ฟิลลิปส์แนะคล็อปป์เซ็นอดีตนายด่านแมนยูร่วมทัพ

เควิน ฟิลลิปส์ อดีตหัวหอกชาวอังกฤษ ระบุ เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ ลิเวอร์พูล ควรจะเอา เบน ฟอสเตอร์ นายทวาร วัตฟอร์ด มาร่วมทีม ชี้ ฟอสเตอร์ มีทั้งฝีมือและประสบการณ์ที่ดีกว่า แจ็ค บัตแลนด์ ผู้รักษาประตู สโต๊ค ซึ่งมีข่าวกับ "หงส์แดง" อย่างต่อเนื่อง
    เควิน ฟิลลิปส์ อดีตกองหน้าชาวอังกฤษแสดงความเชื่อว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งวงการ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ควรจะดึง เบน ฟอสเตอร์ ผู้รักษาประตู วัตฟอร์ด ทีมในศึก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ไปร่วมทัพ

    ลิเวอร์พูล ตกเป็นข่าวเรื่องช็อปในตำแหน่งนายทวารหนักพอตัวในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ มือกาวตัวจริงเจ็บไหล่จนอาจจะต้องพักถึง 5 สัปดาห์ ขณะที่ อาเดรียน นายทวารชาวสแปนิชที่ได้รับโอกาสลงเฝ้าเสาแทนในเกมล่าสุดที่ "หงส์แดง" เจอกับ แอสตัน วิลล่า ก็มีชอตเล่นพลาดจนทำให้ทีมแพ้ 2-7 ในท้ายที่สุด

    ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ แจ็ค บัตแลนด์ นายด่าน สโต๊ค ซิตี้ คือคนที่มีข่าวกับ ลิเวอร์พูล มากที่สุด โดยถึงแม้ตลาดการเสริมทัพกับทีมจากต่างแดนจะปิดทำการไปแล้ว แต่ทีมในเกาะอังกฤษยังสามารถทำการซื้อ-ขายนักเตะกันเองได้อยู่เพียงแต่ต้องเป็นทีมจากลีกคนระดับเท่านั้น ซึ่งตลาดดังกล่าวก็เปิดทำการจนถึงวันศุกร์ที่ 16 ตุลาคมนี้

    ฟิลลิปส์ เผยว่า "ถ้าเกิดผมเป็น เจอร์เก้น คล็อปป์ แล้วล่ะก็ ผมก็คงจะเอา เบน ฟอสเตอร์ มาร่วมทัพ ถ้าคุณให้ผมเป็นคนคุมทีมแล้วล่ะก็ ผมก็จะยินดีเอา เบน ฟอสเตอร์ มาอยู่ในทีมของผมทุกเมื่อ ฤดูกาลก่อนเขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกับ วัตฟอร์ด ต่อให้สุดท้ายแล้วพวกเขาจะตกชั้นก็ตาม ฟอสเตอร์ เป็นคนที่มีฝีมือดีต่อให้จะอายุเท่านี้แล้วก็ตาม ถ้าเป็นผมน่ะผมก็จะเลือกเขามากกว่า แจ็ค บัตแลนด์ แน่ๆ ฟอสเตอร์ มีความคงเส้นคงวามากกว่า และยังมีประสบการณ์เยอะกว่าด้วย"เควิน ฟิลลิปส์ อดีตหัวหอกชาวอังกฤษ ระบุ เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ ลิเวอร์พูล ควรจะเอา เบน ฟอสเตอร์ นายทวาร วัตฟอร์ด มาร่วมทีม ชี้ ฟอสเตอร์ มีทั้งฝีมือและประสบการณ์ที่ดีกว่า แจ็ค บัตแลนด์ ผู้รักษาประตู สโต๊ค ซึ่งมีข่าวกับ "หงส์แดง" อย่างต่อเนื่อง
    เควิน ฟิลลิปส์ อดีตกองหน้าชาวอังกฤษแสดงความเชื่อว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งวงการ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ควรจะดึง เบน ฟอสเตอร์ ผู้รักษาประตู วัตฟอร์ด ทีมในศึก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ไปร่วมทัพ

    ลิเวอร์พูล ตกเป็นข่าวเรื่องช็อปในตำแหน่งนายทวารหนักพอตัวในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ มือกาวตัวจริงเจ็บไหล่จนอาจจะต้องพักถึง 5 สัปดาห์ ขณะที่ อาเดรียน นายทวารชาวสแปนิชที่ได้รับโอกาสลงเฝ้าเสาแทนในเกมล่าสุดที่ "หงส์แดง" เจอกับ แอสตัน วิลล่า ก็มีชอตเล่นพลาดจนทำให้ทีมแพ้ 2-7 ในท้ายที่สุด

    ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ แจ็ค บัตแลนด์ นายด่าน สโต๊ค ซิตี้ คือคนที่มีข่าวกับ ลิเวอร์พูล มากที่สุด โดยถึงแม้ตลาดการเสริมทัพกับทีมจากต่างแดนจะปิดทำการไปแล้ว แต่ทีมในเกาะอังกฤษยังสามารถทำการซื้อ-ขายนักเตะกันเองได้อยู่เพียงแต่ต้องเป็นทีมจากลีกคนระดับเท่านั้น ซึ่งตลาดดังกล่าวก็เปิดทำการจนถึงวันศุกร์ที่ 16 ตุลาคมนี้

    ฟิลลิปส์ เผยว่า "ถ้าเกิดผมเป็น เจอร์เก้น คล็อปป์ แล้วล่ะก็ ผมก็คงจะเอา เบน ฟอสเตอร์ มาร่วมทัพ ถ้าคุณให้ผมเป็นคนคุมทีมแล้วล่ะก็ ผมก็จะยินดีเอา เบน ฟอสเตอร์ มาอยู่ในทีมของผมทุกเมื่อ ฤดูกาลก่อนเขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกับ วัตฟอร์ด ต่อให้สุดท้ายแล้วพวกเขาจะตกชั้นก็ตาม ฟอสเตอร์ เป็นคนที่มีฝีมือดีต่อให้จะอายุเท่านี้แล้วก็ตาม ถ้าเป็นผมน่ะผมก็จะเลือกเขามากกว่า แจ็ค บัตแลนด์ แน่ๆ ฟอสเตอร์ มีความคงเส้นคงวามากกว่า และยังมีประสบการณ์เยอะกว่าด้วย"อ

 

คนดูแลสนามจวกซูเนสส์หลังอ้างวิลล่าตั้งใจทำหญ้าสูง

เอ็ดดี้ มิลล์ส คนดูแลสนามของ แอสตัน วิลล่า ทนไม่ไหวจนออกมาจวก แกรม ซูเนสส์ ตำนานแข้ง ลิเวอร์พูล แบบรุนแรง หลังจากที่ ซูเนสส์ บอกว่า วิลล่า ตั้งใจให้หญ้ามันสูงกว่าปกติเพื่อชะลอเกมการเล่นของ "หงส์แดง" โดยบอกด้วยว่าคำพูดของ ซูเนสส์ เป็นการดูหมิ่นคนในตำแหน่งนี้ทั่วทั้งประเทศ

แกรม ซูเนสส์ ตำนานกองกลาง ลิเวอร์พูล โดน เอ็ดดี้ มิลล์ส เจ้าหน้าที่ดูแลสนามแข่งของ แอสตัน วิลล่า ด่าอย่างรุนแรง หลังจากที่ ซูเนสส์ แสดงความเห็นว่า "หงส์แดง" ออกไปแพ้ "สิงห์ผงาด" 2-7 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา เพราะหญ้าของสนาม วิลล่า พาร์ค มันสูงเกินไป

ผลการแข่งขันดังกล่าวทำให้หลายคนช็อกไปตามๆ กัน เพราะตอนแรกกูรูเกือบทุกคนฟันธงว่า ลิเวอร์พูล จะเก็บชัยชนะได้ด้วยซ้ำ และมันก็ทำให้ทีมของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ แพ้ในลีกเป็นนัดแรกของซีซั่นนี้ หลังจาก 3 นัดก่อนหน้านั้นเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด

ทั้งนี้ หลังจบเกมไปแล้ว ซูเนสส์ แสดงมุมมองว่า วิลล่า ตั้งใจทำให้หญ้าในสนามแข่งมันสูงกว่าปกติ เพื่อที่จะช่วยชะลอเกมการเล่นของ ลิเวอร์พูล เนื่องจากแชมป์เก่าของ พรีเมียร์ลีก ชอบต่อบอลกันแบบรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม คำพูดดังกล่าวก็ทำให้ มิลล์ส โมโหอย่างหนัก
 
"การแสดงความเห็นแบบไร้การศึกษาของ แกรม ซูเนสส์ เกี่ยวกับสนามแข่งของ วิลล่า มันถือเป็นการดูถูกเจ้าหน้าที่ดูแลสนามทั่วทั้งประเทศที่ต่างก็ทำงานอย่างหลังขดหลังแข็ง พวกเขาทุ่มเทหัวใจและจิตวิญญ่าณให้กับงานที่น่าภาคภูมิใจของพวกเขานะโว้ย! #ไอ้ซื่อบื้อ" มิลล์ส ระบุ

 

มากัธเหน็บเป๊ป-คล็อปป์ไม่ได้เก่งอย่างที่คนสรรเสริญ

เฟลิกซ์ มากัธ ระบุ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ไม่ได้เก่งกาจเเหมือนที่คนสรรเสริญกัน โดยที่เขาประสบความสำเร็จอย่างมากตอนคุม บาร์เซโลน่า มันเป็นเพราะเขามี ลิโอเนล เมสซี่ อยู่ในทีมต่างหาก แถมยังบอกอีกว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ได้ดีแค่เพราะการเสริมทัพ ไม่ใช่เพราะแท็กติก
    เฟลิกซ์ มากัธ อดีตเทรนเนอร์ชาวเยอรมัน กล่าวว่าที่จริง โจเซป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ได้เก่งกาจจนถึงระดับที่หลายคนยกย่อง โดยบอกว่าสไตล์ ติกี้-ตาก้า อันเลื่องชื่อของ กวาร์ดิโอล่า เป็นระบบที่น่าเบื่อสุดๆ

    กวาร์ดิโอล่า สร้างชื่อได้เป็นอย่างมากในตอนที่คุม บาร์เซโลน่า หลังจากพาทีมครองได้แชมป์ได้หลายรายการ อย่างเช่นแชมป์ ลา ลีกา 3 สมัย, โกปา เดล เรย์ 2 ครั้ง และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 หน เป็นต้น ซึ่งในช่วงนั้นเขาก็ให้ทีมเล่นสไตล์ครองบอลเป็นหลักแล้วค่อยๆ ต่อบอลขึ้นเกมหรือที่รู้จักกันในชื่อ ติกี้-ตาก้า

    มากัธ เผยว่า "คนที่ทำให้ทีม (บาร์เซโลน่า) ได้แชมป์คือ (ลิโอเนล) เมสซี่ ไม่ใช่ กวาร์ดิโอล่า ถ้าเกิดไม่มี เมสซี่ แล้วล่ะก็ ระบบนี้ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จสำหรับ กวาร์ดิโอล่า หรอก ถ้าระบบของเขามันดีจริงๆ เขาก็ต้องได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ร่วมกับ บาเยิร์น หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตั้งนานแล้วสิ ติกี้-ตาก้า มันจะได้ผลก็ต่อเมื่อนักเตะของคุณมีเทคนิคเหนือกว่านักเตะของคู่แข่ง"

    "สำหรับคนที่นั่งดูเกมการแข่งขันแล้วน่ะการครองบอลไปเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อสิ้นดี และทีมชั้นนำเขาไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นกันหรอก ในความคิดของผมนั้น กวาร์ดิโอล่า หมกมุ่นกับการพยายามที่จะเอาชนะตั้งแต่ก่อนลงเล่นมากเกินไป แท็กติกแบบนั้นมันมักจะทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด ซึ่งมันก็ส่งผลให้ทีมไม่ประสบความสำเร็จตามที่ควรจะเป็นด้วย"

    อดีตนายใหญ่ บาเยิร์น มิวนิค ชุดแชมป์ บุนเดสลีกา กับ เดเอฟเบ-โพคาล รายการละ 2 สมัย ยังบอกด้วยว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะมีแท็กติกดี แต่เป็นเพราะการเสริมทัพ หลังจากช่วงที่ผ่านมาหลายคนชื่นชมกับระบบ เกเก้นเพรสซิ่ง ของ คล็อปป์ อย่างมาก "หลักๆ แล้วสาเหตุที่ทำให้ระบบของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ประสบความสำเร็จได้มันเป็นเพราะการตัดสินใจในเรื่องส่วนตัวของเขา ไม่ใช่เพราะแท็กติก"

    "ถ้าเกิด ลิเวอร์พูล ไม่ควักเงินซื้อผู้รักษาประตูอย่าง อลีสซง ด้วยราคา 60 ล้านยูโร และไม่จ่ายเงิน 85 ล้านยูโรเพื่อซื้อ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ แล้วล่ะก็ ระบบนี้ก็ไม่น่าจะประสบความสำเร็จอย่างมากเหมือนกัน สมัยก่อนผมเรียกระบบนี้ด้วยคำทั่วไปว่าการสวนกลับเร็ว แต่เดี๋ยวนี้มันกลับถูกเรียกว่า -เกเก้นเพรสซิ่ง- ไปซะแล้ว (สื่อว่าระบบของ คล็อปป์ เป็นแค่การสวนกลับเร็วทั่วไป แต่คนเอามาตั้งชื่อเฉพาะให้ดูเก๋ไก๋)"

เชื่อใจอาเดรียน!คล็อปป์ไม่คิดคว้านายด่านร่วมทัพ

เดอะ มิร์เรอร์ สื่อของเกาะอังกฤษ ตีข่าว เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล ไม่มีความตั้งใจที่จะเซ็นสัญญากับนายด่านคนไหน แม้กระทั่ง แจ็ค บัตแลนด์ ที่มีข่าวกับทีมในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยเขาเชื่อว่า อาเดรียน ไม่ใช่ต้นเหตุหลักที่ทำให้ทีมแพ้ วิลล่า และยังพอใจกับฟอร์มโดยรวมของนายทวารชาวสแปนิชอยู่
   
เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งวงการ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไม่คิดที่จะคว้าตัวผู้รักษาประตูมาร่วมทัพในตลาดซื้อ-ขายนักเตะ รอบนี้แต่อย่างใด ตามรายงานของ เดอะ มิร์เรอร์ สื่อชั้นนำของเมืองผู้ดี

"หงส์แดง" ต้องกลุ้มกับสถานการณ์ในตำแหน่งนายทวารในช่วงนี้ หลังจากที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ มือกาวจอมหนึบเจ็บไหล่จนทำให้อาจจะต้องพักถึง 5 สัปดาห์ ซึ่งถึงแม้ ลิเวอร์พูล จะมี อาเดรียน เป็นนายด่านมือ 2 แต่เจ้าตัวก็มีจังหวะเล่นพลาดจนทำให้ทีมเสียประตูแรกในเกมที่พ่าย แอสตัน วิลล่น 2-7 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา จนทำให้หลายคนมองว่าเขาไม่ดีพอที่จะเฝ้าเสาให้ทีม

เรื่องดังกล่าวทำให้ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล มีข่าวกับ แจ็ค บัตแลนด์ นายด่าน สโต๊ค ซิตี้ เยอะพอตัว โดยถึงแม้ตลาดช็อปกับลีกในต่างประเทศจะปิดทำการไปแล้ว แต่ตามกฎของอังกฤษนั้นแต่ละทีมภายในเมืองผู้ดียังทำการซื้อ-ขายนักเตะระหว่างกันได้จนถึงวัที่ 16 ตุลาคมนี้ เพียงแต่ต้องไม่ได้เป็นดีลของทีมในลีกระดับเดียวกันเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ สโต๊ค ก็อยู่ใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ด้วย

อย่างไรก็ตาม เดอะ มิร์เรอร์ เผยว่า คล็อปป์ พอใจกับตัวเลือกในตำแหน่งผู้รักษาประตูในตอนนี้แล้ว โดยเขายังคิดด้วยว่า อาเดรียน ไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้ทีมพ่าย วิลล่า แบบขาดลอย เพราะวันนั้นมีนักเตะหลายคนที่เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานเหมือนกัน และที่จริงกุนซือชาวเยอรมันก็ประทับใจกับฟอร์มโดยรวมของ อาเดรียน เช่นกัน

ปืนแม่นซัดหงส์ร่วงกลางอากาศ ! ผ่า 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล พ่ายจุดโทษ อาร์เซน่อล

ลิเวอร์พูล โดน อาร์เซน่อล บุกมาถอนแค้นได้สำเร็จ โดยทัพ "เดอะ กันเนอร์ส" เอาชนะจุดโทษ "หงส์แดง" 5-4 หลังเสมอกันในเวลา 90 นาที 0-0 ที่สนามแอนฟิลด์ ในศึกคาราบาว คัพ รอบ 4 หรือรอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา

เกมนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ จัดผู้เล่นชุดผสมผสานระหว่างนักเตะมากประสบการณ์, ดาวรุ่ง และแข้งสำรอง โดยแมตช์นี้เจ้าบ้าน และทีมเยือน สร้างโอกาสในการยิงประตูไม่ค่อยมากนัก แต่เกมก็ไม่ได้ดูน่าเบื่อจนเกินไป ที่สำคัญนักเตะดาวรุ่งหลายคนของทั้งสองทีม โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นและมีอนาคตสดใสรออยู่

ขณะที่ ดีโอโก้ โชต้า ดูเหมือนว่าจะปรับตัวเข้ากรับระบบการเล่นของ "เดอะ เร้ดส์" ได้เป็นอย่างดี ขณะที่ ทาคูมิ มินามิโนะ ก็พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของ เนโก วิลเลี่ยมส์ และ รีส วิลเลี่ยมส์ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วน แบร์นด์ เลโน่ นายด่านอาร์เซน่อล ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นและคู่ควรกับคำว่าโกลระดับโลกแล้ว

1. มินามิโนะ ยิ่งเล่นยิ่งพัฒนา

ต้องยอมรับว่าเกมนี้แนวทางการเล่นของ ลิเวอร์พูล ที่เป็นสไตล์เฮฟวี่ เมทัล อย่างที่คอลูกหนังได้เห็นกันเป็นประจำไม่มีให้เห็นเลย แถมจะออกแนวป็อบที่ดูแล้วไม่น่าตื่นเต้นเร้าใจเท่าไหร่ ที่สำคัญโอกาสในการสร้างความหวาดเสียวใส่ อาร์เซน่อล ก็มีน้อยนิดเหลือเกิน

อย่างไรก็ตามหากจะมองหาผู้เล่น "หงส์แดง" ที่ทำผลงานได้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด และเต็มไปด้วยการเล่นที่มุ่งมั่นนั่นก็คงหนีไม่พ้นฟอร์มของ ทาคุมิ มินามิโนะ โดย ดาวเตะชาวญี่ปุ่น มีส่วนในการเล่นเกมรุกของทีมอย่างมาก และมักจะยืนถูกที่ถูกเวลาเสมอ

มินามิโนะเกือบมีชื่อเป็นผู้ทำประตูอีกครั้ง หลังจากที่ตามซ้ำจังหวะที่ ดีโอโก้ โชต้า โหม่งไปโดน แบร์นด์ เลโน่ ปัดออกมา แต่น่าเสียดายที่ดันแม่นคานไม่งั้นคงทำให้ ลิเวอร์พูล กุมความได้เปรียบทันที และจะช่วยให้ทีมลงมาเล่นครึ่งหลังได้สบายมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม   

อย่างไรก็ตามหากมองในแง่บวกเกมนี้ มินามิโนะ สามารถประสานงานกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ โชต้า ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะความคล่องตัวและความไวของเขาสร้างความปั่นป่วนให้กับเกมรับ "เดอะ กันเนอร์ส" พอสมควร ฉะนั้น คล็อปป์ คงมองเห็นแล้วว่า ดาวเตะเลือดซามูไร เป็นทีเด็ดทีพร้อมลงสนามช่วยทีมในเกมพรีเมียร์ลีก และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แน่นอน
    
2.  เลโน่ ฮีโร่ของปืน

 สำหรับเกมนี้ อาร์เซน่อล ทำผลงานได้ดีพอสมควรซึ่งฟอร์มในแมตช์นี้คงทำให้ มิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีม รู้สึกตื่นเต้นสุดๆ กับนักเตะดาวรุ่งที่ได้รับโอกาสลงสนาม ขณะที่ แบร์นด์ เลโน่ นายทวารชาวเยอรมัน แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาคือโกลระดับโลกของจริง

เกมนี้นายด่านเลือดด๊อยท์ช ยืนตำแหน่งได้ดี มีความนิ่ง และยังรวดเร็วว่องไว โดยเซฟจังหวะสำคัญๆ ในครึ่งแรกช่วงทดเจ็บด้วยการพุ่งปัดลูกโหม่งระยะแค่ 10 หลาของ โชต้า เอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ ก่อนที่ มินามิโนะ จะตามซ้ำบอลชนคานดังสนั่น

ยังไม่หมดแค่นั้นในครึ่งหลัง เลโน่ โชว์ซูเปอร์เซฟจากจังหวะยิงระยะเผาขนของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ก่อนที่จะทำผลงานเหนียวหนึบอีกครั้งด้วยการป้องกันจังหวะยิงของ โชต้า นอกจากนี้ยังมีจังหวะโชว์นิ่งด้วยการเซฟลูกยิงของ เนโก วิลเลี่ยมส์ ได้อยู่หมัด

ขณะที่ในช่วงดวลจุดโทษตัดสิน เลโน่ ก็แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมในการอ่านทางบอลของคู่แข่ง และมีส่วนสำคัญในการนำ อาร์เซน่อล ทะลุเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อเซฟจังหวะการยิงของ ดิว็อค โอริกี้ และ แฮร์รี่ วิลสัน ได้เรียบวุธ ฉะนั้นคงไม่แปลกหากจะยกให้เขาเป็นนักเตะที่ฟอร์มเด่นที่สุดของ "ไอ้ปืนใหญ่" ในเกมนี้

3.  โชต้า ฟอร์มสดสมราคา

แม้ว่าเกมนี้ ลิเวอร์พูล จะจอดป้ายแค่รอบ 4 หรือรอบ 16 ทีมสุดท้ายก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ คล็อปป์ น่าจะยังยิ้มได้ก็คือฟอร์มการเล่นของ ดีโอโก้ โชต้า เพราะนักเตะเริ่มปรับตัวกับระบบการเล่นของ "หงส์แดง" ได้แล้ว และผลิตผลงานที่ยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง

ก่อนหน้านี้ โชต้า เพิ่งจะได้ลงเล่นเปิดตัวในเกมพรีเมียร์ลีกให้กับ ลิเวอร์พูล พร้อมกับโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นแม้จะลงสนามในช่วงท้ายเกมก็ตาม และยังยิงประตูได้ด้วย โดย กุนซือชาวเยอรมัน ตัดสินใจใช้งานเขาอีกครั้งในการเจอกับคู่ต่อกรเดิม และนักเตะก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

โชต้า เล่นได้อย่างโดดเด่นพยายามวิ่งหาตำแหน่ง และหาจังหวะยิงประตูได้พอสมควร ขณะเดียวกันก็ยังใช้ความสามารถเฉพาะตัวป่วนเกมรับของทีมเยือน ที่สำคัญเขามีโอกาสโหม่งจะๆ ในระยะ 10 หลา แต่น่าเสียดายที่ เลโน่ ปฏิกิริยาว่องไว ปัดได้ซะก่อน และยังมีโอกาสอีก 1-2 ครั้งแต่ก็ไม่ผ่านมือ โกลเลือดด๊อยท์ช

ผลงานของเขาในเกมนี้น่าจะเป็นการจุดประกายความหวังที่จะได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง แม้ในเวลานี้อาจจะยากที่จะสอดแทรก 3 แนวรุก โม ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ แต่ในอนาคตหากสามคนนี้ทำผลงานไม่คงเส้นคงวา มีสิทธิ์ที่จะโดน โชต้า แย่งตำแหน่งเอาได้ง่ายๆ
   
4. ดับเบิลวิลเลี่ยมส์โชว์ฟอร์มสุดยอด

เนโก วิลเลี่ยมส์ กลับมาตั้งสติและโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในแมตช์นี้ หลังจากที่นักเตะเพิ่งจะโดนแฟนบอล "หงส์แดง" บางรายโจมตีอย่างหนักในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับฟอร์มการเล่นของเขาในช่วงที่ผ่านมา และแมตช์นี้เจ้าตัวพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีศักยภาพมากแค่ไหน

วิลเลี่ยมส์ ได้โอกาสลงประจำแบ็กขวาตั้งแต่ต้นเกม และทำผลงานได้โดดเด่นโดยเฉพาะจังหวะการเปิดบอลให้ โชต้า ยิงประตู แต่น่าเสียดายที่ไม่เข้า ในส่วนของเกมรับแมตช์นี้ ดาวเตะเลือดเวลส์ เล่นได้ดีไม่มีที่ติสามารถจัดการกับ บูคาโย่ ซาก้า กับ นิโกล่าส์ เปเป้ ได้อยู่หมัด

โดยจังหวะเกมรับที่โดดเด่นของ วิลเลี่ยมส์ ก็คือการวิ่งเข้ามาสกัดในเขตโทษก่อนที่ ซาก้า จะได้ง้างเท้ายิง ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดและเต็มไปด้วยความมั่นใจของนักเตะ งานนี้ถือว่า วิลเลี่ยมส์ สามารถสอบผ่านเรื่องแรงกดดันได้แล้ว

ขณะที่ รีส วิลเลี่ยมส์ บอกเลยว่าเป็นกำลังเป็นศิษย์รักคนใหม่ของ คล็อปป์ เพราะผลงานของเขาถือว่าแข็งแกร่งอย่างมากในการจับคู่กับ ฟาน ไดค์ ที่สำคัญนักเตะเล่นด้วยความเยือกเย็นทั้งๆ ที่อายุเพียง 19 ปีเท่านั้นแถมจัดการกับลูกโด่งได้ดีเยี่ยม ด้วยสถิติชนะดวลลูกกลางอากาศ 5 หน ซึ่งมากกว่าทุกคนในสนาม    

ฉะนั้น 2 ศรีวิลเลี่ยมส์ ซึ่งไม่ใช่พี่น้องกันแต่นามสกุลเหมือนกัน มีอนาคตสดใสภายใต้การปลุกปั่นของ คล็อปป์ และหากทั้งสองคนยังคงพัฒนาฝีเท้า รวมทั้งสภาพจิตใจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น มีโอกาสที่พวกเขาจะได้ลงเล่นเป็นตัวหลักของทีมในอนาคตแน่นอน
 
5. ขุมกำลังเชิงรุก "หงส์แดง" น่าประทับใจ

หากตัดเรื่องความพ่ายแพ้ออกไป ต้องบอกเลยว่า ลิเวอร์พูล "ทีมสอง" ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมพอสมควร โดยเกมนี้ คล็อปป์ ตั้งใจที่จะใช้ผู้เล่นมากประสบการณ์ผสมผสานกับนักเตะดาวรุ่ง และผู้เล่นสำรอง ซึ่งทีมชุดนี้แสดงให้เห็นศักยภาพที่ใช้ได้เลยทีเดียว

โดยเฉพาะแผงกองกลาง ซึ่ง "เดอะ เร้ดส์" อุดมไปด้วยแข้งประสบการณ์ และมีศักยภาพชั้นยอด แต่งานนี้ คล็อปป์ ตัดสินใจให้โอกาส มาร์โก กรูยิช, แฮร์รี่ วิลสัน และ เคอร์ติส โจนส์ ได้ลงทำหน้าที่ประสานงานร่วมกัน ซึ่งทั้งสามคนก็โชว์ฟอร์มได้ดีไม่ทำให้นายใหญ่แดนไส้กรอกต้องผิดหวัง

ทั้งสามคนสามารถครองบอลได้นิ่ง, คุมพื้นที่ในแดนกลางได้อย่างยอดเยี่ยม และยังสามารถกดดันแผนหลังของอาร์เซน่อลได้ตลอด โดยเฉพาะในรายของ กรูยิช ที่พัฒนาฟอร์มการเล่นอย่างต่อเนื่อง โดยเขามีส่วนสำคัญในการเชื่อมเกม และพยายามผ่านบอลเข้าไปในพื้นที่สุดท้าย นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลต่อเกมสูงทั้งรับและรุก สามารถแท็กเกิ้ลชนะถึง 5 ครั้ง พร้อมทั้งมีโอกาสลุ้นทำประตูด้วย

ฉะนั้นด้วยผลงานแบบนี้คงทำให้ คล็อปป์ พร้อมที่จะให้โอกาส กรูยิช ได้พิสูจน์ศักยภาพของตัวเองอีกแน่นอน แต่จะเป็นเกมไหน พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ต้องจับตาดูกันต่อไป

 

 

 

 

 

คาราเกอร์เปิดชื่อ2แข้งที่ลิเวอร์พูลไม่ควรซื้อ-ชี้ไม่ดีพอเล่นให้

คล็อปป์ฟังไว้! เจมี่ คาราเกอร์ ตำนานกองหลัง ลิเวอร์พูล ออกมาแสดงความเห็นว่าสองแข้งพรีเมียร์ฟอร์มดีอย่าง แจ็ค กรีลิช และ วิลเฟร็ด ซาฮา เป็นนักเตะที่มีศักยภาพไม่มากพอที่จะมาเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล
   
เจมี่ คาราเกอร์ ตำนานกองหลังของ ลิเวอร์พูล ทีมแชมป์เก่าพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แสดงความเห็นว่า แจ็ค กรีลิช มิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษของ แอสตัน วิลล่า และ วิลเฟร็ด ซาฮา กองหน้าจาก คริสตัล พาเลซ มีศักยภาพไม่มากพอที่จะมาเล่นให้กับ "หงส์แดง" แม้ว่าจะโชว์ฟอร์มดีกับต้นสังกัดจนกลายเป็นแข้งเนื้อหอมก็ตาม

    กรีลิช วัย 25 ปี โชว์ผลงานได้อย่างโดดเด่นให้กับทีม "สิงห์ผงาด" ในซีซั่นที่แล้วจนมีส่วนสำคัญช่วยทีมอยู่รอดตกชั้นได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับหลายทีมชั้นนำโดยเฉพาะ แมนฯ ยูไนเต็ด, แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล โดยมีรายงานว่าค่าตัวของ กรีลิช ถูกตั้งไว้สูงถึง 80 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,200 ล้านบาท) เลยทีเดียว ขณะที่ ซาฮา วัย 27 ปี เป็นอีกหนึ่งแข้งที่ทำผลงานได้ดีเช่นกัน โดยในฤดูกาลนี้เจ้าตัวยิงไปแล้ว 3 ประตูจากการลงเล่น 2 เกมในพรีเมียร์ลีก

    อย่างไรก็ตามล่าสุด คาราเกอร์ ออกโรงเตือนอดีตต้นสังกัดว่าควรหลีกเลี่ยงการคว้านักเตะทั้งสองคนนี้ในช่วงตลาดซื้อ-ขายนักเตะ "ผมคิดว่าชื่อชั้นของ กรีลิช นั้นอยู่ในระดับเดียวกับ ซาฮา ที่คุณจะต้องทุ่มเงินในระดับ 60 หรือ 70 ล้านปอนด์ในการคว้าตัวพวกเขา" คาราเกอร์ กล่าวผ่าน สกาย สปอร์ต สื่อจากอังกฤษ

    "แน่นอนผมไม่คิดว่าพวกเขามีดีพอที่จะเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล หรือ แมนฯ ซิตี้  หรอกนะ และแม้กระทั่งทีมที่อยู่ต่ำกว่าท็อปโฟร์ ผมไม่เชื่อว่าทีมเหล่านี้จะยอมทุ่มเงินเพื่อให้ได้ตัวพวกเขามา"

 

 

คล็อปป์ตอบชัดลิเวอร์พูลจำเป็นต้องซื้อกองหลังเพิ่มหรือไม่?

ในขณะที่หลายคนมองว่าตำแหน่งแนวรับของ ลิเวอร์พูล ดูน่าเป็นห่วง แต่ล่าสุด เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือของทีมก็บอกเองว่าตนไม่น่าจะเสริมทัพในตำแหน่งดังกล่าว โดยบอกด้วยว่าสถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่ได้รุนแรงมากนัก

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล ยอดสโมสรแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กล่าวว่าทีมขงตนไม่น่าจะทำการเสริมทัพใดๆ เพิ่มอีกแล้วในตลาดการซื้อ-ขายนักเตะรอบนี้ แม้ว่าหลายคนจะมองว่าแผงหลังของพวกเขาดูน่าเป็นห่วงก็ตาม

โจ โกเมซ กับ โฌแอล มาติป 2 เซนเตอร์แบ็กอาชีพของ ลิเวอร์พูล โดนอาการบาดเจ็บเล่นงานจนทำให้พวกเขาลงเล่นไม่ไหว และหลายคนก็มองว่ามันอาจจะส่งผลเสียกับเกมรับของทีมได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ คล็อปป์ ก็จำเป็นต้องถอย ฟาบินโญ่ มิดฟิลด์ชาวบราซิเลียนมายืนเป็นกองหลังคู่กับ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ในเกมที่เจอกับ เชลซี เหมือนกัน แต่ ฟาบินโญ่ ก็ทำผลงานได้โดดเด่นเหนือความคาดหมายของหลายคนจนทำให้ทีมชนะไป 2-0

คล็อปป์ เผยว่า "พูดกันตามตรงนะ ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักหรอก ในตำแหน่งเซนเตอร์-ฮาล์ฟน่ะเรามีตัวเลือกดีพออยู่แล้วจากการที่มีทั้ง 3 เซนเตอร์-ฮาล์ฟ ชั้นยอดให้ใช้งาน, มีดาวรุ่งเป็นแบ็กอัพและยังมี ฟาบินโญ่ ที่พอจะช่วยทีมได้ด้วยถ้าเราต้องการจะพึ่งพาเขา"

"วันหนึ่งจู่ๆ 3 แนวรับของเราก็ได้รับบาดเจ็บและต้องพักแป๊บหนึ่ง แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่เราไม่สามารถแก้ไขเรื่องนั้นผ่านทางตลาดการเสริมทัพได้ มันทำอย่างนั้นไม่ได้ และเราจะไม่พยายามทำอย่างนั้นด้วย ถ้ามันไม่เกิดสถานการณ์ที่ร้ายแรงกว่านี้แล้วล่ะก็ เราก็จะไม่แม้แต่พยายามที่จะซื้อกองหลังด้วยซ้ำ ถ้าเกิดสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไปแล้วล่ะก็ มันก็ต้องบอกเลยว่า ไม่ มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมคิดว่าขุมกำลังของเรามีสภาพดีอยู่แล้ว และเราจะมารอดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น"

ประเดิมโชต้า! “โจนส์-มินามิโนะ” เบิ้ลลิเวอร์พูลยำลินคอล์นลิ่วชนปืนใหญ่

เหล่าสาวก "เดอะ ค็อป" หน้าบานเต็มที่หลังขุนพลทัพสำรอง "หงส์แดง" โชว์ฟอร์มร้อนแรงบุกถล่ม ลินคอล์น ซิตี้ 7-2 จากผลงานสุดฮอตของ "โจนส์-มินามิโนะ" เหมาคนละ 2 ประตูแถม ดีโอโก้ โชต้า ลงประเดิมสนามพาทีมผ่านเข้าไปฟัด อาร์เซน่อล ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไป ในศึกฟุตบอลคาราบาว คัพ รอบ 3 คืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
สนาม : แอลเอ็นอีอาร์ สเตเดี้ยม

    ”ดิ อิมพ์ส” ลินคอล์น ซิตี้ รองจ่าฝูง ลีก วัน ของกุนซือ ไมเคิ่ล แอ็พเพิลตัน ฟอร์มร้อนแรงชนะมา 5 เกมติดรวมทุกรายการส่วนถ้วยนี้ผ่านเข้ารอบมาด้วยการบุกถล่ม แบร็ดฟอร์ด ซิตี้ 5-0

    ทางด้าน "หงส์แดง" นายใหญ่ เจอร์เกน คล็อปป์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยชนะมา 3 ติดต่อกันรวมทุกรายการ โดยหลังจากที่พลาดท่าแพ้จุดโทษอาร์เซน่อลใน คอมมิวนิตี้ ชิลด์ หงส์แดง ก็คืนฟอร์มเก่ง ถล่มแบล็คพูล 7-2, ก่อนที่จะเฉือน ลีดส์ ยูไนเต็ด 4-3 และชนะ เชลซี 2-0

  5 นาทีผ่านเป็น ลิเวอร์พูล ครองบอลบุกตามคาดได้ลุ้นทำประตูจากจังหวะซัดของ เคอร์ติส โจนส์ และลูกเปิดทางซ้ายของ คอสคาส ซิมิกาส แต่ยังไม่ดีพอผ่านมือ อเล็กซ์ พาลเมอร์

    ต่อมานาทีที่ 9 "หงส์แดง" ขึ้นนำอย่างรวดเร็วจากความผิดพลาดของ แม็กซ์ เมลเบิร์น ไปเสียเหลี่ยมหวด เคอร์ติส โจนส์ เสียฟรีคิกระยะอันตรายหน้าหัวกะโหลกฝั่งขวา เชอร์ดาน ชากิรี่ วิ่งมาปั่นด้วยซ้ายบอลโค้งเสียบใต้คานตุงตาข่ายงามหยด

 นาทีที่ 17 ทีมเยือน หวิดบวกสกอร์เพิ่มเป็นจังหวะทำชิ่งทางฝั่งซ้าย มาร์โก กรูยิช ดีดคืนให้ คอสคาส ซิมิกาส ครอสบอลเข้าในมาตกใส่ เคอร์ติส โจนส์ แต่งได้ช่องตะบันด้วยซ้ายหลุดออกหลังไป

    ไม่ต้องรอนานนาทีต่อมา "หงส์แดง" ทิ้งห่างออกไปจากจังหวะแจกโชคของ ลูอิส มอนส์ม่า จ่ายบอลประมาทไปติดขา ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ก่อนเด้งมาเข้าทาง ทาคูมิ มินามิโนะ เก็บส้มหล่นปั่นตามน้ำด้วยขวาโค้งผ่านมือ อเล็กซ์ พาลเมอร์ เสียบเสาไกลสุดสวย

    โอกาสลุ้นครั้งแรกของทัพ ”ดิ อิมพ์ส” เป็นลูกฉาบฉวยแนวรับ ลิเวอร์พูล เหม่อโดนเล่นฟรีคิกเร็ว เจมส์ โจนส์ หลุดขึ้นมาทางซ้ายก่อนตวัดเข้าในไปติดปลายมือ อาเดรียน ผวาปัดทิ้งออกหลัง

    27 นาทีผ่าน จ้าถิ่น เริ่มขยับเกมรุกมากขึ้นเป็น จอร์ช กรานท์ วิ่งสอดหลุดกับดักล้ำหน้าก่อนป้ายเข้าถึง แอนโทนี่ สคัลลี่ ซัดไม่ดีบอลเลยมาถึง คอสคาส ซิมิกาส ตามสกัดออกหลังไปได้ทัน

แต่แล้วนาทีที่ 32 กลายเป็น "หงส์แดง" บวกสกอร์เพิ่มจากบอลยาวของ รีห์ส วิลเลียมส์ วางแทยงเข้าเขตโทษตกใส่หัว ดิว็อค โอริกี้ โขกตั้งให้ เคอร์ติส โจนส์ ดึงเข้าขวาปั่นโค้งผ่าน ทิโมธี อีโยม่า ซุกก้นตาข่าย

    3 นาทีต่อมา ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ขอลุ้นเองบ้างลองซัดด้วยซ้ายระยะร่วม 30 หลาบอลพุ่งเรียดเกือบเบียดเสาแรกแต่ อเล็กซ์ พาลเมอร์ พุ่งไปปัดทิ้งออกหลังหวุดหวิด

    ยังไม่หนำใจนาทีต่อมา ลิเวอร์พูล ยำใหญ่คราวนี้ ลูอิส มอนส์ม่า โหม่งสกัดไม่ขาดบอลมาเข้าทาง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ แทงเร็วให้ เคอร์ติส โจนส์ ชิงเหลี่ยมหมุนตัวเทิร์นบอลก่อนปั่นด้วยขวาแฉลบ ทิโมธี อีโยม่า เข้าไปไม่มีเหลือ

    ท้ายครึ่งแรก ลินคอล์น ซิตี้ พยายามฮึดสู้ ทิโมธี อีโยม่า แอบมาเก็บบอลทางริมเส้นฝั่งขวาหลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปหยอดให้ เจมส์ โจนส์ โฉบมาโขกคนเดียวเข้าข้างตาข่ายอย่างน่าเสียดาย

    ช่วงทดเจ็บ ทาโย อีดัน ปีกตัวความหวังของ ”ดิ อิมพ์ส” หลุดเข้ามาถึงในกรอบเขตโทษโชว์ลีลาหลอก รีห์ส วิลเลียมส์ ได้ลองยัดมุมแคบด้วยซ้ายก็ยังไม่ผ่านมือ อาเดรียน ตะปปทิ้งเหมือนเดิม

    หมดครึ่งเวลาแรก ลินคอล์น ซิตี้ 0 ลิเวอร์พูล 4

    ครึ่งหลังเริ่มได้ไม่ถึงนาที ทีมเยือน ยังคงไร้ปราณีหนีออกไปอีกจากการใช้  เพรสซิ่ง แย่งบอลมาได้สุดท้ายเป็น เคอร์ติส โจนส์ แทงช่องให้ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ หลุดเดี่ยวเข้าไปทิ่มติดเซฟ อเล็กซ์ พาลเมอร์ โชคดีเด้งมาเข้าทาง ทาคูมิ มินามิโนะ สลับขาแปร์เข้าไปไม่พลาด

    นาทีที่ 48 อาเดรียน ไม่น้อยหน้าขอโชว์บ้างออกมาตัดลูกหลุดเดี่ยวของ แฮร์รี่ แอนเดอร์สัน ก่อนกลับไปยืนตำแหน่งปัดบอลออกจากเท้า ทาโย อีดัน

 มีพลาดเหมือนกันนาทีที่ 53 ทาโย อีดัน ตักบอลเข้ากรอบเขตโทษ รีห์ส วิลเลียมส์ โดดสกัดไม่ดีเลยมาถึง แอนโทนี่ สคัลลี่ ตามเก็บตกแปร์ไปติดขา อาเดรียน บล็อคช่วยทีมเอาไว้ได้

    นาทีที่ 61 เจ้าถิ่นมาได้ประตูปลุกใจเป็น เนโก วิลเลี่ยมส์ เล่นยากโดนฉกกลางสนามโดน จอร์ช กรานท์ พาบอลย้อนทางขึ้นมาจ่ายเข้าในให้ ทาโย อีดัน ดึงเข้าขวาทิ้งตัวแปร์เรียดผ่าน อาเดรียน เข้าไป

    เกมเปิดแลกสุดมันส์ 4 นาทีต่อมา ลิเวอร์พูล มาได้ประตูครบครึ่งโหลเป็น ลูอิส มอนส์ม่า คนเดิมเคลียร์บอลไม่ขาดมาตกใส่เท้า มาร์โก กรูยิช ก้มหน้ากดหน้าเขตโทษติดปลายนิ้ว เล็กซ์ พาลเมอร์ ไหลเข้าประตู

    นาทีต่อมา ลินคอล์น ซิตี้ แลกหมัดทันควัน จากลูกเตะมุมทางฝั่งซ้ายโยนลึกไปเสาไกลให้ ลูอิส มอนส์ม่า แก้ตัววิ่งสลัดตัวประกบขึ้นตัดหน้า เนโก วิลเลี่ยมส์ โขกบอลชนใต้คานเด้งเข้าประตูไป

    70 นาทีผ่าน ทิโมธี อีโยม่า ไปเข้าพรวดกระแทก ทาคูมิ มินามิโนะ ร่วงรงไปแทบจะบนเส้น 18 หลา ฟาบินโญ่ รับหน้าที่ปั่นด้วยขวาบอลเฉี่ยวเสาไกลหลุดออกไปได้ลุ้น

    15 นาทีสุดท้าย ดีโอโก้ โชต้า เกือบเบิกสกอร์แรกในนัดประเดิมสนามรับบอลจาก นาบี เกอิต้า แต่งหาช่องหักข้อด้วยขวาบอลผ่านมือ อเล็กซ์ พาลเมอร์ ไปชนเสาเด้งออกมา

    2 นาทีต่อมา เจ้าถิ่น เริ่มมองเห็นจุดอ่อนในแนวรับ ลิเวอร์พูล แอนโทนี่ สคัลลี่ ถอยมาเก็บบอลทางซ้าย หยอดเข้าในให้ ทีโอดอร์ อาคิบัลด์ เอาชนะ เนโก วิลเลี่ยมส์ เสียดายโขกไปตรงตัว อาเดรียน

    ท้ายเกม "หงส์แดง" มาปิดกล่องจากจังหวะสวนกลับ ทาคูมิ มินามิโนะ พาบอลลากลุยจากครึ่งสนามก่อนแทงออกขวาให้ ดิว็อค โอริกี้ วิ่งมาแปร์ตามน้ำผ่านมือ อเล็กซ์ พาลเมอร์ ไม่พลาด

  จบเกม ลินคอล์น ซิตี้ 2 ลิเวอร์พูล 7 ลูกทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ ทำผลงานได้ตามเป้าผ่านเข้าไปฟัด อาร์เซน่อล ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไป
 
รายชื่อนักเตะที่ลงสนามตัวจริง

    ลินคอล์น ซิตี้ (4-3-3) : อเล็กซ์ พาลเมอร์ – อเล็กซ์ แบรดลีย์, ทิโมธี อีโยม่า, ลูอิส มอนส์ม่า, แม็กซ์ เมลเบิร์น – ทาโย อีดัน, เลียม บริดคัตต์ (ทอม ฮอปเปอร์ น.60), เจมส์ โจนส์ (คอเนอร์ แม็คเกรนเลส น.60) – แฮร์รี่ แอนเดอร์สัน (ทีโอดอร์ อาคิบัลด์ น.67), แอนโทนี่ สคัลลี่, จอร์ช กรานท์

เทรนเนอร์ : ไมเคิ่ล แอ็พเพิลตัน

    ลิเวอร์พูล (4-3-3) : อาเดรียน – เนโก วิลเลี่ยมส์, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ (ฟาบินโญ่ น.46), รีห์ส วิลเลียมส์, คอสคาส ซิมิกาส, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ (ดีโอโก้ โชต้า น.57), เคอร์ติส โจนส์, มาร์โก กรูยิช  – เชอร์ดาน ชากิรี่ (นาบี เกอิต้า น.75), ดิว็อค โอริกี้, ทาคูมิ มินามิโนะ

เทรนเนอร์ : เจอร์เกน คล็อปป์

ผู้ตัดสิน : โทนี่ แฮร์ริงตัน

มาเน่อย่างพลิ้ว,โชต้าโชว์ยิง!ตัดเกรดแข้งลิเวอร์พูลหลังพลิกอัดอาร์เซน่อล

"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล โกย 9 คะแนนเต็ม จากการลงแข่ง 3 นัดในศึก พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ หลังล่าสุดโชว์ฟอร์มแกร่ง เปิดรัง แอนฟิลด์ พลิกสอย อาร์เซน่อล 3-1 เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งต้องบอกเลยว่า เป็นเกมที่ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เล่นได้เหนือกว่าและครองเกมได้แบบเบ็ดเสร็จชัดเจน แถมแข้งใหม่อย่าง ดิโอโก้ โชต้า ลงสำรองมากดประตูปิดท้ายด้วย และนี่คือผลสอบของนักเตะ "หงส์แดง" แต่ละคนในแมตช์นี้
 
11 ผู้เล่นตัวจริง

 – อลีสซง เบ็คเกอร์ : 8
แม้เก็บคลีนชีตไม่ได้ แต่ถือเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมสำหรับนายประตูเลือดแซมบ้า เพราะนอกจากป้องกันลูกยิงที่ ลากาแซ็ตต์ หลุดไปส่องเดี่ยวๆ ถึงสองครั้งแล้ว ยังมีการอ่านเกมที่เฉียบขาด ออกมาตัดบอลสวยๆ ให้เห็น  

 – เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ : 7.5
เป็นวันที่เติมเกมรุกได้ดี เปิดบอลให้ โรเบิร์ตสัน ทำประตูพลิกขึ้นนำ 2-1 แต่เกมรับยังไม่ค่อยโอเค มีเช็คล้ำหน้าพลาด

 – โจ โกเมซ : 7.5
ไม่ได้เจองานหนักมาก แต่เป็นเกมที่เจ้าตัวเล่นได้แข็งแกร่งทีเดียว เก็บได้หมดทั้งลูกภาคพื้นดินและกลางอากาศ โดยเฉพาะจังหวะตามสกัดบอลก่อนไปถึง เอ็นเคเทียห์ ช่วงท้ายเกมถือว่าเข้าตามาก

 – เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ (C) : 7.5
อาจจะป้องกันไม่ดีเท่าที่ควรในจังหวะเสียประตูให้ อาร์เซน่อล แต่หลังจากนั้นคุมเกมรับได้ดีตามมาตรฐาน แถมมีวางบอลยาวสวยๆ หลายครั้ง

 – แอนดี้ โรเบิร์ตสัน : 7
พลาดแบบไม่น่าให้อภัยในจังหวะเสียประตูให้ทีมเยือน แต่หลังจากนั้นทำได้เยี่ยมแบบไร้ที่ติทั้งรับและรุก แถมเป็นคนเติมขึ้นไปทำประตูช่วยทีมพลิกนำ 2-1

 – ฟาบินโญ่ : 8
เด่นมากในแดนกลาง ช่วยตัดเกมของ อาร์เซน่อล สวยๆ หลายครั้ง และมีสถิติแท็กเกิ้ลชนะ 100% (3/3)

 – นาบี เกอิต้า : 7
มีส่วนร่วมกับเกมไม่น้อย โดยเฉพาะจังหวะได้ประตูตีเสมอ 1-1 มีความขยันและทุ่มเทดีเยี่ยม แถมมีสถิติผ่านบอลเข้าเป้าถึง 98% ซึ่งมากสุดในสนาม (นับเฉพาะผู้เล่นที่ลงตัวจริงทั้งสองฝั่ง)

 – จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม : 7
ไม่โดดเด่นมาก แต่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี แถมมีการผ่านบอลเข้าพื้นที่สุดท้ายสวยๆ ให้เห็น

 – โมฮาเหม็ด ซาลาห์ : 7
อาจจะเงียบๆ ในช่วงแรก แต่มีส่วนร่วมกับประตูตีเสมอ 1-1 ที่ลุยเข้าไปยิงติดเซฟ ก่อนที่ มาเน่ จะตามซ้ำเข้าไป หลังจากนั้นก็มีจังหวะสร้างโอกาสสวยๆ ให้เพื่อน แม้ช่วงท้ายเกมมีหนึ่งครั้งที่ไปกั๊กจังหวะกับ โชต้า อย่างน่าเสียดายก็ตาม

 – ซาดิโอ มาเน่ : 8
เด่นสุดในแนวรุก ใช้ความเร็วเล่นงานแนวรับ "ไอ้ปืนใหญ่" ได้แทบตลอด และเป็นคนช่วยดึงทีมกลับมาสู่เกมได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการทำประตูตีเสมอ 1-1  
 
 – โรเบร์โต้ ฟีร์มีโน่ : 7
แม้ยังไร้สกอร์ แต่ทำหน้าที่เป็นตัวผ่านบอล เปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้ดีทีเดียว 

 

สำรองที่ได้ลงเล่น
 
 – เจมส์ มิลเนอร์ (แทน เกอิต้า น. 80) : 6
มีส่วนร่วมกับเกมไม่มาก

 – ดิโอโก้ โชต้า (แทน มาเน่ น. 80) : 7
ถูกเปลี่ยนตัวลงสนามช่วง 10 นาทีสุดท้าย แต่มีส่วนร่วมกับเกมไม่น้อยเลยทีเดียว และใช้เวลาอยู่ในสนามแค่ 8 นาที ก็สามารถทำประตูแรกในสีเสื้อ "หงส์แดง" ได้สำเร็จ
 
 – ทาคุมิ มินามิโนะ (แทน ฟีร์มีโน่ น. 90+1) : –
ไม่สามารถให้คะแนนได้

เผยเหตุผล “คล็อปป์” ตวาดแข้งสำรองลิเวอร์พูล

เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือลิเวอร์พูล ไม่ปลื้มนักเตะสำรองบางคนที่แสดงอาการดีใจที่เห็น อันเดรียส คริสเตนเซ่น แนวรับเชลซี โดนไล่ออกก่อนหมดครึ่งแรกในเกมที่ "หงส์แดง" กำราบ "สิงห์บลูส์" 2-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พร้อมตวาดใส่ลูกทีมอย่าหาทำพฤติกรรมซ้ำเติมเพื่อนร่วมอาชีพอีกเด็ดขาด

เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันของ ลิเวอร์พูล ตำหนิลูกทีมของตนในซุ้มม้านั่งสำรองที่แสดงอาการดีใจหลังเห็น อันเดรียส คริสเตนเซ่น เซนเตอร์แบ็กชาวเดนมาร์ก โดนไล่ออก ในเกมที่ "หงส์แดง" บุกทุบ เชลซี 2-0 เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา

แมตช์นี้ค่อนข้างสูสีกันมากๆ แม้แชมป์เก่าจะครองเกมได้เหนือกว่า อย่างไรก็ตามจุดเปลี่ยนของเกมเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่นาทีจะหมดเวลาครึ่งแรก เมื่อ คริสเตนเซ่น เจตนาดึง ซาดิโอ มาเน่ ที่กำลังจะหลุดเข้าไปดวลกับ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า นายทวารเจ้าบ้าน ทำให้ พอล เทียร์นี่ย์ กรรมการเป่าเป็นลูกฟาวล์ โดยตอนแรกนักเตะโดนใบเหลืองเท่านั้น

อย่างไรก็ตามเมื่อมีการเช็ควีเออาร์อย่างละเอียดแล้ว เทียร์นี่ย์ ตัดสินใจเปลี่ยนคำตัดสินโดยแจกใบแดงแทน ทำให้ "สิงโตน้ำเงินคราม" ต้องมีผู้เล่นเหลือแค่ 10 คนก่อนพักครึ่ง ที่สำคัญในจังหวะนั้นเองมีนักเตะ "เดอะ เร้ดส์" บางคนที่นั่งอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรอง แสดงอาการดีใจออกนอกหน้าทั้งปรบมือและส่งเสียงเฮ

สำหรับพฤติกรรมดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับ คล็อปป์ อย่างมาก โดย จูเลี่ยน ลอเรนส์ ผู้สื่อข่าวที่อยู่ในสนามรายงานว่าในช่วงเวลานั้น กุนซือเลือดด๊อยท์ช ที่ยืนอยู่บริเวณเส้นข้างสนามหันกลับไปมองรอบๆ และตะโกนว่า "พวกนายเป็นบ้าอะไรกัน ? เราไม่เคยทำพฤติกรรมแบบนั้น โอเคไหม ?"

ทั้งนี้จากการที่ คริสเตนเซ่น โดนไล่ออกทำให้รูปเกมของ เชลซี ที่เป็นรองอยู่แล้วยิ่งอาการหนักเข้าไปใหญ่ และในครึ่งหลังพลพรรค "เครื่องจักรสีแดง" จัดการซัด 2 ประตูจาก มาเน่ ทำให้พวกเขาบุกมาเก็บ 3 คะแนนสำคัญถึงสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์

ก่อนหน้าซุ้มม้านั่งสำรองของ ลิเวอร์พูล เคยมีปัญหากับ แฟร้งค์ แลมพาร์ด มาแล้วในเกมที่ เชลซี แพ้ ลิเวอร์พูล เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา โดย "แลมพ์ส" ไม่พอใจการแสดงพฤติกรรมที่ดีใจออกนอกหน้าของสตาฟฟ์ "หงส์แดง" จนเปิดสงครามน้ำลายกับ เปปิน ลินเดอร์ส ผู้ช่วยโค้ช จนทำให้ คล็อปป์ ต้องเข้ามาห้ามทำ ก่อนจะโดนลูกหลงไปด้วย