งานงอกอีกแล้ว!รมต.อิตาลีสงสัยโด้แหกกฎโควิด

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ งานงอกซะแล้วหลังจากโดนรมต.กีฬาอิตาลี ตั้งข้อสงสัยอาจจะแหกกฎมาตรการป้องการการแพร่ระบาดโควิด-19 หลังนักเตะเดินทางจากดินแดนฝอยทอง กลับเมืองมะกะโรนี ทั้งๆ ที่มีเชื้อไวรัสมรณะ ด้าน ยูเวนตุส ปกป้องทันทียืนยัน "ซีอาร์7" ได้รับไฟเขียวจากสาธารณสุขให้กลับบ้านในอิตาลีได้

วินเชนโซ่ สปาดาโฟร่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกีฬาของประเทศอิตาลี เชื่อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซูเปอร์สตาร์ลูกหนัง "ม้าลาย" ยูเวนตุส ยักษ์ใหญ่แห่งศึกกัลโช่ เซเรีย อา  แหกมาตรการกักตัวเนื่องจากเดินทางจากประเทศโปรตุเกส กลับไปอิตาลี

กัปตันทีมชาติโปรตุเกส ซึ่งติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังจากผลตรวจเป็นบวกเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาขณะที่อยู่รับใช้ทัพ "ฝอยทอง" ทำให้นักเตะขึ้นเครื่องบินพยาบาลกลับไปยังบ้านพักส่วนตัว เพื่อเข้ารับการกักตัวตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสมรณะ

อย่างไรก็ตาม สตาร์ลูกหนังวัย 35 ปี ถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการเดินทางกลับไปยังบัานพักในอิตาลี ทั้งๆ ที่มีเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยเหตุนี้ สปาดาโฟร่า เชื่อว่าพฤติกรรมของ โรนัลโด้ อาจละเมิดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 "หากไม่มีเจ้าหน้าที่จากสาธารณสุข ผมคิดว่าเขาฝ่าฝืนมาตรการป้องกันความปลอดภัย (จากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19)"

ขณะที่ ยูเวนตุส แถลงการณ์ยืนยันปกป้อง โรนัลโด้ โดยระบุว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอนุญาตให้สตาร์ลูกหนังของพวกเขาเดินทางกลับมาดินแดนมะกะโรนี "คริสเตียโน่ โรนัลโด้กลับมาประเทศอิตาลีด้วยเครื่องบินของเจ้าหน้าที่การแพทย์ตามการร้องขอจากนักเตะไปยังหน่วยงานด้านสาธารณสุข และเขาจะเข้ารับการกักตัวอยู่ที่บ้านทันที"

 

ชวดดวลเมสซี่! โรนัลโด้ผลตรวจโควิด-19ยังเป็นบวก

แฟนบอลส่อพลาดโอกาสที่จะได้เห็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ลงดวลกับ ลิโอเนล เมสซี่ หลังผลกการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ของดาวเตะชาวโปรตุกีสยังมีผลเป็นบวกทำให้เขาต้องใช้เวลากักตัวเพิ่ม ซึ่งไม่ทันลงเล่นเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดต่อไปกับ บาร์เซโลน่า

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กองหน้าทีมชาติโปรตุเกสของ ยูเวนตุส ยังมีผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นบวก ซึ่งทำให้เขากลับมาไม่ทันลงเล่นในเกมที่ทีม "ม้าลาย" จะพบ บาร์เซโลน่า ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม จี นัดสอง วันพุธที่ 28 ตุลาคมนี้ ตามรายงานจาก มาร์ก้า สื่อชื่อดังของสเปน เมื่อวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา

สตาร์วัย 35 ปี ถูกตรวจพบติดเชื้อไวรัสดังกล่าวเมื่อวันอังคารที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ระหว่างอยู่ในภารกิจรับใช้ทีมชาติโปรตุเกส ก่อนที่ล่าสุดเจ้าตัวจะเข้ารับการตรวจหาเชื้ออีกครั้งปรากฏว่ายังมีผลเป็นบวก

ซึ่งตามมาตรการของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ระบุว่า นักเตะคนใดก็ตามที่ติดเชื้อ "โควิด-19" จำเป็นต้องมีผลตรวจรอบใหม่ออกมาเป็นลบอย่างน้อย 7 วัน ถึงจะกลับมาลงเตะเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือ ยูโรปา ลีก ได้ นั่นทำให้เขาจะพลาดลงช่วยทีม "ม้าลาย" พบ บาร์เซโลน่า ของ ลิโอเนล เมสซี่ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม จี นัดสอง วันพุธที่ 28 ตุลาคมนี้แน่นอนแล้ว

อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า ยูเวนตุส จะขออนุญาติยูฟ่าเพื่อให้นักเตะตรวจหาเชื้ออีกครั้งภายใน 48 ชั่วโมงก่อนเกมดังกล่าวเพื่อให้เขามีโอกาสลงเล่นกับ บาร์เซโลน่า ได้ทันเวลา

ปูด!แมนยูสนดึงดาวรุ่ง “นิวฟิโก้” เสริมแกร่ง

สื่อผู้ดี ตีข่าว "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สนใจอยากได้ หลุยส์ โกเมส ดาวเตะความหวังใหม่วงการลูกหนังแดนฝอยทอง จากสปอร์ติ้ง ลิสบอน มาเสริมทัพ
   
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คาดว่ากำลังจะได้นักเตะจากสปอร์ติ้ง ลิสบอน อีกราย โดยตอนนี้มีรายงานว่า "ปีศาจแดง" สนใจอยากได้ตัว หลุยส์ โกเมส แข้งดาวรุ่งพุ่งแรง จากการเปิดเผยของ เดอะ มิร์เรอร์ สื่อดังในเมืองผู้ดี

ดาวเตะวัย 16 ปี ซึ่งเพิ่งจะเซ็นสัญญานักเตะอาชีพกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจาก แมนฯ ยูไนเต็ด โดย โกเมส ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะวันเดอร์คิดของวงการลูกหนังแดนฝอยทอง ถึงขนาดได้รับสมญานามว่า "นิว หลุยส์ ฟิโก้" เลยทีเดียว

แม้ว่า โกเมส จะเซ็นสัญญา 5 ปีกับ สปอร์ติ้ง ก็ตาม แต่ "เดอะ มิร์เรอร์" รายงานว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมที่จะคว้าดาวรุ่งแห่งอนาคตรายนี้มาร่วมทีม โดยคาดว่าค่าตัวของเขาน่าจะอยู่ที่ประมาณ 14 ล้านปอนด์ (ราว 532 ล้านบาท)

ทั้งนี้ สโมสรเจ้าของแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี 20 สมัย มีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน โดย "ปีศาจแดง" ดึงนักเตะจากยอดทีมแดนฝอยทองมาแล้วหลายคนทั้ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้, มาร์กอส โรโฮ, บรูโน่ แฟร์นันด์ส และ หลุยส์ นานี่ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

แรชฟอร์ดชอบยิงสิงห์!เกร็ดน่ารู้เกมบิ๊กแมตช์”แมนยู VS เชลซี”

 ศึกลูกหนัง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คู่ที่น่าสนใจสุดในค่ำคืนนี้ หนีไม่พ้นเกมบิ๊กแมตช์ ณ สังเวียนแข้ง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะดวลกับ เชลซี ซึ่งทาง "ปีศาจแดง" ก็มุ่งมันที่จะคว้าชัยชนะต่อเนื่อง หลังเกมล่าสุดบุกไปอัด นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 4-1 ขณะที่ "สิงห์บลูส์" ก็หวังที่จะกลับมาสู่เส้นทางแห่งชัยชนะ หลังสุดสัปดาห์ก่อนทำได้แค่เปิดบ้านเจ๊า เซาธ์แฮมป์ตัน 3-3 โดยมาเสียประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ และนี่คือเกร็ดน่าสนใจเล็กๆ น้อยๆ ก่อนเกม
 เฮด-ทู-เฮด
 – หาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าชัยชนะได้ ก็จะกลายเป็นครั้งแรกของพวกเขานับตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 1965 (ยุคกุนซือ เซอร์ แม็ตต์ บัสบี้) ที่ชนะ เชลซี ในลีกได้ 3 นัดติด
 – เชลซี บุกไปเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกม พรีเมียร์ลีก ไม่ได้มา 7 นัดติด (เสมอ 4, แพ้ 3) ซึ่งถือเป็นการคว้าชัยเกมลีกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด์ ไม่ได้ยาวนานสุดของพวกเขา นับตั้งแต่ที่เคยไร้ชัย 16 นัดติด ช่วงระหว่างเดือนกันยายน ปี 1920 ถึง เดือนมกราคม ปี 1957
 – อย่างไรก็ตาม เชลซี เป็นเพียงสโมสรเดียวที่มีสถิติชนะมากกว่าแพ้ ในการดวลกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยุค พรีเมียร์ลีก (เชลซี ชนะ 18 ครั้ง, แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 17 ครั้ง)

 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
 – หากแพ้เกมนี้ ก็จะถือเป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์สโมสร ที่ออกสตาร์ตเกมลีก 3 นัดแรกที่บ้านของฤดูกาล และแพ้รวด โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 1930 ซึ่งซีซั่นนั้น (1930/31) "ปีศาจแดง" จบด้วยการครองบ๊วย
 – หนล่าสุดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้เกมลีกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 3 นัดติด เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1979
 – ถ้าไม่ชนะเกมนี้ ก็จะทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ชนะเกมลีกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 5 นัดติด (รวม 2 นัดจากซีซั่นที่แล้ว) ซึ่งจะกลายเป็นสถิติใหม่ของสโมสรทันที
 – บรูโน่ แฟร์นันด์ส จอมทัพเลือดฝอยทอง มีส่วนร่วมกับการทำประตูถึง 20 ลูก (ยิง 11, แอสซิสต์ 9) จากการลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก 18 นัด ซึ่งเป็นสถิติที่เหนือกว่าผู้เล่น "ปีศาจแดง" ทุกคน นับตั้งแต่ที่เขาลงเล่นนัดแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
 – มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้าความเร็วสูง ทำไปถึง 4 ประตู จาก 3 เกมหลังสุดที่เจอกับ เชลซี (รวมทุกรายการ) ซึ่งก็รวมถึงการเหมาสองตุงในเกมเปิดซีซั่นก่อน แมนฯ ยูไนเต็ด ไล่ต้อน "สิงห์บลูส์" 4-0
 – นอกจากนี้กุนซือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา มีสถิติคุมทีมชนะ 4 จาก 6 นัดที่เจอกับ เชลซี (เสมอ 1, แพ้ 1)
 

 เชลซี
 – เชลซี เสมอ 4 จาก 8 เกมที่ลงเตะรวมทุกรายการในซีซั่นนี้ (ชนะ 3, แพ้ 1)
 – "สิงห์บลูส์" คว้าชัยได้ถึง 5 ครั้ง จากการลงเตะเกมเยือนในศึก พรีเมียร์ลีก 6 นัดแรกยุคกุนซือ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ทว่า 15 นัดหลังจากนั้น พวกเขาเก็บชัยชนะได้แค่ 5 หน (เสมอ 4, แพ้ 6)
 – เชลซี ยุค แลมพาร์ด เสียประตูในเกม พรีเมียร์ลีก ไปถึง 63 ลูก จากการลงเตะ 43 นัด โดยเฉลี่ยตกนัดละ 1.5 ลูก ซึ่งถือเป็นเรตที่เลวร้ายที่สุดเหนือกุนซือ เชลซี ทุกคนในประวัติศาสตร์สโมสร (นับเฉพาะกุนซือที่คุมถาวร)
 – นอกจากนี้ นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว เชลซี เสียประตูเกมเยือนในศึก พรีเมียร์ลีก ไปแล้วถึง 42 ลูก ซึ่งมากกว่าทุกทีมในลีก
 – นับเฉพาะปี 2020 มีเพียงแค่ อาร์เซน่อล (15 แต้ม) เท่านั้น ที่ทำคะแนนหลุดมือจากสถานการณ์ที่กำลังจะชนะ มากกว่า เชลซี (13 แต้ม)
 – นับตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลที่แล้ว ติโม แวร์เนอร์ หัวหอกเลือดเบียร์ ทำประตูในเกมลีกไปแล้วถึง 30 ลูก ซึ่งในบรรดา 5 ลีกใหญ่ยุโรป เขาเป็นรองเพียงแค่ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (บาเยิร์น มิวนิค), ชิโร่ อิมโมบิเล่ (ลาซิโอ) และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (ยูเวนตุส) เท่านั้น

ตามพี่โด้!ยูเวนตุสยัน “แม็คเคนนี่” ติดโควิด-19

ยูเวนตุส แถลงสถานการณ์โควิดล่าสุด โดย เวสตัน แม็คเคนนี่ มิดฟิลด์เลือดมะกัน มีผลตรวจเป็นบวกจากการติดเชื้อไวรัสมรณะ ซึ่งเกิดขึ้นเพียงแค่ 24 ชั่วโมงหลังจากที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สตาร์กัปตันทีมชาติโปรตุเกส ติดเชื้อตัวนี้

ยูเวนตุส ยักษ์ใหญ่แห่งศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี แถลงการณ์ยืนยัน เวสตัน แม็คเคนนี่ กองกลางชาวอเมริกัน ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เนื่องจากผลการตรวจเป็นบวก โดยกลายเป็นนักเตะรายล่าสุดต่อจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซูเปอร์สตาร์ลูกหนัง ที่ติดเชื้อไวรัสมรณะ

ดาวเตะทีมชาติสหรัฐอเมริกา ซึ่งย้ายจาก ชาลเก้ 04 มาเล่นกับทัพ "ม้าลาย" เมื่อช่วงซัมเมอร์นี้ ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสดังกล่าว เพียงแค่ 24 ชั่วโมงหลังจากที่ โรนัลโด้ ถูกระบุว่าติดโควิด  ทำให้ตอนนี้นักเตะต้องเข้ารับการกักตัวทันที และหมดสิทธิ์ลงเล่นเกมสุดท้ายพบ โครโตเน่ 
แถลงการณ์ของ "เบียงโคเนรี่" ระบุว่า "สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส ประกาศว่าในช่วงระหว่างที่มีการตรวจหาเชื้อตามมาตรการเฝ้าระวัง นักเตะของเรา เวสตัน แม็คเคนนี่ มีผลการตรวจเป็นบวกจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับการปฏิบัติตามกฎข้อบังครับ และมาตรการเฝ้าระวัง ทีมจะเข้าสู่การกักตัวในเย็นวันนี้ (วันพุธที่ 14 ต.ค.) ทันที"
"สำหรับในกระบวนการนี้จะอนุญาตให้ทุกๆ คนที่มีผลการตรวจเป็นลบสามารถที่จะลงฝึกซ้อมได้ตามปกติ และทำกิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวกับการแข่งขันได้ แต่จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการติดต่อกับบุคคลภายนอกกลุ่ม โดยสโมสรจะทำการติดต่อกับเจ้าหน้าที่สาธารณะสุขอย่างต่อเนื่อง" แถลงการณ์ฉบับเดิม ระบุ

 

มีคนพูดโกหก!โรนัลโด้ยันชัดทำตามกฎเดินทางเข้าอิตาลี

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แข้งซูเปอร์สตาร์ของ ยูเวนตุส ประกาศชัด ไม่ได้ทำผิดกฎของอิตาลีแม้แต่นิดเดียวในการเดินทางกลับมาที่ประเทศอิตาลี พร้อมบอกว่าตอนนี้ต้องอยู่ห่างกับครอบครัว และมันก็ทำให้ตนเจ็บปวดสุดๆ

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิง ยูเวนตุส สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งวงการ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี กล่าวว่าตนไม่ได้ละเมิดกฎของประเทศอิตาลีในกรณีที่เดินทางกลับมายังแดนมะกะโรนีแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้ โรนัลโด้ ตกเป็นข่าวดังจากการที่เขาถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตอนไปอยู่กับทีมชาติโปรตุเกส โดยเมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งเดินทางกลับไปที่ อิตาลี เพื่อรอช่วยต้นสังกัดในตอนที่หายแล้ว แต่ วินเชนโซ่ สปาดาโฟร่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกีฬาของอิตาลีตั้งประเด็นว่าแข้งวัย 35 ปี อาจจะละเมิดกฎถ้าหากเดินทางเข้าประเทศโดยที่ไม่ได้รับการรับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นกรณีพิเศษ

"ผมไม่ได้ละเมิดกฎใดๆ ทั้งนั้น พวกเขาบอกว่าผมละเมิดกฎของอิตาลี แต่มันเป็นการโกหกทั้งเพ ผมได้คุยกับทีมของผม และเราก็มีความรับผิดชอบที่จะทำเรื่องต่างๆ ในทางที่ถูกต้อง ทุกอย่างถูกปฏิบัติในทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือคนอิตาลีคนหนึ่งพูดโกหก แต่ผมก็ไม่ขอบอกหรอกนะว่าเขาชื่อว่าอะไร ผมทำตามมาตรการทุกขั้นตอน" โรนัลโด้ ระบุ

อดีตดาวเตะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เรอัล มาดริด เสริมว่าตอนนี้ต้องอยู่คนละห้องกับครอบครัว และมันก็ทำให้ตนปวดใจสุดๆ "ผมอยู่ชั้นหนึ่ง ส่วนลูกๆ ของผมก็อยูกอีกชั้น ผมจะต้องอยู่แบบนี้ไปอีก 10 วันต่อจากนี้ มันทำใจยอมรับได้ยากมากๆ ที่จะไม่สามารถติดต่อกับพวกเขาได้ แต่เราก็ต้องทำตามกฎ"

ปีร์โล่ดวลกัตจัง! ยูเวนตุสบู๊เดือดนาโปลี,”โด้”ลงฉะ”เมอร์เท่นส์”

อันเดรีย ปีร์โล่ นายใหญ่ "ม้าลาย" ยูเวนตุส นัดก่อนสะดุดเจ๊า เกมนี้มีคิวปะทะเพื่อนเก่าที่มิลานอย่าง เจนนาโร่ กัตตูโซ่ เฮดโค้ช ”อัซซูร่า" นาโปลี ที่ฟอร์มร้อนแรงคว้าชัยสองนัดติด แถมยังไม่โดนเจาะตาข่าย ในการแข่งขันฟุตบอลกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี คืนวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563

ปรีวิวฟุตบอลกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2563
ยูเวนตุส (7) – นาโปลี (2)
เวลา : 01.45 น. ถ่ายทอดสด : บีอินส์ สปอร์ต 2

สนาม : ยูเวนตุส สเตเดี้ยม

    ทีม ”ม้าลาย” เกมล่าสุดเหลือ 10 ก่อนบุกเสมอ โรม่า 2-2 การเสริมทัพล่าสุดจ่อคว้า เฟเดริโก้ เคียซ่า ตัวรุกคนเก่งของ ฟิออเรนติน่า มาร่วมทัพ

    สภาพทีมในเกมนี้ อันเดรีย ปีร์โล่ เทรนเนอร์ ยูเวนตุส จะยังไม่มี มาต์ไตส์ เดอ ลิกท์, อเล็กซ์ ซานโดร และ เฟเดริโก้ แบร์นาร์เดสคี่ ที่เจ็บทั้งหมด รวมไปถึง อาเดรียง ราบิโอต์ ติดโทษแบน

    ทั้งนี้คาดว่าเจ้าถิ่นจะมาในระบบ 3-4-1-2 แนวรับสามคนจะใช้ ดานิโล่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ และ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ขยับมาแดนกลาง อาร์ตูร์ ประสานงานกับ เวสตัน แม็คเคนนี่ โดยมี อารอน แรมซี่ย์ สนับสนุนคู่หน้า เดยัน คูลูเซฟสกี้ ดาวรุ่งชาวสวีดิช จับคู่กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ยิงไปแล้ว 3 ประตูจากสองเกมแรก

    ทีม ”อัซซูร่า” ผลงานร้อนแรงเกมล่าสุดเปิดบ้านถล่ม เจนัว 6-0 เออร์วิง โลซาโน่ เหมาคนเดียว 2 ประตู ทำให้ชนะสองนัดรวด

    สภาพทีมในเกมนี้ เจนนาโร่ กัตตูโซ่ กุนซือ นาโปลี จะไม่มี อามิน ยูเนส และ ลอเรนโซ่ อินซินเย่ 2 ตัวรุกที่มีอาการบาดเจ็บ รวมไปถึง ปิโอเตร เซียลินสกี้ ที่ล่าสุดติดโควิดหลังเกมพบ เจนัว ด้วย

    ทีมเยือนจะมาในระบบ 4-3-3 แนวรับจะใช้ คาลิดู คูลิบาลี่ จับคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟกับ คอสตาส มาโนนาส สำหรับวิงแบ็กเป็น โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่ และ มาริโอ รุย แดนกลางให้ ดีเอโก้ เดมเม่ ได้เล่นกับ ฟาเบียน รูอิซ และ เอลยิฟ เอลมาส ดาวรุ่งมาซิโดเนีย สามแนวรุกวาง เออร์วิง โลซาโน่, วิคเตอร์ โอซิมเฮน และ ดรีส์ เมอร์เท่นส์ 

รายชื่อนักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม

    ยูเวนตุส (3-4-1-2) : วอยเชียค เชสนี่ – ดานิโล่, เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่, จอร์โจ้ คิเอลลินี่ – ฮวน กวาดราโด้, อาร์ตูร์, เวสตัน แม็คเคนนี่, จานลูก้า ฟราบ็อตต้า – อารอน แรมซี่ย์ – เดยัน คูลูเซฟสกี้, คริสเตียโน่ โรนัลโด้

   เทรนเนอร์ : อันเดรีย ปีร์โล่

    นาโปลี (4-3-3) : ดาบิด ออสปิน่า-โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่, คาลิดู คูลิบาลี่, คอสตาส มาโนลาส, มาริโอ รุย-ฟาเบียน รูอิซ, ดีเอโก้ เดมเม่, เอลยิฟ เอลมาส-เออร์วิง โลซาโน่, วิคเตอร์ โอซิมเฮน, ดรีส์ เมอร์เท่นส์ 

    เทรนเนอร์ : เจนนาโร่ กัตตูโซ่

พันธุกรรม, อาหาร สูตร(ไม่ลับ)เปลี่ยน อดาม่า ตราโอเร่ เป็นยอดนักเตะ

การเปลี่ยนแปลงรูปร่างเพื่อยกระดับความสามารถของตนเองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักฟุตบอล โดย อดาม่า ตราโอเร่ ปีกตัวเก่งชาวสแปนิช รู้สึกซึ้งเป็นอย่างดีถึงเรื่องนี้ เพราะการที่มีร่างกายกำยำย่อมจะทำให้เขามีโอกาสประสบความสำเร็จในวงการลูกหนังมากขึ้น
    คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แสดงให้เห็นแล้วว่าการพัฒนาร่างกายเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทำควบคู่กับการพัฒนาฝีเท้า และเขาได้ปฏิบัติตามโปรแกรมในการฝึกฝนร่างกาย และทักษะลูกหนังอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับการกินอาหารที่มีประโยชน์อย่างเคร่งครัดช่วยให้เขาสามารถยืนระยะในการเล่นฟุตบอลระดับสูงได้จนถึงปัจจุบัน

    แน่นอนว่า ตราโอเร่ ได้เห็นตัวอย่างที่ดีแบบนั้นแล้ว และทำให้เขารู้ว่าการที่จะเก่งในระดับสูงจะต้องพัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่ โดย ปีกจากสโมสรวูลฟ์แฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ สามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างที่ผอมบางสมัยเป็นนักเตะดาวรุ่ง จนกลายเป็นนักเตะร่างบึ้กความเร็วสูงที่ทำให้คู่แข่งในวงการลูกหนังเมืองผู้ดีต้องเข็ดขยาด

    ความแข็งแกร่งของ ตราโอเร่ ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เพียงแค่ชั่วข้ามคืน เพราะเขาต้องใช้ความพยายาม และความอดทนอย่างมากในการออกกำลังกาย รวมทั้งการกินอาหารที่เหมาะสม ซึ่งนั่นทำให้เขาสามารถพัฒนาฝีเท้าจนในที่สุดก็ได้ติดทีมชาติสเปน และได้เปิดตัวในนามแข้งทัพ "กระทิงดุ" ในแมตช์อุ่นเครื่องเสมอ โปรตุเกส แม้สกอร์จะ 0-0 แต่มันคือก้าวแรกสู่ความสำเร็จในอนาคต

    ก่อนจะมาถึงวันนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อเดือนกรกฎาคม ตราโอเร่ ในวัย 24 ปี เปิดเผยว่าเขามีรูปร่างแข็งแกร่งราวกับนักกล้าม (บางคนบอกนักรักบี้) ไม่ได้เกิดมาจากการยกเวท แต่มาจากการฝึกฝนร่างกายให้เหมาะสม และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
   
พันธุกรรมเปลี่ยนไม่เกี่ยวกับยกเวท

    เหตุผลสำคัญที่ทำให้ ตราโอเร่ มีรูปร่างราวกับนักเพาะกายไม่เกี่ยวกับการยกเวทเหมือนกับบุรุษเพศมากมายที่อยากหล่อเท่มีกล้าม ซิกซ์แพ็ค แต่มันเป็นเพราะพันธุกรรมของเขาที่ทำให้กล้ามเนื้อเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีสภาพร่างกายเหมือนกับ "ฮัลค์" ยักษ์เขียวในหนังฮีโร่มาร์เวล

    "เทรนเนอร์ส่วนตัวของผมแนะนำให้ผมออกกำลังกายในโรงยิม แต่ผมไม่ได้ยกเวทอะไรทั้งนั้น พันธุกรรมของผมมันเป็นแบบนั้น และมันทำให้กล้ามเนื้อของผมเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมากๆ ผมยังออกกำลังกายแบบอื่นๆ ด้วย แต่ละคนต้องปรับตัวในสิ่งที่เหมาะสมกับเขาเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด"

พันธุกรรม, อาหาร สูตร(ไม่ลับ)เปลี่ยน อดาม่า ตราโอเร่ เป็นยอดนักเตะ
    "ผมเน้นการฝึกซ้อมบริเวณแกนกลางลำตัวเยอะมาก ความลับก็คือการรู้จักกับรูปร่างของตัวคุณเอง และพยายามปรับการฝึกซ้อมเพื่อให้เหมาะกับสภาพร่างกายของคุณ"

อาหารกุญแจสำคัญในการพัฒนาร่างกาย

    นอกจากการรู้จักร่างกายของตัวเองแล้ว กุญแจสำคัญที่คุณไม่ควรลืมก็คือเรื่องอาหารการกิน เพราะตามหลักความเป็นจริงแล้วอาหารมีส่วนสำคัญถึง 80 เปอร์เซนต์ ส่วนการออกกำลังกายเพียงแค่ 20 เปอร์เซนต์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ตราโอเร่ จึงได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของอาหาร รวมไปถึงการพักผ่อนที่เพียงพอเพื่อให้กล้ามเนื้อได้ฟื้นฟูจากการฝึกซ้อมหนัก

    "ผมสร้างกล้ามเนื้อด้วยการฝึกซ้อม, พักผ่อน และกินอาหาร แน่นอนว่าอาหารมีความจำเป็นและสำคัญมากๆ ผมพิจารณาว่ามันเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของส่วนหนึ่งในการฝึกซ้อม การดื่มน้ำเปล่า แม้ว่าผมจะไม่ได้ดื่มอย่างเหมาะสมก็ตาม แต่น้ำมีความสำคัญมากๆ"

    "การรักษาระดับน้ำในร่างกายเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักกีฬา ผมพยายามที่จะกินอาหารให้เยอะและหลากหลาย, เน้นสุขภาพ และสมดุล ผมสามารถกินข้าวผัดสเปน  และข้าวผัดมาลีนิดหน่อย พร้อมกับซอสถั่วและข้าวกล้อง เพื่อสุขภาพที่ดีเยี่ยม"

    "ทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำขึ้นด้วยฝีมือของคุณแม่ผม ซึ่งท่านเป็นคนที่ทำอาหารได้อร่อยที่สุดในโลก หลังจากนั้นก็เหมือนกับนักกีฬาทุกๆ คน ผมมักจะเน้นการกินอาหารพวกพาสต้าของชาวอิตาเลียน"

การออกกำลังต้องเหมาะสมเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บ

    ตราโอเร่ ซึ่งมักจะใช้ "เบบี้ออยล์" ทาที่แขนเพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งเหนี่ยวรั้งเวลาที่เขากระชากบอล ยังได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกกำลังกายในโรงยิมว่าจะต้องมีการดีไซน์วิธีการใช้กล้ามเนื้อให้เหมาะสม เพราะป้องกันอาการบาดเจ็บ

    "ทุกอย่างต้องสมดุล ร่างกายของผมเปลี่ยนแปลงไปมันเกิดขึ้นตามวิวัฒนาการ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น ตอนที่ผมอายุ 15 ปี  ผมมีปัญหาหัวเข่าเนื่องจากเส้นเอ็นอักเสบซึ่งมันทำให้ผมไม่สามารถเล่นได้ตามเกมของผม หรือเร่งสปีดความเร็วได้ดั่งใจ"

    "หลังจากนั้นผมเริ่มแข็งแกร่งขึ้นจากการเข้ายิม ผมทุ่มเทอย่างเต็มที่ และต้องมีการออกกำลังกายแบบพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ การออกกำลังกายไม่ได้ทำให้ผมมีพละกำลังมากขึ้น  แต่มันยังเป็นการป้องการอาการบาดเจ็บ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักกีฬากลัวที่สุด"

เหตุผลปัด มาลี เพื่อเล่นให้ สเปน

    ตราโอเร่ มีโอกาสได้เล่นให้ สเปน เพียง 28 นาทีในเกมเสมอ โปรตุเกส แบบไร้สกอร์ ที่กรุงลิสบอน เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดย อดีตเด็กฝึกบาร์เซโลน่า เติบโตในดินแดนกระทิงดุ แต่ก่อนที่จะสวมเสื้อให้กับทีมชาติสเปน เขาเคยได้รับการติดต่อจาก มาลี ประเทศบ้านเกิดของบิดามารดา

    อย่างไรก็ตาม ตราโอเร่ ปฏิเสธโอกาสนั้นเพราะหัวใจของเขามีความเป็นชาวสแปนิช และยังเคยเล่นให้กับ สเปน มาตั้งแต่ระดับเยาวชนในรุ่นยู-16, 17, 19 และ 21 "มีการติดต่อมาจาก มาลี เพราะผมมีเชื้อสายชารวแอฟริกัน และผมซาบซึ้งใจที่พวกเขาจดจำผมได้"

    "แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นชาวสแปนิช เพราะผมเกิดที่โรงพยาบาลที่นี่ และผมยังลงเล่นให้กับ สเปน ตั้งแต่ระดับเยาวชนมาตลอด ผมไม่สามารถปฏิเสธเชื้อสายแอฟริกันของตัวเองได้ แต่ผมรู้สึกถึงความเป็นชาวสแปนิช และผมภูมิใจได้ที่เปิดตัวกับ สเปน"

อาร์แซน เวนเกอร์ เผย การพลาดลายเซ็นนักเตะคนไหนเสียใจที่สุด

       อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตนายใหญ่อาร์เซนอล ได้ออกมาเปิดเผยว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คือนักเตะที่เขารู้สึกว่าพลาดมากที่สุดที่ไม่ได้ตัวมาเล่นให้ไอ้ปืนใหญ่ ทั้ง ๆ ที่มีการตกลงอะไรกันเรียบร้อยไปแล้ว จากรายงานของ dailymail.co.uk เมื่อ 12 ตุลาคม 2563

        ย้อนกลับไปเมื่อปี 2003 ในช่วงที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยังเป็นดาวรุ่งของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน และมีสโมสรมากมายอยากได้เขาไปร่วมทีม โดยหนึ่งในนั้นเป็น อาร์เซนอล โดย เวนเกอร์ เผยว่า ทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว แต่สุดท้ายเป็น แมนยู ที่โฉบเอาตัว CR7 ไปลุย ตารางบอล

        อาร์แซน เวนเกอร์ กล่าวว่า "มีนักเตะสัก 50 คนได้มั้งที่ผมไม่ได้ตัวมาร่วมทีมตอนอยู่อาร์เซนอล แต่ว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าพลาดจริง ๆ"

        "ในตอนนั้นเราเจรจากับ ลิสบอน ลงตัวไปแล้วนะ แต่ว่า แมนยู ก็แต่งตั้ง คาร์ลอส กีรอซ เข้ามาดูแลทีม และรีบยื่นข้อเสนอตัดหน้าเราทันที แต่ในหลัก ๆ แล้วดีลนี้จบเป็นของเราไปแล้ว"

        "โรนัลโด้ เองตอนนั้นมีเสื้อของอาร์เซนอลแล้ว และคุณแม่ของเขาก็มาสนามซ้อมของเราแล้วด้วยซ้ำไป ซึ่งสิ่งที่ผมจะบอกคือไม่ว่าทีมจะใหญ่แค่ไหน มีชื่อเสียงแค่ไหน ล้วนแล้วแต่เคยพลาดได้นักเตะเก่ง ๆ มาร่วมทีมกันแทบทั้งนั้น"

        ทั้งนี้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ย้ายจาก ลิสบอน มาอยู่กับ แมนยู เมื่อปี 2003 ก่อนจะสร้างผลงาน และความสำเร็จไว้มากมาย พร้อมกับกลายเป็นตำนานหมายเลข 7 คนสุดท้ายของสโมสรที่ประสบความสำเร็จ

5 แข้งที่ยังเล่นแล้วทำประตูจากลูกฟรีคิกมากสุด

ลูกฟรีคิกถือเป็นหนึ่งในวิธีการทำประตูอย่างหนึ่งของเกมฟุตบอล และมันก็มีหลายคนที่มีความเชี่ยวชาญในการเล่นลูกฟรีคิก โดยถ้าเป็นคนที่แขวนสตั๊ดไปแล้วก็มีอย่างเช่น เดวิด เบ็คแฮม, อันเดรีย ปีร์โล่, ซินิซ่า มิไฮโลวิช และ โรแบร์โต้ คาร์ลอส เป็นต้น

ทั้งนี้ หากนับเฉพาะนักเตะที่ยังค้าแข้งอยู่แล้วนั้นมันก็มีหลายคนที่เล่นลูกฟรีคิกได้ดีเช่นกัน และวันนี้เราจะมานำเสนอ 5 นักเตะที่ยังเล่นอยู่แล้วสามารถทำประตูในลูกฟรีคิกได้มากที่สุดตลอดอาชีพการเล่น โดยจะเป็นการนับทั้งตอนเล่นในระดับทีมชาติและระดับสโมสร

– อเล็กซานดาร์ โคลารอฟ : 22 ประตู
"โรแบร์โต้ คาร์ลอส แห่งเซอร์เบีย" คือฉายาที่หลายคนมักจะตั้งให้กับ โคลารอฟ เพราะเขามีความเก่งกาจในการเล่นลูกเซตพีซมากๆ ไม่ว่าจะทั้งตอนอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, อาแอส โรม่า หรือทีมชาติเซอร์เบีย และจำนวน 22 ประตูที่เขาทำได้ตลอดอาชีพการค้าแข้งก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยยืนยันถึงเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี

จุดเด่นในการเล่นลูกนิ่งของ โคลารอฟ ก็คือเขาสามารถทำประตูจากลูกฟรีคิกได้แม้ว่าจะต้องยิงจากมุมที่ไม่น่าเป็นประตูมากที่สุด หรือจากระยะไกลที่ไม่น่าจะเป็นประตู อย่างเช่นลูกที่เขายิงใส่ แอธเลติก บิลเบา ในเกมอุ่นเครื่องเมื่อช่วงปี 2019 ที่ยิงได้คมจนนายทวารของคู่แข่งหมดสิทธิ์บินไปเซฟได้

 – ฮาคาน ชัลฮาโนกลู : 26 ประตู
คนที่เคยดูเกม บุนเดสลีกา บ่อยๆ ในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าการเสียลูกฟรีคิกให้กับ ชัลฮาโนกลู ก็แทบไม่ต่างจากการเสียลูกจุดโทษ เพราะเขามีความสามารถในการเล่นลูกนิ่งที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการพยายามทำประตูจากลูกฟรีคิกโดยตรง

ถ้าหากตัวเลข 26 ประตูจากลูกฟรีคิกมันยังไม่น่าประทับใจสำหรับคุณแล้วล่ะก็ เราก็ขอนำเสนอสถิติอีก 1 อันที่น่าทึ่ง นั่นก็คือ 38 เปอร์เซ็นต์จากประตูที่เขาทำได้ตอนเล่นในเยอรมนีนั้นมันมาจากการยิงลูกฟรีคิกโดยตรง แถมในฤดูกาล 2014-15 เขายังเคยทำประตูจากลูกฟรีคิกให้กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ได้ถึง 9 ลูกเลยทีเดียว

น่าเศร้าที่นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ เอซี มิลาน ในปี 2017 ความโดดเด่นในด้านนี้ก็หายไป เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมาเขายิงลูกฟรีคิกเป็นประตูได้อีกเพียง 3 หนเท่านั้น

 

 – มิราเล็ม ปานิช : 26 ประตู
 การที่ก่อนหน้านี้ ปานิช อยู่กับ ยูเวนตุส ทำให้เขาไม่ใช่ตัวเลือกแรกในการได้เป็นคนยิงลูกฟรีคิก เพราะมันมีคนอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ เปาโล ดีบาล่า ขวางหน้าอยู่ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีโอกาสได้ยิงน้อย แต่เขาก็ยังสามารถผลิตสกอร์จากลูกฟรีคิกได้เท่ากับ ชัลฮาโนกลู เลย

ทั้งนี้ ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาถือเป็นช่วงที่ ปานิช พัฒนาการเล่นลูกฟรีคิกขึ้นมาได้อย่างผิดหูผิดตา เพราะ 68 เปอร์เซ็นต์ของประตูจากลูกฟรีคิกทั้งหมดของเขามันเกิดขึ้นในช่วง 5 ปีหลังสุด ทำให้แม้ว่าตอนนี้เขาอาจจะต้องแบ่งเล่นลูกฟรีคิกกับ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ บาร์เซโลน่า แต่เขาก็น่าจะได้รับโอกาสยิงลูกฟรีคิกบ่อยพอตัว

 

 – ลิโอเนล เมสซี่ : 53 ประตู
 เดิมทีตอนแรกๆ เมสซี่ ไม่ได้มีจุดเด่นในด้านการยิงลูกฟรีคิกเท่าไหร่ แต่เขาก็พัฒนาด้านนั้นขึ้นมาได้อย่างยอดเยี่ยมในพักหลังจนตอนนี้คู่แข่งทุกคนไม่สามารถประมาทได้อีกแล้วเมื่อเห็นดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์มายืนรอเล่นลูกฟรีคิกเวลาที่ทีมได้ฟาวล์

ทั้งนี้ ถ้านับเฉพาะฤดูกาล 2018-19 แล้วนั้น เมสซี่ สามารถทำประตูจากลูกฟรีคิกให้กับ บาร์เซโลน่า ได้ถึง 8 ลูกด้วยกัน แถมในซีซั่นนั้นถ้าวันไหนเขาทำประตูจากลูกฟรีคิกได้แล้วล่ะก็ บาร์เซโลน่า ก็ไม่แพ้เลยด้วย แบ่งเป็นชนะ 6 นัด กับเสมอ 1 เกม ขณะที่ถ้าเป็นซีซั่นที่แล้วเขาก็ผลิตสกอร์จากลูกนิ่งได้ 5 หนด้วยกัน

 

– คริสเตียโน่ โรนัลโด้ : 57 ประตู
ในด้านนี้ โรนัลโด้ เหนือกว่าคู่อริตลอดกาลนิดหน่อย ถึงแม้พักหลังดาวเตะวัย 35 ปีจะทำประตูจากลูกฟรีคิกได้น้อยลงไป อย่างเช่นฤดูกาล 2019-20 ที่ทำประตูจากลูกฟรีคิกให้กับ ยูเวนตุส ได้เพียงลูกเดียว แต่ผลงานในหลายฤดูกาลก่อนหน้านั้นก็ยังเพียงพอที่จะทำให้เขาครองบัลลังก์ "ราชาฟรีคิก" ในบรรดานักเตะที่ยังค้าแข้งอยู่ได้

ทั้งนี้ ฤดูกาลที่ โรนัลโด้ ทำประตูจากลูกฟรีคิกได้มากที่สุดหากนับเฉพาะเกมระดับสโมสรคือซีซั่น 2008-09 กับ แมนเชสเตอร์ ยุไนเต็ด และฤดูกาล 2009-10 กับ เรอัล มาดริด หลังจากใน 2 ซีซั่นนั้นเขาทำประตูจากลูกฟรีคิกได้ฤดูกาลละ 6 ลูกด้วยกัน