดแรก
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563
เอซี มิลาน – โบโลญญ่า
เวลา : 01.45 น. ถ่ายทอดสด : บีอินส์ สปอร์ต 2

สนาม : ซาน ซิโร่

    ทีม ”รอสโซเนรี่” ฤดูกาลที่แล้วในลีกจบอันดับ 6 ทำให้ต้องมาเล่นยูโรปา ลีก รอบคัดเลือก ซึ่งล่าสุดก็บุกไปชนะ แชมร็อก 2-0 ผ่านเข้ารอบ 3 ต่อไป
    การเสริมทัพน่าสนใจเลยเมื่อได้ยืมตัว 2 ดาวรุ่งอย่าง บราฮิม ดิอาซ และ ซานโดร โตนาลี่ มาจาก เรอัล มาดริด และ เบรสชา ตามลำดับ แต่ก็ปล่อย จาโคโม่ โบนาเวนตูร่า ไปให้ฟิออเรนติน่าเช่นกัน

 สภาพทีมในเกมนี้ สเตฟาโน่ ปิโอลี่ เทรนเนอร์ เอซี มิลาน จะไม่มี มาเตโอ มูซัคคิโอ, อันเดรีย คอนติ, ราฟาเอล เลเอา และ อเลสซิโอ โรมันโยลี่ ที่มีอาการบาดเจ็บทั้งหมด

    อย่างไรก็ตามเจ้าถิ่นจะได้ อันเต้ เรบิช ที่เพิ่งซื้อขาดมาจาก แฟร้งค์เฟิร์ต พ้นโทษแบนกลับมา แนวรับเกมนี้ใช้ ซิมอน เคียร์ จับคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟกับ มัตเตโอ แก็บเบีย กองหลังดาวรุ่ง 

    ฟร้องค์ เกสซีเย่ เป็นมิดฟิลด์คู่กลางกับ อิสมาแอล เบนนาแซร์ โดยวาง ซามู กาสเตเยโฆ, ฮาคาน ชาลาโนกลู และ อันเต้ เรบิช ทำเกมรุกอยู่ข้างหลัง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กองหน้าตัวเก่งที่เพิ่งประเดิมลูกแรกในยูโรปา ลีก นัดล่าสุด

 ทีม ”รอสโซ่บลู” ฤดูกาลที่แล้วในลีกจบอันดับ 12 เกมล่าสุดพวกเขาอุ่นเครื่องเสมอ เอนเตลล่า 0-0 การเสริมทัพยังไม่น่าสนใจเมื่อได้แค่ ลอเรนโซ่ เด ซิลเวสตรี แบ็กขวามาจากโตริโน่รายเดียว

    สภาพทีมในเกมนี้ ซินิซ่า มิไฮโลวิช กุนซือโบโลญญ่าจะไม่มี แกรี่ เมเดล มิดฟิลด์พันธุ์ดุทีมชาติชิลีที่ติดโทษแบนเพียงรายเดียวนอกนั้นถือว่าสมบูรณ์

    ทั้งนี้แนวรับวาง ทาเกฮิโร่ โทมิยาสุ กองหลังทีมชาติญี่ปุ่นจับคู่กับ ดานิโล่ ขนาบข้างด้วย ลอเรนโซ่ เด ซิลเวสตรี และ มิตเชลล์ ไดจ์ส

    นิโคลาส โดมินเกวซ ถอยลงต่ำช่วยแดนกลาง อันเดรีย โปลี สามแนวรุกวาง ริคคาร์โด้ ออร์โซลินี่, โรแบร์โต้ โซเรียโน่ และ มูซ่า บาร์โรว์ สนับสนุนหน้าเป้า โรดริโก้ ปาลาซิโอ หอกอาร์เจนไตน์

รายชื่อนักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม

    มิลาน (4-2-3-1) : จานลุยจิ ดอนนารุมม่า-ดาวิเด้ คาลาเบรีย, ซิมอน เคียร์, มัตเตโอ แก็บเบีย, เตโอ แอร์กน็องเดซ-ฟร้องค์ เกสซีเย่, อิสมาแอล เบนนาแซร์-ซามู กาสเตเยโฆ, ฮาคาน ชาลาโนกลู, อันเต้ เรบิช-ซลาตัน อิบราฮิโมวิช

    เทรนเนอร์ : สเตฟาโน่ ปิโอลี่

    โบโลญญ่า (4-2-3-1) : ลูคัสซ์ สโครุปสกี้-ลอเรนโซ่ เด ซิลเวสตรี, ทาเกฮิโร่ โทมิยาสุ, ดานิโล่, มิตเชลล์ ไดจ์ส-นิโคลาส โดมินเกวซ, อันเดรีย โปลี-ริคคาร์โด้ ออร์โซลินี่, โรแบร์โต้ โซเรียโน่, มูซ่า บาร์โรว์-โรดริโก้ ปาลาซิโอ

    เทรนเนอร์ : ซินิซ่า มิไฮโลวิช

เบนจามิน ซลาตัน! 3 เกร็ดผลงานน่าสนใจของยอดแข้งยิ่งแก่ยิ่งแกร่ง “อิบราฮิโมวิช”

"ผมน่ะก็เหมือน เบนจามิน บัตตัน นั่นแหละ ผมแก่มาตั้งแต่เกิดและตายในสภาพที่เป็นคนอายุน้อย" คือสิ่งที่พักหลังมานี้ อิบราฮิโมวิช จะพูดถึงอยู่บ่อยๆ โดยมันเป็นการสื่อว่าถึงแม้เขาจะอายุ 38 ปีเข้าไปแล้ว แต่เขาก็ยังมีฝีเท้าที่เก่งกาจเหมือนเดิม โดยเฉพาะด้านการทำประตู อย่างเช่นล่าสุดที่เหมา 2 ลูกจนช่วยให้ต้นสังกัดเปิดรัง ซาน ซิโร่ เอาชนะ โบโลญญ่า 2-0 ในเกม กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เมื่อวันจันทร์ที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา
    สำหรับ เบนจามิน บัตตัน นั้น เป็นตัวละครในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง The Curious Case of Benjamin Button ที่มีอายุสวนทางกับคนปกติ กล่าวคือตัวเอกนั้นเกิดมามีสภาพเหมือนคนแก่ และพอผ่านไปเรื่อยๆ เขากลับดูเหมือนคนที่มีอายุน้อยลง ซึ่งมันก็ต้องยอมรับว่า อิบราฮิโมวิช เป็นนักเตะที่ยังมีฝีเท้าดีแม้ว่าจะมีอายุเยอะแล้วจริงๆ โดยตลอดอาชีพของเขานั้นเจ้าตัวสามารถทำผลงานที่ยอดเยี่ยมได้หลายอย่าง และ 3 กรณีนี้ก็เป็นตัวอย่างของเรื่องนั้น

    – ประตูเป็นกอบเป็นกำตลอดอาชีพการเล่น
    อิบราฮิโมวิช สามารถทำประตูในลีกสูงสุเได้แล้ว 23 ซีซั่นติดต่อกัน หลังจากที่ประเดิมสนามในเกมระดับทีมชุดใหญากับ มัลโม่ เมื่อปี 1999 ซึ่งบางคนอาจจะมองว่ามันไม่ใช่ผลงานที่น่าทึ่งอะไรนัก เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ว่าเจ้าตัวเป็นกองหน้าอยู่แล้ว และนักเตะในตำแหน่งนี้ก็ควรจะต้องทำประตูได้เป็นธรรมดา

    อย่างไรก็ตาม ถ้านับเป็นค่าเฉลี่ยแล้วนั้นมันก็ต้องบอกเลยว่าผลงานการทำประตูของเขาน่าทึ่งสุดๆ เพราะตลอดอาชีพการเล่นของเขานั้นดาวเตะชาวสวีดิชจะทำได้ 1 ประตูในทุกๆ 127.7 นาที หลังจากเขาทำไปแล้วถึง 470 ลูก จากการลงเล่น 763 นัดในทุกรายการ ส่วนถ้านับเฉพาะผลงานกับสโมสรใดสโมสรหนึ่งนั้น ตอนที่อยู่กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ถือเป็นตอนที่เขามีค่าเฉลี่ยการใช้เวลาต่อการทำ 1 ประตูดีที่สุด เพราะอยู่ที่ 1 ลูกต่อทุกๆ 91 นาที

    นอกจากนี้ ถ้านับระหว่างปี 2006-2017 เขาก็มีค่าเฉลี่ยการทำประตูในลีกได้ 10 ลูกต่อ 1 ฤดูกาลเลยทีเดียว ส่วนถ้าไม่นับแบบค่าเฉลี่ยแล้วนั้น ช่วงที่เขาจบสกอร์ได้เฉียบคมที่สุดคือตอนอยู่กับ ลอสแองเจลิส แกแล็กซี่ เพราะทำได้ถึง 52 ประตู จากการลงเล่น 56 นัด

    – ยอดกองหน้าแห่ง เซเรีย อา
    ปกติแล้วลีกอิตาลีจะขึ้นชื่อลือชาเรื่องเกมรับจนทำให้กองหน้าของคู่แข่งทำประตูได้ยาก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับ อิบราฮิโมวิช ที่ในอิตาลีผ่านการเล่นให้ทั้ง เอซี มิลาน, ยูเวนตุส และ อินเตอร์ มิลาน โดย 2 ประตูที่ทำได้ในนัดล่าสุดทำให้ตอนนี้เขายิงใน เซเรีย อา ไปแล้ว 132 ประตู สูงเป็นอันดับ 39 ของชาร์ตดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ เซเรีย อา


 

    ถึงกระนั้น แม้ว่าถ้านับจำนวนระตูแล้วเขาจะเป็นอันดับ 39 แต่ในด้านค่าเฉลี่ยการทำประตูต่อ 1 นัดนั้น อิบราฮิโมวิช อยู่ในอันดับที่ 11 หากนับเฉพาะพวกที่ทำประตูใน เซเรีย อา อย่างน้อย 100 ลูก หลังมีค่าเฉลี่ยการทำประตูต่อ 1 นัดหากนับเฉพาะใน เซเรีย อา อยู่ที่ 0.56 ลูกต่อ 1 เกม


 

    นอกจากนี้ อิบราฮิโมวิช ก็เป็นอันดับ 16 ร่วม ในชาร์ตดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ มิลาน แล้วด้วย หลังจากทำไป 70 ประตู จากการลงเล่น 107 นัดในทุกรายการ โดยเขาตามหลัง มาร์โก ซิโมเน่ ที่อยู่อันดับ 15 อยู่เพียง 5 ประตูเท่านั้น และถ้ายิงได้อีก 20 ลูกเขาก็จะเป็นอันดับ 10 ร่วมกับ อัลแบร์โต้ บิกอน ได้ทันที

    – ยิงได้ทุกเมื่อ
    ในบรรดานักเตะที่ค้าแข้งอยู่ในปัจจุบัน มีเพียงแค่ 2 คนที่สามารถทำประตูได้ "ทุกนาที" หรือก็คือตั้งแต่นาทีที่ 1 จนถึงนาทีที่ 90 และ อิบราฮิโมวิช ก็เป็นหนึ่งในนั้น ส่วนอีกคนไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิงคนดังของ ยูเวนตุส

    ทั้งนี้ ถ้าเกิดไม่นับช่วงทดเวลาบาดเจ็บที่เขาทำได้ 17 ประตูแล้วนั้น ช่วงเวลาในแต่ละนาทีที่ อิบราฮิโมวิช ทำประตูได้มากที่สุดคือนาทีที่ 90 เพราะเขาทำได้ถึง 13 ประตูด้วยกัน ส่วนถ้านับแบบแบ่งช่วงละ 15 นาทีแล้วล่ะก็ ช่วงนาทีที่ 61-75 ก็คือช่วงที่เขาผลิตสกอร์โดยรวมได้เยอะที่สุด ที่จำนวน 96 ประตู

ซลาตันเจ๋งกดเบิ้ล! มิลาน ประเดิมหรูถลุงโบโลญญ่า เปิดหัวกัลโช่

 38 ปี แล้วไง! ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ดาวยิงชาวสวีเดนโชว์ความร้ายกาจตะบันคนเดียวสองเม็ด พา เอซี มิลาน เปิดบ้านเอาชนะโบโลญญ่า ที่เหลือ 10 คนท้ายเกม ไปอย่างสนุก 2-0 ประเดิมสามคะแนน ศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา

สนาม : ซาน ซิโร่

    ศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นเกมเปิดสนามระหว่างเจ้าบ้าน เอซี มิลาน รับการมาเยือนของ โบโลญญ่า

    เกมนี้ สเตฟาโน่ ปิโอลี่ วาง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เป็นหน้าเป้า โดยมี ซามู กาสเตเยโฆ, ฮาคาน ชาลาโนกลู และอันเต้ เรบิช สนับสนุน ขณะที่ บราฮิม ดิอาซ และซานโดร โตนาลี่ แข้งตัวใหม่ที่ย้ายมามีชื่อเป็นสำรอง ส่วนทางฝั่ง โบโลญญ่า ของ ซินิซ่า มิไฮโลวิช แมตช์นี้ใช้ โรแบร์โต้ โซเรียโน่ ยืนหน้าต่ำโดยมี โรดริโก้ ปาลาซิโอ ยืนค้ำอยู่แดนหน้า

    เปิดฉากครึ่งแรกมา นาที 12 มิลาน ได้ลุ้นจากจังหวะที่ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ซัดด้วยขวาจากนอกกรอบไปติดบล็อค ดานิโล่ แนวรับโบโลญญ่าได้เตะมุม

    ทีมเยือนตอบโต้ขึ้นมาบ้าง นาที 22 ได้ส่องเข้ากรอบหนแรกจากจังหวะที่ มูซ่า บาร์โรว์ ไหลบอลให้ นิโคลาส โดมิงเกวซ กดด้วยขวาเน้นๆบอลพุ่งแรงแต่ยังไปตรงตัว จานลุยจิ ดอนนารุมม่า รับไว้ได้

    อีก 6 นาทีถัดมา ซลาตัน โชว์สเต็ปพลิกบอลครอสเข้าไปในกรอบ 6 หลา บอลโดนปลายมือ สโครุปสกี้ ปัดออกมาเข้าทาง อิสมาแอล เบนนาแซร์ ยิงหลุดกรอบออกไปแบบน่าเสียดาย

    นาที 38 เอซี มิลาน มาชิงขึ้นนำ 1-0 จนได้ จากจังหวะที่ เตโอ แอร์กน็องเดซ แบ็กซ้ายเปิดบอลมาหน้าประตูให้ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เทกตัวเอาชนะแนวรับทีมเยือนสองคนก่อนสะบัดบอลตกพื้นเบียดเสาเข้าไปอย่างเฉียบขาด

    เกมรุกของ "ปีศาจแดง-ดำ" ยังเหนือกว่าชัดเจน นาที 44 ฮาคาน ชาลาโนกลู ได้โอกาสส่องนอกกรอบแต่จังหวะกดด้วยขวาบอลพุ่งเหินคานออกไป จบครึ่งแรก มิลาน ขึ้นนำ โบโลญญ่า 1-0

    ครึ่งหลัง มิลาน ส่ง อเล็กซิส ซาเลอมาแกร์ส ห้องเครื่องดาวรุ่งลงไปเล่นแทน ซามู กาสเตเยโฆ

    นาที 47 เจ้าถิ่นพลาดได้ลูกที่สองหลัง ซาเลอมาแกร์ส ผ่านบอลเข้ากลางให้ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หวดด้วยขวาเน้นๆ บอลพุ่งแรงจนนายด่านโบโลญญ่าต้องปัดออกไป

    นาที 52 "ปีศาจแดงดำ" มาได้ลูกที่จุดโทษหลัง อิสมาแอล เบนนาแซร์ โดนริคคาร์โด้ ออร์โซลินี่ทำฟาวลด์ในเขตโทษ ผู้ตัดสินเช็กจาก วีเออาร์ แล้วชี้เป็นจุดโทษ ก่อนที่ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช จะซัดด้วยขวาเสยมุมบนเข้าไปอย่างเฉียบขาด เป็นประตูที่สองของดาวยิงวัย 38 ปี ในเกมนี้

    นาที 63 ซลาตัน อิบราฮิโมวิช พลาดโอกาสทำแฮตทริกอย่างน่าเสียดาย หลังรับบอลจาก ฮาคาน ชาลาโนกลู ก่อนจะแตะหลบ ลูคัสซ์ สโครุปสกี้ ไปได้แล้วแต่ยิงไม่ดีหลุดกรอบอย่างเสียดาย

    นาที 84 โบโลญญ่า พลาดโอกาสตีไข่แตกหลัง นิโคล่า ซานโซเน่ ซัดด้วยซ้ายไปติดเซฟของ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า อีก 3 นาทีถัดมา ลอเรนโซ่ เด ซิลเวสตรี แบ็กขวาเติมขึ้นมาซัดบอลหลุดกรอบออกไป

    นาที 88 มิตเชลล์ ไดจ์ส แนวรับทีมเยือนมาโดนใบเหลืองที่สองเป็นใบแดงไล่ออกจากสนาม กระนั้นนาทีสุดท้าย ทาเกฮิโร่ โทมิยาสุ แนวรับทีมเยือนได้โขกกลางประตูแต่บอลก็ไม่พ้นมือของ ลูคัสซ์ สโครุปสกี้ –

    จบเกม เอซี มิลาน คว้าชัยเหนือ โบโลญญ่าที่ เหลือ 10 คน ท้ายเกม 2-0 คว้าสามแต้มสำคัญได้สำเร็จ

    รายชื่อ11ผู้เล่นทั้งสองทีม

        เอซี มิลาน (4-2-3-1) : จานลุยจิ ดอนนารุมม่า – ดาวิเด้ คาลาเบรีย, ซิมอน เคียร์, มัตเตโอ แก็บเบีย, เตโอ แอร์กน็องเดซ – ฟร้องค์ เกสซีเย่, อิสมาแอล เบนนาแซร์ – ซามู กาสเตเยโฆ, ฮาคาน ชาลาโนกลู, อันเต้ เรบิช- ซลาตัน อิบราฮิโมวิช

        เทรนเนอร์ : สเตฟาโน่ ปิโอลี่

        โบโลญญ่า (4-2-3-1) : ลูคัสซ์ สโครุปสกี้ – ลอเรนโซ่ เด ซิลเวสตรี, ทาเกฮิโร่ โทมิยาสุ, ดานิโล่, มิตเชลล์ ไดจ์ส – นิโคลาส โดมินเกวซ, เยอร์ดี้ เชาเท่น – ริคคาร์โด้ ออร์โซลินี่, โรแบร์โต้ โซเรียโน่, มูซ่า บาร์โรว์ – โรดริโก้ ปาลาซิโอ

        เทรนเนอร์ : ซินิซ่า มิไฮโลวิช

 

ซลาตันโวลั่นถ้าอายุ20คงซัดไป4ลูกแล้ว

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หัวหอก เอซี มิลาน ระบุ วันนี้ตนคงจะยิงได้ถึง 4 ประตูถ้าหากมีอายุ 20 ปี หลังล่าสุดทำ 2 ลูกในเกมที่ "รอสโซเนรี่" ทุบ โบโลญญ่า 2-0 พร้อมบอกว่าเกมนี้ฟอร์มของ มิลาน ยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กองหน้าคนดังของ เอซี มิลาน กล่าวว่าถ้าตนอายุสัก 20 ปีแล้วนั้น ตนก็น่าจะทำประตูได้ถึง 4 ลูกด้วยซ้ำ หลังจากล่าสุดเหมาคนเดียว 2 ประตูจนช่วยให้ต้นสังกัดเปิดรัง ซาน ซิโร่ เอาชนะ โบโลญญ่า 2-0 ในเกม กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เมื่อวันจันทร์ที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา

อิบราฮิโมวิช ทำประตูแรกให้มิลานในนาทีที่ 35 ก่อนที่ดาวยิงวัย 38 ปีจะมายิงลูกจุดโทษตอกฝาโลงฝังทีมเยือนในนาทีที่ 51 โดยในช่วง 2 นาทีสุดท้าย โบโลญญ่า เหลือผู้เล่น 10 คนด้วยจากการที่ มิตเชลล์ ไดจ์ส โดนใบเหลืองที่ 2 เป็นใบแดงไล่ออกจากสนาม

อิบราฮิโมวิช เผยว่า "ผมสบายดี ผมกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง นี่เป็นเพียงการลงเล่นเกมอย่างเป็นทางการนัดที่ 2 เท่านั้น วันนี้เราชนะ แต่ที่จริงผมมีโอกาสทำประตูได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ ถ้าวันนี้ผมอายุสัก 20 ปีแล้วล่ะก็ ผมก็น่าจะยิงเพิ่มได้อีก 2 ลูกไปแล้ว ผมก็เหมือน เบนจามิน บัตตัน (ตัวละครในภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง The Curious Case of Benjamin Button ที่มีอายุสวนทางกับคนปกติ) นั่นแหละ ผมแก่มาตั้งแต่เกิดและตายในสภาพที่เป็นคนอายุน้อย"

 "ฟอร์มของเรายังไม่ถึงขั้นว่าดีแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม เรายังทำพลาดในบางครั้งทั้งที่ถ้าเป็นปกติแล้วเราจะไม่พลาดแบบนั้น วันนี้สิ่งที่สำคัญคือการเก็บชัยชนะให้ได้ตั้งแต่นัดแรก (ในลีก) และการออกสตาร์ตให้ดี เป้าหมายของเราคือการทำผลงานให้ดีกว่าเมื่อฤดูกาลก่อน บรรดานักเตะเยาวชนทำผลงานกันได้ดี พวกเขาทำงานอย่างหนัก, ฟังคนอื่น, มีวินัย, รู้ว่าคุณต้องยอมเจ็บปวด ต้องทำงานอย่างหนักและมีสมาธิกับการทำงานทุกวัน"

"ฤดูกาลนี่เราต้องคิดกันไปแบบเกมต่อเกมและทำผลงานให้ได้ดี, เล่นอย่างมั่นใจ, เล่นให้เหมือนกับว่าทุกนัดมันเป็นนัดชิงชนะเลิษ เป้าหมายของเราคือการจบฤดูกาลด้วยการได้อันดับสูงๆ ในตารางคะแนน ผมชื่นชอบกับการที่ตัวเองมีหน้าที่ที่ต้องทำ ความกดดันที่หนักหนาสาหัสที่สุดมันมาจากตัวผมเอง ผมไม่อยากให้คนมาพูดเรื่องอายุของผม ผมอยากให้ทุกคนตัดสินผมด้วยเกณฑ์ระดับเดียวกัน ผมไม่อยากให้คนมาเห็นใจหรือชมผมเพียงเพราะผมอายุ 38 ปีหรอก"

ซลาตันเผยโควิดกล้ามากที่มาท้าสู้กับตน!

หลังจากมีการตรวจพบว่าเขาติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วนั้น ล่าสุด ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ก็บอกเองว่าไม่ได้ตั้งตัวกับเรื่องนี้ เพราะ 1 วันก่อนที่จะถูกตรวจพบว่าติดเชื้อนั้นผลตรวจยังเป็นลบอยู่เลย แต่ก็ระบุเช่นกันว่า โควิด-19 คิดผิดที่ท้าสู้กับตน พร้อมบอกเช่นกันว่าที่จริงตอนนี้ยังไม่มีอาการที่แสดงถึงการติดเชื้อเลย
    ซลาตัน อิบราฮิโมวิช หัวหอกคนดังของ เอซี มิลาน สโมสรชั้นนำของศึก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี กล่าวว่าตนถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แบบกะทันหัน เพราะ 1 วันก่อนผลตรวจยังแสดงให้เห็นว่าไม่ติดเชื้ออยู่เลย พร้อมกับบอกว่า โควิด-19 คิดผิดแล้วที่มาหาเรื่องกับตน

    อิบราฮิโมวิช เพิ่งเปิดฉากการเล่นเกมลีกในฤดูกาล 2020-21 ได้อย่างสวยหรูด้วยการเหมา 2 ประตูจนช่วยให้ทีมเปิดรัง ซาน ซิโร่ เอาชนะ โบโลญญ่า 2-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา แต่เขาก็มาติดเชื้อร้ายแบบกะทันหัน โดยที่จริงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เลโอ ดูอาร์ต เซนเตอร์แบ็ก "รอสโซเนรี่" ก็ติดเชื้อนี้เหมือนกัน

    ดาวเตะชาวสวีดิชเผยผ่าน ทวิตเตอร์ เครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดฮิตว่า "ที่จริงเมื่อวานนี้ผมมีผลตรวจเชื้อโควิดเป็นลบ (หมายถึงไม่ติดเชื้อ) แต่วันนี้ผลตรวจกลับเป็นบวก (หมายถึงติดเชื้อ) ถึงกระนั้นผมก็ไม่มีอาการของโรคเลยนะ ผมบอกเลยว่า โควิด กล้ามากที่มาท้าสู้กับผม พวกมันคิดผิดแล้ว"