เรื่องราวของ นักเตะหนุ่มติสต์ที่ถือเอาความสุขของตัวเองมีค่ามากกว่าเงิน ตัดสินใจยกเลิกสัญญากับทีมใหญ่การท่าเรือ เอฟซี ทั้งที่เหลือสัญญาอีก 1 ปี มีค่าเซ็น 1 ล้านบาท และเงินเดือนอีกเดือนละ 2 แสนกว่าบาท ไปแบบไม่แยแส โดยเลือกแขวนสตั๊ดในปี 2017
เรื่องนี้ "เจ้าเบียร์" ปิยะชาติ ศรีมะเรือง อดีตมิดฟิลด์ตัวเก่งของ "สิงห์เจ้าท่า" การท่าเรือ ในวัย 31 ปี ได้ย้อนเหตุการณ์ให้ฟังว่า ตนตัดสินใจมาอยู่การท่าเรือในช่วงครึ่งเลคหลังของหลายปีก่อน และได้เป็นตัวจริงมาตลอด แม้กระทั่งในปีถัดมาช่วยปรีซีซั่นและต้นฤดูกาลก็ยังได้เล่นเป็นตัวจริงอย่างต่อเนื่อง
"ผมรู้ตัวเองว่ากำลังอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดของผม แม้ผมจะฟอร์มดีกับสุโขทัยก่อนมาท่าเรือ แต่ผมรู้ตัวเองว่าตอนเล่นอยู่ท่าเรือผมพร้อมสุดแล้วทั้งฝีเท้าและประสบการณ์ แต่ดันมาเจ็บสะโพกช่วงต้นฤดูกาลต้องพักไป 3 เดือน พอกลับมาก็ซุ่มฟิตตัวเองเต็มที่ แต่โอกาสได้ลงมันน้อยลงไปเรื่อยๆ พยายามพิสูจน์ตัวเอง แต่ผลที่ได้รับมันไม่โอเคสำหรับผมเลย นักฟุตบอลทุกคนรู้ตัวเองดีว่า สภาพเกมแบบไหน เขาควรจะได้รับโอกาส แต่ผมกลับได้โอกาสน้อยมากเมื่อเทียบกับความมั่นใจของผม"
"เจ้าเบียร์" ทนกับสภาพที่ไม่มีความสุขในการไม่ได้ลงเล่น 7-8 เดือน แม้ช่วง "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง มาคุมทัพ 10-11 แมตช์และตนเองได้โอกาสลงตัวจริงตลอด ไม่ได้ลงแค่ 2 แมตช์เพราะเจ็บ แต่นอกนั้นมีโอกาสลงทั้งฤดูกาลในฐานะตัวจริงแค่ 3 แมตช์เท่านั้น ทำให้ตัวเองต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต
"สัญญาผม 2 ปีครึ่ง ผมทนจนจบปีครึ่ง สุดท้ายเข้าไปบอก "คุณแป้ง"ประธานสโมสรว่า ผมไม่มีความสุขในการเล่นฟุตบอลแล้ว ผมขอยกเลิกสัญญาที่เหลืออีก 1 ปี ทั้งที่ถ้าผมทนอยู่ต่อ ผมจะได้ค่าเซ็นทุกปี ๆ ละ 1 ล้านบาท และเงินเดือนอีก 2 แสนกว่าบาท ตกแล้วก็เกือบ 3.5 ล้าน เงินมันก็สำคัญแต่ที่สำคัญกว่าคือความสุขของผม "คุณแป้ง" ตอนแรกก็ไม่ยอมหากผมจะเลิกเล่น แต่ยินดียกเลิกสัญญาถ้าผมไม่เลิกเล่นบอล จะย้ายไปทีมไหนก็ได้ แต่ผมบอกว่า ผมไม่อยากให้สโมสรมาแบกภาระเดือนละ 2 แสนกว่าบาท ถ้าผมอยู่ที่นี่แบบไม่มีความสุข ผมอาจจะเข็นตัวเองมาซ้อมมาแข่งได้ แต่มันไม่ดีกับสโมสรแน่ สุดท้าย "คุณแป้ง" ก็ยอมยกเลิกสัญญาให้"
การยกเลิกสัญญาในวัยเพียงแค่ 28 ปี ทำให้เงินที่จะได้ปีละ 3.4 ล้านบาท และเงินในอนาคตอีกหลายล้านบาทหากยังเล่นฟุตบอลอยู่ของ "เจ้าเบียร์" หายวับไปกับตา แต่เจ้าตัวยังพอมีเงินเก็บจากการเล่นบอล และนำมาใช้จ่ายในช่วงที่เลิกเล่นบอลไปแล้ว
"ผมไม่มีแพลนจะทำอะไรเลยอยู่ในหัว 1 ปีเต็ม ๆ ผมออกท่องเที่ยวตามแต่ใจอยากจะไป ส่วนใหญ่เที่ยวต่างจังหวัด บางทีตื่นมาแบกกระเป๋าไปสนามบิน ไม่รู้จะไปไหน ไปคิดเอาที่สนามบินก็มี แต่ถึงผมจะเที่ยวก็ไม่ได้ใช้เงินเยอะอะไร เพราะรู้ว่ามีแต่เงินออก ไม่มีเงินเข้ามาเลย"
เมื่อใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ไป 1 ปีเพื่อค้นหาตัวเอง เจ้าตัวก็นำเอาความชอบในการกินกาแฟของตัวเองมาค้นหาว่า ตัวเองอยากทำร้านกาแฟหรือไม่ ชอบกาแฟ หรือชอบบรรยากาศของร้านกาแฟ จึงตัดสินใจไปสมัครเป็นพนักงานร้านกาแฟ
"ผมคิดอยู่พักใหญ่ อย่างว่าเราก็เคยเป็นนักบอลที่คนรู้จัก วันดีคืนดีจะไปเป็นลูกจ้างร้านกาแฟ มันยังติดอีโก้อยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไปสมัคร ร้านกาแฟแบรนด์ดังไม่รับ ไปอีกร้านที่ซอยอารีย์ พี่เขาจำชื่อได้ว่าเป็นนักฟุตบอล แต่เห็นความตั้งใจเรา เขาถามเอาเงินเดือนเท่าไหร่ ผมบอกเท่าไหร่ก็ได้ ผมอยากมาค้นหาตัวเองด้วยการลองทำงานที่ร้านกาแฟ ทำอยู่ 7-8 เดือน ตอนนั้นเริ่มรู้สึกแล้วว่าอยากทำร้านกาแฟแล้ว เลยลาออกมาเพื่อไปศึกษาอย่างจริงจัง"
หลังจากออกแสวงหาเมล็ดพันธุ์กาแฟ และท่องไทยไปชิมกาแฟ สุดท้ายตัดสินใจเปิดร้านกาแฟของตัวเอง ใช้ชื่อร้านว่า "SOUL COFFEE" ซึ่งแปลว่า จิตวิญญาณมันตรงกับชีวิตของตัวเอง โดยลงทุนไปกว่า 2 ล้านบาท เฉพาะค่าเครื่องชงกาแฟก็ล้านกว่าบาทแล้ว
"ร้านนี้อยู่ซอยท่าเรือแดง ตรงท่าเตียน ปากซอยเป็นธ.กรุงไทย ผมเริ่มเปิดเดือนมี.ค.ก็ทำท่าจะดี วันหนึ่งขายได้ 8,000 – 10,000 บาท แต่เปิดได้แป๊บเดียว โควิดมา ต้องปิดยาวเพิ่งจะเปิดอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้ คราวนี้ผมขายคนเดียวเลยไม่มีลูกน้องแล้ว เพราะแบกค่าใช้จ่ายไม่ไหว ร้านของผมไม่เน้นคำว่า specialist ผมอยากให้คนมากินแล้วมีความสุข ไม่ต้องกดดันตัวเองด้วยเมนูพิเศษอะไร ทุกวันนี้แม้ต้องแบกค่าใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่เข้ามา แต่ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาร้าน"
เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า แม้ตอนเลิกเล่นฟุตบอลในวัยแค่ 28 ปี ช่วงนั้นยังมีหลายทีมในไทยลีกสนใจติดต่อมา ซึ่งตนก็ขอบคุณทุกทีมที่เห็นคุณค่า แต่ช่วงนั้นก็ชั่งใจอยู่เหมือนกัน สุดท้ายตัดสินใจเลิกเลยดีกว่า เพราะไม่อยากไปลุ้นว่า ชีวิตจะไม่มีความสุขอีกหรือเปล่า ถ้าหากตัวเองต้องไปตกที่นั่งเดียวกันกับตอนอยู่ท่าเรือ คือไม่ได้เล่น แต่ ณ ตอนนี้ก็ถือว่าชีวิตลงตัวแม้ว่าจะขาดรายได้ที่ควรจะได้จากการเล่นฟุตบอลไปเกือบสิบล้านบาทหากยังเล่นอยู่ถึงตอนนี้ก็ตามที